ตอนที่ 621 ความอาฆาตของเฮ้อซานเตา

นายน้อยเจ้าสำราญ

ตอนที่ 621 ความอาฆาตของเฮ้อซานเตา

ด้วยเสียงคำรามของเฮ้อซานเตาทำให้หวางซุนอู๋หยาที่กำลังเอ่ยอยู่ตื่นตกใจเป็นอย่างมาก

ทุกคนล้วนประหลาดใจกับเสียงคำรามนี้จึงหันหลังกลับไปมอง พบเห็นเฮ้อซานเตาที่กำลังชักดาบแล้วเดินตรงเข้ามา

เสียง “อ่า…” ดังออกมาจากซือหม่าเช่อ ฝ่ายจงสือจี้เมื่อเห็นดังนั้นก็รีบเข้าไปห้ามเฮ้อซานเตาเอาไว้แล้วตำหนิว่า “ซานเตา เจ้าอย่าเพิ่งวู่วาม ! ”

หวางซุนอู๋หยารีบถอยหลังไปสามก้าวแล้วชี้นิ้วไปที่เฮ้อซานเตาด้วยความขลาดกลัว “เจ้า… เจ้าเป็นผู้ใดกัน ? เจ้ากับข้ามิเคยมีความแค้นใดต่อกัน เหตุใดเจ้าถึงชักดาบใส่ข้า ? ”

เฮ้อซานเตาถลึงตามองหวางซุนอู๋หยา ทำให้เขาตกใจกลัวถึงขีดสุด

“ท่านปู่ของเจ้านั้นเป็นผู้ที่น่านับถือและจิตใจเปิดเผย ข้า เฮ้อซานเตา ผู้นี้ก็เช่นกัน ! เมื่อครู่เจ้ากำลังเอ่ยใส่ร้ายติ้งอันป๋ออยู่ใช่หรือไม่ ? หากเจ้าเป็นลูกผู้ชายก็ยอมรับมาเสียดี ๆ ถ้าเจ้ายอมรับ ข้าจะมิใช้ดาบ แต่พวกเรามาสู้กันแบบตัวต่อตัวเถิด ! ”

ใบหน้าของหวางซุนอู๋หยาเดือดดาลขึ้นมาทันใด ก็ข้าเอ่ยตามความจริงนี่ แต่ใบหน้าดุร้ายของชายผู้นี้ราวกับกำลังจะกินคนเข้าไปทั้งตัว ถ้าหากข้ายอมรับจะมิถูกจับกินหรือ ?

แต่หากมิยอมรับจะเอาหน้าไปไว้ที่ใดเล่า ?

เฮ้อซานเตาสอดดาบเข้าฝักจนบังเกิดเสียงดัง ‘ฉั๊วะ ! ’ จากนั้นก็แสดงสีหน้าดูถูกพร้อมกับยกนิ้วกลางให้กับหวางซุนอู๋หยา “ไอ้คนขี้ขลาด คนเยี่ยงเจ้าคู่ควรให้เอ่ยถึงติ้งอันป๋อเยี่ยงนั้นหรือ ? ติ้งอันป๋อเป็นคนเยี่ยงไร เจ้ารู้จักดีพอแล้วหรือยัง ! ช่างน่าขันยิ่งนัก ! คนเลวเยี่ยงเจ้าจงจำเอาไว้ให้ดี ! หากยังกล้าเอ่ยวาจาใส่ร้ายติ้งอันป๋ออีกล่ะก็ เมื่อข้าพบเจ้าที่ใด ข้าก็จะทุบตีเจ้าที่นั่น ! ”

ผู้ที่เหลือเฝ้าดูสถานการณ์โดยมิมีผู้ใดออกมาแก้ตัวให้หวางซุนอู๋หยาเลยสักคนเดียว เนื่องจากคำเอ่ยของหวางซุนอู๋หยาก็ไม่เป็นที่พอใจของพวกเขาเช่นกัน

ผู้ที่อีกฝ่ายล่วงเกินเป็นถึงติ้งอันป๋อ ! อย่าได้เข้าไปยุ่งเกี่ยวเชียว !

ถ้าหากติ้งอันป๋อรู้เรื่องนี้แล้วต้องการแก้แค้น ถึงแม้จะเป็นคุณชายของตระกูลซือหม่าหรือตระกูลหวางซุน เกรงว่าเพียงแค่ติ้งอันป๋อสั่งก็สามารถทำให้ตระกูลนั้นหายสาบสูญไปได้แล้ว !

คนอย่างติ้งอันป๋อ พวกเราสามารถไปยั่วโมโหเขาได้หรือเยี่ยงไรกัน ?

ในเมืองหลวงนั้นเคยมีตระกูลใหญ่ทั้งหก แล้วเหตุใดบัดนี้ตระกูลใหญ่จึงเหลือเพียงแค่ตระกูลเดียวแล้วเล่า ?

คุณชายรองหวางซุนผู้นี้เกรงว่ายังมิเคยอ่านบันทึกสงครามรุ่งโรจน์ของติ้งอันป๋อ นี่จึงเรียกว่าโง่แต่อวดฉลาดอย่างแท้จริง !

คุณชายรองหวางซุนอู๋หยามิรู้เรื่องนี้ เขารู้เพียงแค่ว่าใบหน้าของตนกำลังเดือดดาล อยู่มาตั้ง 20 ปี นี่เป็นคราแรกที่มีคนทำให้เขาตกใจกลัวได้ถึงเพียงนี้

เขากลืนน้ำลายแล้วเอ่ยว่า “ที่นี่คือเมืองหลวง ล้วนอยู่ในการดูแลของเบื้องบน เจ้ากล้าชักดาบออกมาเยี่ยงนี้ หรือว่าเจ้ามิรู้กฎหมาย ? ”

เฮ้อซานเตาหัวเราะออกมา “เหตุใดจึงกล่าวเรื่องกฎหมายกับข้ากัน ? ข้าจะบอกให้เจ้ารู้เอาไว้ว่าข้านี่แหละกฎหมาย ! ”

เศรษฐีที่ดินแห่งหลินจื๋อก็คือข้า คนเหล่านี้อาจจะมิค่อยคุ้นเคยกับเขามากนัก และฟู่เสี่ยวกวนก็มิได้เปิดเผยภูมิหลังของเขาให้ผู้ใดฟังอีกด้วย

เวลานี้ฟู่เสี่ยวกวนมิอยู่ เขาจึงแสดงท่าทางเย่อหยิ่งของคุณชายเศรษฐีที่ดินออกมา

“ปล่อยข้า ! ” เฮ้อซานเตาดึงมือของจงสือจี้ออก “ข้าจะบอกให้พวกเจ้ารู้ว่าเหตุใดใบหน้าจึงมีสีแดง ! ”

เขาพุ่งไปเบื้องหน้าและชกเข้าที่หน้าท้องส่วนล่างของหวางซุนอู๋หยาด้วยหมัดเดียว

หวางซุนอู๋หยามิคิดเลยว่าอีกฝ่ายจะกล้าทำร้ายเขาจริง ๆ ดังนั้นจึงมิได้ป้องกันตัว ส่งผลให้โดนหมัดต่อยเข้าที่กลางท้องน้อยจนรู้สึกเจ็บปวดอย่างรุนแรง เขาส่งเสียงกรีดร้อง “โอ๊ย… ! ” จากนั้นร่างก็ล้มลงไป

เฮ่อซานเตาเข้าใจความจริงข้อหนึ่งว่า มีเพียงแค่ตอนศัตรูนอนหลับเท่านั้นถึงจะเป็นศัตรูที่ปลอดภัยที่สุด

ดังนั้นการทำร้ายในครานี้จึงเผยให้เห็นความดุเดือดของตน

เขากระโดดแล้วงอข้อศอก ทุบบนหลังของหวางซุนอู๋หยาด้วยศอกเดียว

ทุกคนได้ยินเสียงดัง “กร๊อบ… ! ” มาจากหวางซุนอู๋หยา เขาส่งเสียงกรีดร้องด้วยความเจ็บปวดขึ้นมาอีกครา เมื่อถูกข้อศอกจนกลิ้งกระแทกลงไปบนพื้น ก็ได้กระอักเลือดออกมาจากปากทันที

เอ้อซานเตาเหยียบหลังของหวางซุนอู๋หยาแล้วกล่าวอย่างโหดเหี้ยมว่า “ข้าอยากจะบอกเจ้าว่า ข้านั้นฆ่าศัตรูมาแล้วหลายร้อย คนไร้ค่าเยี่ยงเจ้ายังกล้าโอหังต่อหน้าข้าอยู่อีกหรือ ? เจ้านี่ชอบหาเรื่องใส่ตัวเสียจริง ! ”

เมื่อเอ่ยจบ ฝ่าเท้าของเฮ้อซานเตายังคงย่ำอยู่ที่หลังของอีกฝ่ายและมิได้ถอนออกแต่อย่างใด เขาออกแรงย่ำมิมากนักเพราะจะทำให้เจ้านี่ตายมิได้เป็นอันขาด มิเช่นนั้นจะเป็นการสร้างปัญหาให้กับติ้งอันป๋อได้

เท้าที่ย่ำอยู่บนหลังของหวางซุนอู๋หยาเปรียบเสมือนก้อนหินก้อนใหญ่ที่ทับร่างของเขาเอาไว้ เขาได้แต่นอนกองอยู่กับพื้นแล้วมีเลือดไหลออกมาจากปาก

จงสือจี้สูดหายใจเข้าลึก แล้วครุ่นคิดในใจว่าที่นี่คือเมืองจินหลิงเชียวนะ !

หวางซุนอู๋หยาเอ่ยถูก ที่นี่มีฝ่าเท้าของฮ่องเต้เหยียบเอาไว้อยู่ อย่าได้ทำให้เป็นเรื่องใหญ่เด็ดขาด

เมื่อคิดได้ดังนั้น เขาจึงรีบวิ่งเข้าไปหาเฮ้อซานเตาอย่างรวดเร็วแล้วดึงรั้งอีกฝ่ายเอาไว้ “ข้าขออภัยที่ต้องรบกวนความสุขของทุกท่าน เรื่องทั้งหมดนี้เกิดจากคุณชายท่านนี้มีวาจาและการกระทำที่มิเหมาะสม ด้วยฐานะของติ้งอันป๋อนั้นสูงส่งมากยิ่งนัก แต่คนผู้นี้กลับเอ่ยวาจาหยาบคาย ทำให้ชื่อเสียงของติ้งอันป๋อเสื่อมเสีย และเพื่อปกป้องชื่อเสียงของติ้งอันป๋อ สหายของข้าจึงลงมือสั่งสอนชายที่หยิ่งผยองผู้นี้…”

“ตอนนี้การสั่งสอนได้จบลงแล้ว เพียงแค่สั่งสอนให้เขาจำว่าวาจาที่ออกมาจากปากของเขาได้กลับไปทำร้ายตัวเขาเอง ทุกท่าน พวกเราขอลา ! ”

จากนั้นจงสือจี้ก็ลากเฮ้อซานเตาให้เดินลงบันไดไปด้วยกัน ทันใดนั้นก็ได้ปรากฏกลุ่มคนจำนวนสามคนกำลังเดินมาทางนี้

ฟู่เสี่ยวกวน หนิงหยู่ชุน และสวี่ซินเหยียน

ฟู่เสี่ยวกวนมิคาดคิดว่าจงสือจี้กับเฮ้อซานเตาจะอยู่ที่นี่ด้วยเช่นกัน เขาจึงดีใจเป็นอย่างมากที่ได้พบพวกเขา “ยืนเหม่ออันใดอยู่ ? ไปเถอะ ตามข้าขึ้นไปทานข้าวข้างบน”

เฮ้อซานเตาเมื่อได้ยินเช่นนั้นก็ได้ตามติ้งอันป๋อไปทานข้าวด้วยกัน เจ้าบ้านั่นถึงจะไปฟ้องร้องต่อทางการก็ทำอันใดเขามิได้อยู่ดี

ดังนั้น เขาจึงพยักหน้าอย่างรวดเร็ว “วันนี้ข้าได้ไปที่หลานถิงจี๋กับคุณชายจงและได้อ่านบทความ บทกวีเก่า ๆ ของท่าน จึงได้บังเกิดความรู้สึกชื่นชมมากยิ่งนักเหมือนสายน้ำที่กำลังไหลเชี่ยว ! ”

หนิงหยู่ชุนยกยิ้มอย่างมีความสุข “เจ้าคนนี้น่าสนใจมากยิ่งนัก เขาคือผู้ใดเยี่ยงนั้นหรือ ? ”

ฟู่เสี่ยวกวนหัวเราะออกมาแล้วเอ่ยว่า “ข้าแย่งเขามาจากมือของเฟ่ยอัน เขาเป็นนักรบที่เก่งกาจยิ่ง ข้าคิดว่าจะยกเขาให้ไป๋ยู่เหลียน และวันพรุ่งนี้ข้าจะไล่เขาให้ไปหาไป๋ยู่เหลียนแล้ว”

เมื่อกล่าวจบ ฟู่เสี่ยวกวนและพรรคพวกก็เดินขึ้นไปอีกหนึ่งชั้น

ความคิดของจงสือจี้นั้นคล้ายกับเฮ้อซานเตา แต่เขาคิดเยอะกว่าเฮ้อซานเตาเล็กน้อย ก็คือหลังจากที่ทานอาหารเสร็จแล้วต้องบอกเรื่องที่เฮ้อซานเตาทำร้ายคนให้ฟู่เสี่ยวกวนรับทราบ เผื่อว่าบ่าวของคุณชายผู้นั้นจะไปรายงานต่อทางการเสียก่อน

เหตุการณ์ที่อยู่ในห้องส่วนตัวนี้ หลู่ซีฮุ่นส่ายศีรษะแล้วเดินไปช่วยหวางซุนอู๋หยาให้ลุกขึ้น “เจ้านี่…ปากเป็นเหตุจริง ๆ ! ”

หวางซุนอู๋หยาหยิบผ้าเช็ดหน้าออกมาเพื่อเช็ดเลือดที่มุมปากแล้วเอ่ยอย่างโมโหว่า “ข้าจะไปแจ้งเหตุต่อเจ้าหน้าที่และจะมิมีการยอมความใด ๆ ทั้งสิ้น ข้าจะไปที่จวนผู้ว่าเขตจินหลิงแล้วตีกลองร้องทุกข์ ! ”

ในตอนที่กำลังเอ่ยเรื่องนี้อยู่นั้น ฟู่เสี่ยวกวนก็ได้เดินเข้ามา เหตุใดคุณชายท่านนี้จึงมีจมูกและใบหน้าบวมเช่นนี้เล่า ?

ทันใดนั้นหนิงหยู่ชุนก็เดินตามเข้ามา เขาขมวดคิ้วมุ่นแล้วกล่าวว่า “ผู้ใดจะไปที่จวนผู้ว่าเขตจินหลิงเพื่อตีกลองร้องทุกข์เยี่ยงนั้นหรือ ? ข้านี่แหละผู้ว่าเขตจินหลิง”

เมื่อหวางซุนอู๋หยาได้ยินดังนั้น ก็ทำราวกับว่ากำลังร้องขอชีวิต เขาพึมพำแล้วคุกเข่าลงเบื้องหน้าของหนิงหยู่ชุน ฝ่ายหลู่ซีฮุ่นเห็นแล้วรู้สึกเป็นกังวลมากยิ่งนัก แย่แล้ว !

เหตุใดจึงแย่กัน ?

จะรายงานเรื่องนี้ว่าเยี่ยงไรดี ?

สาเหตุของเรื่องนี้… จะทำให้การใส่ร้ายติ้งอันป๋อถูกเปิดเผยมิได้ !

ตอนนี้หวางซุนอู๋หยาได้รับบาดเจ็บเพียงเล็กน้อยเท่านั้น แต่ถ้าเขาล่วงเกินติ้งอันป๋อเข้าล่ะก็… ตระกูลหวางซุนก็เป็นอันจบเห่กันพอดีน่ะสิ !

ไอ้คนไร้สมอง !

ในยามนี้จงสือจี้และเฮ้อซานเตายืนอยู่ที่หน้าประตูแล้วเหลียวมอง… คือที่ติ้งอันป๋อกล่าวว่ามาทานข้าว หรือจะเป็นที่นี่กัน ?

จะทำเยี่ยงไรดี ?

เฮ้อซานเตาชะโงกศีรษะเข้าไปซึ่งเป็นจังหวะเดียวกันกับที่หวางซุนอู๋หยาเงยหน้าขึ้นมาพอดี

ดวงตาของทั้งสองคนประสานเข้าด้วยกัน

ทันใดนั้นเสียง ‘เห้ย… ! ’ ก็ดังขึ้นมา ต่างฝ่ายต่างตื่นตกใจ เสียจนล้มก้นกระแทกพื้นราวกับว่ากำลังเห็นผี