ตอนที่ 622 แยกออกจากกัน

นายน้อยเจ้าสำราญ

ตอนที่ 622 แยกออกจากกัน

ตระกูลหวางซุน ณ เปี้ยนเหอ อยู่ห่างออกไปหลายพันลี้

หัวหน้าผู้อาวุโสแห่งตระกูลหวางซุน หวางซุนชิงฮุย กำลังดูสมุดบัญชีอยู่ในห้องหนังสือ

พ่อบ้านอาวุโสฉ้ายซีเดินเข้ามาอย่างเงียบ ๆ จากนั้นก็ตรงไปหาหวางซุนชิงฮุย ทำความเคารพแล้วเอ่ยว่า “มิทราบว่านายท่านเรียกบ่าวมา ต้องการสิ่งใดหรือขอรับ ? ”

หวางซุนชิงฮุยวางสมุดบัญชีในมือลง แล้วผายมือออกไป “นั่งก่อนเถิด”

“ขอบพระคุณนายท่าน”

ฉ้ายซีนั่งลงแล้วเงยหน้ามองสังเกตสีหน้าของหวางซุนชิงฮุย พบว่าดูจริงจังมากยิ่งนัก ราวกับกำลังเครียดและมีบางสิ่งให้คิดอยู่ในใจ

นายท่านดูแลตระกูลหวางซุนมาเป็นเวลาสี่สิบกว่าปีแล้ว ยามที่อยู่ในสถานที่มีผู้คนมากมายนั้นเขาจะสนทนาและหัวเราะ เขาได้รับการยกย่องว่าเป็นพ่อค้าที่มีจริยธรรมและมีหลักปรัชญาเหมือนขงจื๊อบนเส้นทางหวยหนาน ทว่าสีหน้าที่แสดงออกในวันนี้ถือว่ายากที่จะได้เห็น ดูเหมือนว่านายท่านกำลังครุ่นคิดเรื่องที่สำคัญมากอยู่ หรือว่า…ความลับทางเหนือจะถูกเปิดเผยแล้วกัน ?

ฉ้ายซีเริ่มกังวลขึ้นมา ตระกูลหวางซุนเริ่มต้นทำการค้าด้วยการตีเหล็ก และเป็นที่รู้จักมาตั้งแต่ในราชวงศ์ก่อน กล่าวกันว่าบรรพชนของตระกูลหวางซุนเคยเป็นลูกศิษย์ของปรมาจารย์ด้านตีเหล็กมาก่อน จึงได้เรียนรู้ทักษะการหลอมและการตีเหล็กที่ยอดเยี่ยมมา หลังจากนั้นตลอดหลายร้อยปีมานี้ก็ได้พัฒนาฝีมือจนทำให้ตระกูลสามารถค้าขายเหล็กจนถึงขั้นส่งไปขายทั่วทั้งใต้หล้าได้ อีกทั้งยังเป็นพ่อค้าหลวงแห่งราชวงศ์หยูอีกด้วย

ทั้งอาวุธชุดเกราะและเกือกม้าของราชวงศ์หยู ครึ่งหนึ่งนั้นล้วนเป็นงานฝีมือที่มาจากตระกูลหวางซุนทั้งสิ้น !

ตีเหล็กจนได้เข้าสู่เส้นทางพ่อค้าหลวงนั้นได้รับผลกำไรมิมากนัก ดังนั้นเมื่อสิบปีก่อนหัวหน้าตระกูลหวางซุนชิงฮุยจึงส่งเขาไปยังแคว้นฮวงเพื่อติดต่อกับคนทางเหนือของแคว้นฮวง จากนั้นก็ได้สร้างทางลักลอบส่งของเถื่อนใต้ดิน

ผลกำไรนั้นมากกว่าที่ขายให้กับราชวงศ์หยูถึงสามเท่า !

ตระกูลหวางซุนจึงได้กลายเป็นหนึ่งในห้าตระกูลใหญ่ !

ในฐานะที่เขาเป็นคนสนิทของหวางซุนชิงฮุย ตำแหน่งของฉ้ายซีในตระกูลหวางซุนจึงใหญ่พอสมควร และเขาเป็นหนึ่งในไม่กี่คนที่สามารถมายังห้องอักษรแห่งนี้เพื่อสนทนากับนายท่าน…

ฉ้ายซีรู้ดีว่าการลักลอบค้าของเถื่อนจะให้ผู้ใดรู้มิได้เป็นอันขาด เนื่องจากความสัมพันธ์ระหว่างแคว้นฮวงกับแคว้นหยูถือได้ว่าเป็นศัตรูต่อกัน !

เพียงข้อกล่าวหาเรื่องการลอบติดต่อกับแคว้นศัตรูก็เพียงพอที่จะกวาดล้างตระกูลหวางซุนผู้รุ่งโรจน์ได้ในทันทีแล้ว !

“วันนี้ข้าได้รับข่าวสองเรื่อง…” เมื่อกล่าวประโยคนี้ออกมา หวางซุนชิงฮุยก็หันไปสนใจกับการชงชาต่อ เขากล่าวอย่างช้า ๆ ว่า “ข่าวแรกมาจากผิงหลิง รายงานว่าในเขตผิงหลิงนั้นมีช่างตีเหล็กชื่อว่าโจวเถียเจี้ยงได้คิดค้นวิธีชุบเหล็กดิบขึ้นมาได้…”

“วิธีการชุบเหล็กดิบนี้แม้แต่ตระกูลหวางซุนก็ยังมิรู้ หลังจากบรรดาศิษย์และลูกหลานของปรมาจารย์ตีเหล็กได้ตกตายกันไปหมด ข้าก็มิคิดว่าจะมีผู้ใดรู้วิธีนี้อีกแล้ว”

ฉ้ายซีตื่นตกใจเป็นอย่างมาก จากนั้นก็เสนอว่า “ต้องกำจัดทิ้งหรือไม่ขอรับ ? ”

หวางซุนชินฮุยส่ายศีรษะ “มิต้อง ! เนื่องจากคนผู้นี้รู้จักกับฟู่เสี่ยวกวน”

ฉ้ายซีอ้าปากค้างด้วยความประหลาดใจ เนื่องจากบุคคลผู้นั้นรู้จักกับฟู่เสี่ยวกวนจึงเป็นเรื่องยากที่จะลงมือ

ฟู่เสี่ยวกวนนั้นมีชื่อเสียงเป็นอย่างมาก มิควรจะไปแส่หาเรื่องเป็นอันขาด

“ฟู่เสี่ยวกวน…” หวางซุนชิงฮุยเอ่ยถึงชื่อนี้ จากนั้นก็ยิ้มออกมาแล้วส่ายศีรษะ “หลังจากทำสงครามที่ตะวันตกเฉียงใต้เสร็จสิ้นแล้วหวนคืนสู่วังหลวง เขาได้รับแต่งตั้งให้เป็นติ้งอันป๋อจากฝ่าบาท ดังนั้นพวกเรามิควรเป็นศัตรูกับท่านเจวี๋ยเยผู้นี้เป็นอันขาด ! ”

ติ้งอันป๋อ ? ฉ้ายซีถึงกับตื่นตกใจจนผงะ จากนั้นก็พยักหน้าเห็นด้วยกับคำเอ่ยของนายท่าน

“ฟู่เสี่ยวกวนสร้างโรงงานเหล็กขนาดใหญ่ในผิงหลิงโดยมีโจวเถียเจี้ยงเป็นผู้รับผิดชอบคัดเลือกช่างตีเหล็กจำนวนมาก เพื่อผลิตแท่งเหล็กคุณภาพสูง ดังนั้นข้าจึงถือโอกาสนี้ส่งคนเข้าไป 2 คน”

เขารินน้ำชาแล้วกล่าวว่า “วิธีการผลิตเหล็กกล้าที่บรรพชนทิ้งไว้ให้นั้น เอ่ยถึงว่าประสบการณ์จะทำให้แข็งแกร่ง แต่หลังจากการค้นคว้ามาเป็นเวลาหลายปี ช่างฝีมือของตระกูลหวางซุนก็มิสามารถทำมันออกมาได้ แต่ทว่ากลับเป็นผู้ที่ไร้ชื่อเสียงเรียงนามเยี่ยงโจวเถียเจี้ยงที่ค้นพบ หึ ! ข้าเลี้ยงคนไว้เสียข้าวสุกจริง ๆ ! ”

ฉ้ายซีเมื่อได้ยินดังนั้นก็รีบเอ่ยว่า “วิธีการนั้นย่อมมิง่ายอยู่แล้ว แต่ในเมื่อนายท่านได้ส่งคนเข้าไปแล้ว ในมิช้าก็เร็ววิธีการตีเหล็กต้องตกมาอยู่ในมือของนายท่านแน่นอนอยู่แล้วขอรับ”

หวางซุนชิงฮุยมิได้เอ่ยถึงเรื่องนี้อีก “เรื่องนี้มิใช่เรื่องใหญ่หรอก เรื่องต่อไปต่างหากจึงจะเป็นเรื่องใหญ่ เจ้าต้องฟังให้ดี ! ”

ฉ้ายซียืดกายขึ้นทันใด “เชิญนายท่านสั่งมาเถิดขอรับ ! ”

หวางซุนชิงฮุยหยิบถ้วยชาขึ้นแล้วดื่ม จากนั้นมินานก็กระซิบว่า “เส้นทางลับที่ชายแดนทางเหนือนั้น จงทำลายมันเสีย ! ”

เมื่อฉ้ายซีได้ฟังก็ตื่นตกใจเป็นอย่างมาก หากทำลายแล้วตระกูลเราจะขาดกำไรไปมากมายเท่าใดกัน ?

“ตอนนี้มิใช่เวลามาสนใจเรื่องกำไร… นกพิราบที่บินมาจากเมืองหลวงได้ส่งสารกลับมาและมีชื่อของติ้งอันป๋อถูกเอ่ยถึงในสารนี้ ข้าได้ส่งหวางซุนอู๋หยาไปที่เมืองหลวงเพื่อดูว่าติ้งอันป๋อเป็นผู้ที่ฉลาดทางการค้าเยี่ยงที่หวางซุนอู๋จี้ได้กล่าวไว้ในสารก่อนหน้านี้หรือไม่”

“กฎหมายที่ถูกบังคับใช้โดยกรมการค้าของเขานั้นข้าได้อ่านอย่างละเอียดแล้ว คนผู้นี้…ประมาทมิได้เป็นอันขาด ! ”

“ควรระวังเอาไว้ให้ดี เส้นทางนั้นจะต้องถูกทำลายเสีย และห้ามให้มีสิ่งใดหลงเหลืออยู่เป็นอันขาด ! ”

ฉ้ายซีทำความเคารพโดยยกมือทั้งสองข้างประสานกันในระดับหน้าอก “นายท่านโปรดวางใจ ข้าจะทำลายและเก็บกวาดให้เรียบร้อย มิให้เหลือร่องรอยสาวมาถึงเราได้ขอรับ ! ”

“อืม…” เมื่อได้ยินเช่นนี้ หวางซุนชิงฮุยจึงคลายความกังวลลงแล้วถอนหายใจออกมา “ดูเหมือนว่านโยบายใหม่นั้นกำลังจะเกิดขึ้นแล้วจริง ๆ หากช่างฝีมือที่ส่งไปว่อเฟิงเต้าสามารถหาเหมืองได้… พวกเราตระกูลหวางซุนก็ควรย้ายไปอยู่ที่ว่อเฟิงเต้าเสีย ควรทำความรู้จักกับติ้งอันป๋อเอาไว้”

“เจ้าไปเถอะ ครานี้ให้คนของป่ากระบี่ลงมือ ส่วนคนของพวกเรานั้น… ให้ถอยออกมาเสีย ! ”

……

……

สำหรับพ่อค้าแล้วมิว่าจะเป็นหอเยียนหยู่หรือเรื่องสายลับ พวกเขาล้วนมิเคยคำนึงถึง

แม้แต่ตระกูลการค้าทั้งห้าก็มิคิดจะใช้งานคนเหล่านั้นเลยด้วยซ้ำ เนื่องจากพ่อค้ามีฐานะต่ำต้อยและมิว่าพวกเขาจะหาเงินได้มากเพียงใด สุดท้ายก็มิกล้าที่จะใช้จ่ายอย่างฟุ่มเฟือยอยู่ดี

ในขณะนี้ฟู่เสี่ยวกวนกำลังนั่งอยู่ในหอซื่อฟาง

บรรยากาศในห้องช่างน่าอึดอัดมากยิ่งนัก

“ดังนั้นนี่เป็นเรื่องเข้าใจผิดเยี่ยงนั้นหรือ…” ฟู่เสี่ยวกวนหยิบขวดสุราซีชานเทียนฉุนขึ้นมา จากนั้นก็ยื่นให้เฮ้อซานเตา “เจ้านี่ช่างใจร้อนเสียจริง คุณชายรองหวางซุนเพียงแค่เอ่ยถึงข้ามิกี่คำ แท้ที่จริงที่คุณชายหวางซุนเอ่ยก็มิได้มีอันใดผิดหรอก ตัวข้านั้นเป็นเศรษฐีที่ดินแห่งเมืองหลินเจียงอย่างแท้จริง แต่เจ้ากลับทำร้ายเขาจนมีสภาพเป็นเช่นนี้… เจ้าไปรินสุราเพื่อขออภัยจากคุณชายหวางซุนเถิด ! ”

เมื่อเอ่ยกับเฮ้อซานเตาจบ เขาก็ได้หันไปมองหวางซุนอู๋หยาที่ฟกช้ำแล้วเอ่ยด้วยรอยยิ้มว่า “ดั่งคำกล่าวที่ว่าไม่ต่อยตีไม่รู้จักกัน คุณชายหวางซุนเป็นผู้เอ่ยวาจาตรงไปตรงมา สิ่งนี้คืออารมณ์มุทะลุของเยาวชน ในเมื่อเฮ้อซานเตาคือผู้คุ้มกันของข้า จึงเป็นเรื่องธรรมดาที่เขาจะอารมณ์เสียหลังจากได้ยินคำเอ่ยของท่าน ดังนั้น…”

“คุณชายรองหวางซุน เรื่องที่เกิดขึ้นก็ช่างมันเสียเถิด มาดื่มสุราหนึ่งจอกเพื่อเป็นการไถ่โทษและมิมีความแค้นต่อกันอีก ท่านว่าดีหรือไม่ ? ”

ฟู่เสี่ยวกวนคล้ายกำลังจับให้มั่นคั้นให้ตาย เขาเอ่ยว่าเฮ้อซานเตาเป็นผู้คุ้มกันของตน หวางซุนอู๋หยาก็เพิ่งจะได้สติกลับคืนมาว่าการแก้แค้นในครานี้คงต้องปล่อยมันไปเสียแล้ว

เขาจะทำเยี่ยงไรได้อีกเล่า ?

ท่านผู้นี้คือติ้งอันป๋อเชียวนะ !

เมื่อครู่แค่พลั้งปากโดยมิทันได้คิด บัดนี้กลับรู้สึกหวาดกลัวขึ้นมา

“เจวี๋ยเย ข้าน้อยมิทันได้ไตร่ตรองอย่างถี่ถ้วนก่อนที่จะเอ่ยออกมา พอถูกพี่ชายท่านนี้ทุบตีเข้าจึงทำให้ข้าน้อยคิดได้ สุราจอกนี้ ข้าน้อยควรเป็นคนที่ต้องขออภัยพี่ชายท่านนี้ ข้าน้อยรู้สึกละอายใจมากยิ่งนัก”

เฮ้อซานเตาหัวเราะออกมาเสียงดัง จากนั้นก็เดินเข้าไปตบบ่าของหวางซุนอู๋หยาเสียงดัง ‘ปั่บ ๆ ’ ทำให้อีกฝ่ายสะดุ้งโหยงอีกครา

“ข้าขออภัยที่ลงมือกับเจ้าหนักไปหน่อย ในเมื่อติ้งอันป๋อกล่าวเช่นนี้แล้ว เจ้าก็อย่าเก็บเอาเรื่องนี้มาใส่ใจเลย เจ้ามิต้องรินให้ข้า ข้าก็มิต้องรินให้เจ้า มันยุ่งยาก มาเถิด มาดื่มพร้อมกัน ! ”

ใบหน้าของหวางซุนอู๋หยาซีดเผือดลงทันใด