ตอนที่ 13 ขอต้อนรับคณะทำลายแห่งศูนย์อากรเชาวน์ปัญญา (1) โดย Ink Stone_Fantasy
สองวันให้หลัง ตาแก่ลามกและอู้เฟยฮวาก็รีบรุดกลับมาที่หุบเขาหูสุนัขด้วยใบหน้าฉุนเฉียว
ความจริงแล้ว เงินห้าร้อยศิลาวิญญาณที่หวังลู่ให้ไปนั้นเกินพอที่จะซื้อของที่ต้องการ ดังนั้น เป็นธรรมดาที่เงินส่วนที่เหลือจะถือว่าเป็นค่าเหนื่อยของคนทั้งคู่ ถึงแม้หวังลู่จะไม่ได้บอกอย่างแน่ชัด แต่ทั้งสองคนก็เข้าใจเช่นนี้ ด้วยเชาวน์ปัญญาของท่านผู้จัดการ เขาไม่ได้ตั้งใจเช่นนี้ตอนที่ให้เงินมาอย่างใจกว้างหรอกหรือ
โชคร้ายที่พอทั้งสองติดต่อกับพ่อค้าในละแวกนั้นเรียบร้อยพร้อมจับจ่ายซื้อของ พวกเขากลับถูกสังหารอย่างเลือดเย็น พ่อค้ากวาดตาดูรายการสินค้าแล้วบอกราคากับพวกเขา ทั้งหมดเป็นเงินหกร้อยศิลาวิญญาณ
ราคาดังกล่าวสูงกว่างบที่หวังลู่ให้มา เช่นนั้นแล้วเหออวิ๋นจะยินยอมได้อย่างไร ฝ่ายตรงข้ามรู้เท่าทันเหออวิ๋นจึงยื่นคำขาด หากจะซื้อก็ซื้อ หากไม่ซื้อก็ไสหัวไป!
แล้วจะให้เหออวิ๋นไม่ซื้อได้อย่างไร หวังลู่ให้เวลาพวกเขาเพียงสองวันเท่านั้น หากเวลาหมดลง เขาก็ไม่กล้าจินตนาการถึงผลที่จะตามมาจริงๆ นี่ยังไม่รวมเรื่องที่ว่าราคาสิ่งของพวกนี้ไม่ควรเกินสามร้อยศิลาวิญญาณเท่านั้น แล้วจู่ๆ มันขึ้นมาเป็นสองเท่าได้อย่างไร!?
เมื่อเขาสอบถามถึงเรื่องนี้จึงเข้าใจแจ่มแจ้ง ปกติแล้วราคาวัตถุดิบต่างๆ ในหอนภาเร้นลับมักจะถูกกว่า แต่จากสถานะของพวกเขา แค่จะผ่านประตูของหอนภาเร้นลับเข้าไปยังทำไม่ได้ ดังนั้นการซื้อขายครั้งนี้จึงไม่ต่างอะไรจากการซื้อขายในตลาดมืด ราคาจึงสูงขึ้นเป็นเรื่องธรรมดานั่นเอง
เมื่อไม่มีทางเลือกอื่น พวกเขาทั้งสองจึงต้องใช้วิธีต่อรองเอา ในที่สุดก็ได้สิ่งของทั้งหมดมาในราคาเหมารวมห้าร้อยศิลาวิญญาณ ซึ่งสำหรับพวกเขาก็ไม่ต่างจากการปลูกพืชที่ไร้ผล ตอนแรกพวกเขาคิดว่าจะยักเงินจากภารกิจนี้ได้สักร้อยสองร้อยศิลาวิญญาณ ทว่านี่ถือเป็นเรื่องธรรมดาแล้ว พวกเขาทั้งสองยังถูกภาคทัณฑ์จากอาชญากรรมที่ก่อเอาไว้ก่อนหน้าอยู่ เช่นนี้แล้วหวังลู่จะใจดีเปิดโอกาสให้ร่ำรวยได้อย่างไร
กระนั้นเมื่อนึกถึงการตั้งแท่นบูชา ทั้งสองก็รู้สึกฮึกเหิมขึ้นมา พวกเขาทำงานให้กับสำนักเจ็ดดารามานานหลายปี แต่กลับไม่เคยได้อานิสงค์จากแท่นบูชาเลยสักครั้ง แต่เมื่อดูจากวัตถุดิบที่ไปหาซื้อมา พวกเขาก็รู้ว่าท่านผู้จัดการของตนนั้นมีความปรารถนาอย่างสูงล้นที่จะตั้งแท่นบูชาที่พิเศษกว่าธรรมดา
แม้จากความรู้อันจำกัดจำเขี่ยที่มี พวกเขายังไม่สามารถจับจุดได้ว่าเป็นแท่นบูชาประเภทไหน แต่ถึงมันจะเป็นเพียงแท่นบูชาระดับเก้า แต่พลังย่อมต้องดีเลิศกว่าของมือสองที่ครอบด้วยค่ายกลห้าธาตุของสำนักเจ็ดดาราแน่นอน! เมื่อรวมกับพลังปราณวิญญาณฟ้าดินที่หนาแน่นบริเวณหมู่บ้านตระกูลหวัง อย่างน้อยแท่นบูชาก็น่าจะควบรวมศิลาวิญญาณได้นับร้อยก้อนต่อวันแน่ แม้จะถือว่าไม่มาก แต่ภายในหนึ่งปีก็จะมีเป็นหมื่นๆ ก้อน นี่ยังไม่พูดถึงว่าการควบรวมศิลาวิญญาณเป็นความสามารถพื้นฐานของแท่นบูชาเท่านั้น
ปัญหาเดียวที่มีคือ จะตั้งแท่นบูชาขึ้นมาได้จริงๆ หรือ
ไม่ใช่ว่าพวกเขาดูถูกหวังลู่ ความจริงตั้งแต่แรกที่พวกเขามาถึงหมู่บ้านตระกูลหวัง หวังลู่ก็ไปเอากระบี่แห่งเขาคุนกลับมาในทันที ในการสั่งสมบารมีเพิ่มเติม หวังลู่บอกให้เหออวิ๋นโจมตีเขา ทว่าหลังจากใช้ทักษะของตบะขั้นสร้างฐานระดับต่ำทุกประเภทจนเหนื่อยแรง รวมถึงใส่เจตนาฆ่าลงไปด้วย เขากลับไม่สามารถเจาะการตั้งรับของกระบี่สามฉื่อได้แม้แต่น้อย
ท้ายที่สุดแล้ว คำถามเดียวก็คือ หวังลู่จะทำอย่างไรเพื่อสร้างกระแสพลังปราณขึ้นมา ——
ในวันอากาศสดใสของฤดูใบไม้ร่วงที่เย็นสบาย หมู่บ้านตระกูลหวังก็คลาคล่ำไปด้วยแสงไฟ พวกชาวบ้านกำลังประดับประดาหมู่บ้านด้วยโคมไฟเพื่อต้อนรับการมาเยือนของเทพเซียนผู้ทรงเกียรติ พวกเขายังแขวนโคลงคู่ไว้ที่ทางเข้าหมู่บ้านด้วย แม้สิ่งที่พวกเขาเขียนจะอ่านไม่รู้ความ แต่แน่นอนว่านั่นเป็นการแสดงความกระตือรือร้นที่จะได้ต้อนรับเทพเซียน
ท่ามกลางบรรยากาศที่รื่นเริง ขบวนของเทพเซียนแห่งศูนย์อากรเชาวน์ปัญญา ไม่สิ แห่งสำนักภูมิปัญญาก็ลอยลงมากลางเมฆ
ครั้งนี้คณะของสำนักภูมิปัญญามาด้วยกันทั้งหมด คนที่ลงมาเป็นคนแรกคือธิดาเทพ ตามมาด้วยรองเจ้าสำนักเหออวิ๋น อาวุโสอู้เฟยฮวา และสุดท้ายก็คือเจ้าอ้วนที่ปรากฏตัวอย่างปกติธรรมดาจนทำให้หวังฉี่เหนียนต้องเอ่ยปากถามด้วยความสงสัย…
ธิดาเทพตอบเสียงนุ่ม “อ้อ เขาก็แค่คนหนุ่มแข็งแรงที่เราจะใช้ให้ตั้งแท่นบูชาเท่านั้นล่ะ”
เจ้าอ้วนหลั่งน้ำตาอยู่ภายในใจ เขาเป็นถึงศิษย์สำนักในของสำนักกระบี่วิญญาณ แต่สถานะของเขาในศูนย์อากรเชาวน์ปัญญากลับต่ำยิ่งกว่าอู้เฟยฮวาเสียอีก! ยังดีที่เรื่องตำแหน่งอะไรนี่เป็นเพียงสิ่งที่อุปโลกขึ้น และการกระทำทุกอย่างต้องมาจากความคิดของท่านผู้จัดการเท่านั้น
อย่างไรเสีย หวังฉี่เหนียนก็ไม่กล้าเมินเฉยความแข็งแกร่งของเจ้าอ้วน หลังจากนั้นคำถามเกี่ยวกับตัวเขาก็ดังขึ้นไม่หยุดหย่อน เจ้าอ้วนไม่เคยต้องประสบกับสถานการณ์เช่นนี้มาก่อน ที่ผ่านมา ในฐานะบุตรชายของราชครู ผู้คนต่างก็พากันห้อมล้อมเขา แต่ทว่าเขาไม่เคยถูกคนบ้านนอกล้อมรอบเช่นนี้เลย! เจ้าอ้วนปิดปากเงียบอย่างสิ้นหวังพลางทำท่าให้สมกับเป็นชายมากพละกำลัง
ในที่สุดคนทั้งกลุ่มพร้อมด้วยชาวบ้านมากมายก็มาถึงจุดที่หมายตาไว้ว่าจะตั้งแท่นบูชา แน่นอนว่าหวังลู่เลือกสถานที่นี้ด้วยตัวเอง
มันคือบ้านของหัวหน้าหมู่บ้าน สถานที่นี้ถือเป็นการเอาคืนที่หวังฉี่เหนียนไปปรากฏตัวที่บ้านของหวังฟู่กุ้ยเมื่อหลายวันก่อน พร้อมพรั่งพรูคำดูถูกเหยียดหยามมากมายนั่นเอง
ทว่าหวังฉี่เหนียนยังไม่รู้เรื่องนี้ เมื่อเห็นเหล่าเทพเซียนหยุดยืนตรงหน้าบ้านเขา เขาจึงถามออกไปอย่างสงสัย “ประทานโทษเถิดท่านเทพเซียน นี่คือ…”
ธิดาเทพตอบเสียงนุ่ม “ที่ที่จะตั้งแท่นบูชา”
“…ที่นี่?”
เฟิงหลิงพยักหน้า “ถูกต้อง ฮวงจุ้ยของที่นี่ถือว่าดีมาก จึงถือเป็นตำแหน่งที่ดีที่สุดในการตั้งแท่นบูชา”
หวังฉี่เหนียนไม่อยากจะเชื่อหูตัวเอง จึงถามขึ้น “ละ แล้วบ้านของข้าเล่า”
เฟิงหลิงยิ้ม “แน่นอนว่าต้องถูกทำลายทิ้ง ไม่ต้องกังวลไป ข้าจะให้พวกที่แข็งแรงสร้างหลังใหม่ให้เจ้า”
“ตะ แต่…” หวังฉี่เหนียนพูดตะกุกตะกัก แต่ก่อนที่จะได้พูดจบประโยค เขาก็ได้ยินเสียงธิดาเทพหัวเราะเบาๆ
“อ้าว นี่เจ้าไม่สบายใจหรือ ไม่มีปัญหา เรายกเลิกการสร้างก็ได้ ตาแก่ลา… เหออวิ๋น กลับได้!”
พวกเขาพากันหันหลังกลับ หวังฉี่เหนียนที่กระวนกระวายใจจึงต้องยกธงยอมแพ้ “ท่านเทพเซียน ได้โปรดอย่าไป! ท่านรื้อก็ได้ ท่านจะรื้อบ้านข้าก็ได้!”
“ดี งั้นเราจัดการต่อละนะ”
“โปรดรอสักครู่ มีของบางอย่างในบ้านข้า!”
ธิดาเทพขมวดคิ้ว “โอ๊ย เจ้านี่น่ารำคาญจริงๆ เมื่อครู่เจ้าบอกว่าทำลายได้ ผ่านไปครู่เดียวเจ้าบอกว่าไม่ได้ รีบตัดสินใจเสีย อย่าบอกเชียวนะว่าเราต้องรอให้เจ้าเก็บข้าวของในบ้านเสียก่อน”
หวังฉี่เหนียนอับจนหนทางและนิ่งเงียบอยู่ครู่ใหญ่ แต่จากนั้นเขาก็ได้ยินชาวบ้านที่อยู่ด้านหลังพูด “ท่านหัวหน้าหมู่บ้าน ท่านพูดเองไม่ใช่หรือว่าการตั้งแท่นบูชานั้นสำคัญกับหมู่บ้านเรามาก หากใครกล้าขัดขวางล่ะก็ เช่นนั้น…”
หวังฉี่เหนียนสบถสาบานอยู่ในใจ ทว่าภายนอกเขากลับตอบรับด้วยรอยยิ้ม “รื้อ! รื้อเลย!”
ก่อนที่เขาจะทันพูดจบ เขาก็ได้ยินเสียงโครมครามในทันที ตาแก่ลามกได้ร่ายอาคมรวมถึงปล่อยยันต์ถึงสามชั้น ซึ่งทำให้เกิดพลังอิทธิฤทธิ์มหาศาล ทันใดนั้นเอง บ้านก็พังทลายลงกับพื้นในชั่วพริบตา
………………………………………………