______ ขอข้ามตอน 291 นะขอรับ เพื่อให้ตรงกับต้นฉบับภาษาอังกฤษ ขออภัยด้วยน๊า _______
” คุณชายน้อยจวิน อาจารย์ทั้งสองของเรานั้นสง่างามยิ่ง พวกเขามักจะพิจารณาชัยชนะและความพ่ายแพ้เป็นดั่งหมอกเมฆ ดังนั้น พวกเขาจึงมิได้ทุกข์ร้อนต่อ ชัยชนะหรือความพ่ายแพ้เพียงชั่วคราวนี้ ข้ารังเกียจความคิดที่ต้องลดตัวลงมาที่ระดับเจ้า … ข้าคิดว่ามันเป็นอุปสรรค์ที่จะไต่ถามคุณชายน้อยสาม อันใดเล่าเหมาะสมกับกวีที่คุณชายน้อยเอ่ยขึ้น ? หากมีกวีตอบโต้ที่เหมาะสมอยู่ … ได้โปรดเอ่ยและแนะนำพวกเรา “
บัณฑิตตัวสูงจาก สถาบันอักษรสวรรค์เหวินเชียงเอ่ยขณะยืนขึ้น เด่นชัดว่า เขามิได้มั่นใจในความพ่ายแพ้นี้
” หรือ เจ้านั้นเสแสร้งได้ยิ่งกว่า ลี่โย่วหลาน ? “
จวินโม่เซี่ยมองไปที่เขาด้วยสีหน้าตะลึงงัน
” ข้าขอให้เจ้าใช้สมองของเจ้าคิดก่อนจะเอ่ยถาม อย่าได้ใช้ก้นของเจ้าจัดการกับทุกปัญหา ! ข้าจักจงใจสร้างความยุ่งยากให้ทุกผู้หรือ หากข้ามิได้มีกวีตอบที่เหมาะสม ? วัยเด็กเจ้าโดนลาดีดมาหรืออย่างไร ? สถาบันอักษรสวรรค์เหวินเชียงสร้างผู้ที่โง่เขลาเช่นเจ้าได้อย่างไร ?! “
” โอ้ข้าเข้าใจแล้ว … นอกจากจะโง่แล้วเจ้ายังหูหนวกหรือ ? ข้าเอ่ยได้ชัดเจนว่าไม่มีผู้ใดสามารถแก้ไขมันได้ก่อนที่ข้าจักตั้งปัญหานี้ต่อหน้าทุกคน ! ข้าเพียงแค่ยืมมันมา เจ้าได้ยินจากที่ใดว่าข้านั้นคิดมันขึ้นเอง ? ข้าคิดว่าเจ้านั้นไร้สมอง … หรืออาจจะติดเชื้อรา ! เจ้าต้องการให้ข้าบอกถึงกวีตอบโต้ ? เจ้าเอ่ยวาจาอย่างไร้ความคิด ! สถาบันของเจ้าจักจ่ายเมื่อชนะ และต่อสู้เมื่อพ่ายแพ้ ? ไร้เหตุผลยิ่งนัก ? “
ไร้ผู้ใดโต้แย้งเมื่อจวินโม่เซี่ยเอ่ยวาจานี้ขึ้น ท้ายที่สุด … เขาเอ่ยอย่างชัดเจนว่า กวีนั้นมิได้เป็นของเขา … แต่ของใครบางคน มันแสดงให้เห็นว่าเป็นการยากเพียงใดที่จักลงโทษผู้ผิด บัณฑิตมิสามารถตอบกลับกวีนั้น ดังนั้น เมื่อผู้หนึ่งไต่ถามเพื่อพยายามกอบกู้ชื่อเสียงของสถาบัน กระนั้น มันกลับเป็นอุบายที่ล้มเหลว ยิ่งกว่านั้น … ความพยายามของเขาเป็นการยั่วยุความอดทนของผู้อื่น
บัณฑิตผู้นั้น หน้าแดงก่ำด้วยโทสะ
ส่วนผู้อื่นไม่รู้จักทำเช่นไร จากนั้น ลี่โย่วหลานลืมตาขึ้นทันใด
” เกิดอันใดกับชายผู้นี้ ? เขาดึงข้าเข้าไปเกี่ยวพันกับปัญหาของเขา … เจ้าหมายถึงอันใดที่เอ่ยว่า เสแสร้งยิ่งกว่า ลี่โย่วหลาน ? “
แม่เจ้าเอ๋ย ! เจ้าผู้นี้เอ่ยอันใด ? กล่าวหาข้าเสแสร้งได้เช่นไร ?
” เป็นไปได้หรือที่ อาจารย์อาจจะส่งศิษย์ออกไปเพื่อกอบกู้ชื่อเสียงหลังจากพวกเขายอมรับความพ่ายแพ้ ? เป็นไปได้หรือ ที่ สถาบันอักษรสวรรค์เหวินเชียง จักเป็นผู้แพ้ ? “
ปรากฏว่า จวินโม่เซี่ย โกรธเคืองยิ่งขณะเขาเอ่ย
” แต่กระนั้น ก็มิใช่เป็นการยากสำหรับคุณชายน้อยผู้นี้ หากเจ้ามิอาจยอมรับความพ่ายแพ้ ข้าอาจจะมิใช่คนดี แต่ข้านับถือความรอบรู้ และ เคารพในสิ่งที่คู่ควร “
แล้ว เจ้ารู้ว่าเจ้ามิใช่คนดี ?
ทุกผู้ในท้องพระโรงกรอกตา
เจ้านับถือเพียงความรู้ และเคารพในสิ่งที่คู่ควร ? ราวกับเจ้าพยายามจักฉุดรั้งอาวุโสทั้งสองลงสู่อเวจร
” หยานเฟิง นั่งลง ! พ่ายแพ้คือพ่ายแพ้ ไร้ประโยชน์จักโต้แย้ง เหตุใดเจ้าพยายามจักชนะอย่างไร้ความสมบูรณ์ ? นี่เป็นเพียงครั้งแรก เจ้าเชื่อหรือว่า สถาบันอักษรสวรรค์เหวินเชียง จักมิอาจกู้คืนมาได้ในโอกาสหน้า ? “
ริมฝีปาก คุ้งหลิงหยางสั่นเทาขณะเขาใช้วาจาสกปรกเพื่อดุด่าและตำหนิศิษย์ของเขา
พวกเรามิได้ประสงค์จักรับประโยชน์เพียงครึ่ง …
อาจารย์ค้งผู้น่านับถือมิอาจเก็บความคิดไว้กับตัวได้เนื่องด้วยความเจ็บปวด นี่คือสิ่งที่มันจักต้องเป็นไปเสมอ ไม่ว่าจักพ่ายแพ้หรือชนะ แต่ ดูเหมือนว่าเขาจักสูญเสียความเคารพที่มีต่อ อาจารย์ เขาเคยได้รับชัยชนะมากมายในอดีต แต่ งานฉลองนี้จักจัดขึ้นบนเกาะกลาง ทะเลสาปจันทรา เสมอ และ องค์จักรพรรดิมิเคยปรากฏตัวในโอกาสนั้น แต่ ในครั้งนี้ถูกจัดขึ้นในวังหลวง ดังนั้น องค์จักรพรรดิจึงเข้าร่วม .. ยิ่งไปกว่านั้น …. ยังมีเจ้าหน้าที่ระดับสูงของอาณาจักรมากมาย ความสำคัญของงานพิธีนี้จึงมากยิ่งกว่าแต่ก่อน แต่ ครั้งนี้เขาพ่ายแพ้ …
เหตุใดจึงมิรู้สึก โศกเศร้า … ?
ดูเหมือนว่าเจ้าอ้วนถังเป็นอันธพาลผู้ที่ทั้งสถาบันอักษรสวรรค์เหวินเชียง เกลียดชังเป็นที่สุด แต่ เขากลับตกอันดับลงมาทันที และตำแหน่งนั้นถูกแทนที่โดย คุณชายน้อยจวิน ราวกับคนใน สถาบันอักษรสวรรค์เหวินเชียง จักไม่ลืมความแค้นนี้ .. แม้นเวลาจักผ่านไปนานนับพันปี ความเกลียดชัดต่อจวินโม่เซี่ย ฝังลึกลงไปยังกระดูกทุกซี่ของพวกเขา
” ฮี่ ฮี่ … อาจารย์ คุ้งที่เคารพ เอ่ยมาถูกต้องแล้ว บัณฑิตเพียงไตร่ตรองถึงกวีตอบโต้เท่านั้น ความสามารถทางการศึกษาทีแท้จริงของคนผู้นั้น อยู่ในกวีที่สำเร็จสมบูรณ์แล้ว … “
ลี่โย่วหลานยิ้มโดยมิได้หลุบเปลือกตา และเอ่ยต่อ
” เป็นไปได้หรือที่สถาบันจักมิอาจเทียบชั้นได้กับ คุณชายน้อยจวินในเรื่องนี้เช่นกัน … ? “
ประโยคนี้รุนแรงยิ่ง
หากสถาบันเหวินเซียงยอมรับในจุดนี้ … ต่อหน้าผู้นำทางการเมืองและกลาโหม … มันจักมิเป็นการต่างว่าสถาบันได้ยอมรับว่าฝีมือมิอาจเทียบอันธพาลจวินกระนั้น ? สถาบันเหวินเชียงจักตกต่ำถึงขั้นนั้นได้เช่นไร ? เขาจักยอมรับในเรื่องนี้ได้เช่นไร ?
พวกเขาได้ชักมีดออกมาอีกหน
” ตอนนี้ข้าเข้าใจแล้ว เจตนาของ ลี่โย่วหลานผู้นี้มิใช่เรื่องดี เด็กผู้น่ารักผู้นี้มิได้ดีเลิศ เขาบังคับใช้อาจารย์ผู้นั้นเพื่อให้ข้าหงายไพ่ ! “
จวินโม่เซี่ยกรอกตาและโน้มตัวไปข้างหนึ่ง ความจริงแล้ว เขาหันเข้าไปใกล้ใบหน้าของ ตู่กู้เซี่ยวอี้ อย่างมาก จากนั้น เขายิ้ม และพยักหน้า ขณะดึงไพ่ที่เขาเตรียมไว้ล่วงหน้าออกมา
” สถาบันเหวินเชียงนำพา บัณฑิต มากมาย หากแต่พวกเราก็มีผู้มากสามารถเช่นเดียวกันในฝั่งของเรา คุณชายน้อยจากสกุลอันยิ่งใหญ่จักอับอายในเวลานี้เช่นไร ? นี่จะเป็นตำนานที่งดงามเนื่องจากคุณชายน้อยผู้นี้ และคุณชายน้อยลี่โย่วหลานได้ร่วมมือกันเผชิญหน้ากับ สถาบันเหวินเชียง มิอาจรู้ผู้ใดจักชนะ อย่าไรก็ตาม คุณชายน้อยลี่โย่วหลานเพิ่งจะเอ่ยว่าเขายอมรับคุณชายน้อยผู้นี้ในหลากหลายสิ่ง ฮี่ฮี่ … หมายความว่าคุณชายผู้นี้เหนือกว่าเขา หรือจะกล่าวอีกอย่าง .. ข้านั้นเป็นเลิศยิ่งกว่า คุณชาย … ฮี่ฮี่ฮี่ … ทุกผู้ได้ยินเช่นนั้นหรือ ? ดังนั้น จึงไร้เหตุผลจักท้าทาย้ขา หากเจ้ามิได้อยู่ในระดับเดียวกับ ลี่โย่วหลาน คุณชายน้องผู้นี้ยุ่งยิ่งนัก ทุกนาทีของข้ามีค่าดั่งทอง ดังนั้นมิควรเสียเปล่า ! “
ประโยคนี้เป็นการตอบโต้ที่งดงาม มิเพียงเขาลากพาคุณชายน้อยทุกคนลงในเรือรบของเขา ยังทำให้ ลี่โย่วหลาน กลายเป็นแพะรับปาบไปด้วย วาจาเหล่านี้มีทั้งไม่เหมาะสมและเป็นวาจาที่ป้องกัน ความจริง เขาได้สร้างผลกระทบอย่างชัดเจน
ทุกผู้อุทานและเบนสายตา แต่ สิ่งที่พวกเขามองนั้นมิใช่ จวินโม่เซี่ย หากแต่เป็น ตู่กู้เซี่ยวอี้ จวินโม่เซี่ยโน้มตัวไปหานาง พยักหน้า ยิ้ม และเอ่ยวาจาเหล่านั้น ซึ่งทำให้เขามีที่ว่างสำหรับการโจมตีและล่าถอย แม้แต่ผู้ที่โง่เขลาที่สุดยังรู้ได้ว่าเขากำลังติดอยู่ในจุดที่ยุ่งยากยิ่ง พวกเขาสามารถจับได้ว่า เขาใช้ใบหน้าอันงดงามของ ตู่กู้เซี่ยวอี้ เพื่อใช้หลอกล่อ
เจ้าชั่วไร้ยางอายผู้นั้นสามารถเอ่ยวาจายาวเหยียดเช่นนี้โดยไร้ซึ่งความหยาบคายได้เช่นไร ?
วาจาของคนผู้นี้ผิดกับนิสัยของเขา ฟังราวกับการเข้าข้างตัวเอง แต่ไร้ซึ่งว่าจาดูหมิ่น ! แปลกประหลาดยิ่งนัก ราวกับเขาเตรียมการไว้ล่วงหน้า !
ทุกผู้มองจวินโม่เซี่ยย่อนตัวลงบนเก้าอี้ของเขาและหลับตา ชัดเจนว่าเขามิได้อธิบายอันใดในสิ่งที่เขาทำไปแม้นจักถูกถาม ทุกผู้จาก สถาบันเหวินเชียงรู้สึกสิ้นแรง ดังนั้น พวกเขาจึงหันไปทาง ลี่โย่วหลาน เนื่องจากพวกเขามิมีทางเลือกอื่นที่ดีกว่า
” เช่นนั้นพวกเราจึงเปลี่ยนมาขอคำแนะนำจากคุณชายน้อยลี่ในรอบที่สองนี้ “
ลี่โย่วหลานยืนขึ้น และพยักหน้าเล็กน้อย
” เป็นเกียรติของข้ายิ่ง “
เขาประหลาดใจ มิได้เคียดแค้น จวินโม่เซี่ย ที่ผลักเขาออกไปในท่าทีเช่นนี้
คุณชายน้อยจวินชนะในรอบนั้นด้วยความสุจริตยิ่ง มิสำคัญว่าชัยชนะจักรุ่งโรจน์หรือไม่ ชนะ คือ ชนะ เขาเชื่อว่าเขาคือบุตรแห่งสวรรค์ เช่นนั้น คุณชายน้อยลี่จักโค่นล้มเขาได้อย่างไร ?
สายตาองค์จักรพรรดิกวาดไปทั่วโถงจากเหนือบัลลังก์ และหยุดตรง ลี่โย่วหลาน อย่างไรก็ตาม เขายังคงเฝ้ามองจวินโม่เซี่ย ผู้ที่นั่งอยู่ข้างกับ ตู่กู้เซี่ยวอี้ อย่างต่อเนื่องด้วยหางตา ความคิดภายในของพระองค์นั้นยากยิ่งหยั่งถึง
” พวกเราได้ยินกวีจากฝ่ายตรงข้ามแล้ว แต่ ทุกผู้นามรู้ว่า คุณชายน้อยลี่นั้นมีชื่อในเพลงขลุ่ย เช่นนั้น เป็นเช่นไรหากพวกเราจักมาร่วมบรรเลงเปรียบกัน ? ข้า จินหยินเจิ้น หวังให้คุณชายน้อยลี่ แนะนำในท่วงทำนอง “
บัณฑิตยืนขึ้นและเดินตรงไปยัง องค์จักรพรรดิและเหล่าผู้ยิ่งใหญ่ จากนั้นเขาหันไปเผชิญหน้ากับลี่โย่วหลาน หลังจากคาราวะพระองค์ตามพิธีการ เขาขยับมือและหยิบขลุ่ยหยกขาวออกมา
” ทำนองของ คุณชายน้อย จินหยิงสามารถเคลื่อนสวรรค์โลกาได้ ! ลี่โย่วหลานผู้นี้มีหวังอันใดจักเปรียบเจ้า ? รอบนี้พวกเรามิอาจเปรียบกันได้ ข้ายอมรับความพ่ายนี้ “
ลี่โย่วหลานยิ้มเล็กน้อย กระนั้น การยอมรับในความพ่ายแพ้ของ ลี่โย่วหลาน นี้มีประสงค์อื่นซ่อนเร้น เขามิต้องการจักเผยตัวหากมิจำเป็น อย่างไรก็ดี เวลานี้เขาอยู่ต่อหน้าองค์จักรพรรดิ ดังนั้น เขาจึงต้องการจักให้พระองค์ประทับใจ มองหาความสำเร็จในเวลาที่เหมาะสม
แต่กระนั้น จินหยิงเจิ้นก็เป็นคู่แข่งที่น่าเกรงขาม ยากยิ่งจักต่อกรกับเขาในสมรภูมิเช่นนี้ เหล่าบุรุษในสกุลของเขาถูกส่งไปให้ฝึกฝนวิชาขลุ่ยดั้งเดิมหลังจากที่พวกเขามีอายุสิบห้า บทเพลงของพวกเขานั้นเป็นที่รู้จักกันเป็นอย่างดีในดินแดนแห่งนี้ ดังนั้น ลี่โย่วหลานจักมีโอกาสในการชนะศึกชี้ได้เช่นไร ? สถาบันเหวินเชียง ส่งเขาลงมาเพื่อหวังจักชนะในรอบที่สอง และทำให้ทั้งสองฝั่งเสมอกัน การประลองในครั้งนี้เริ่มเข้มข้น
” ฮี่ ฮี่ … คุณชายน้อยจวินและข้าอับอายยิ่ง ฝีมือพวกเรานั้นอ่อนด้อยในเรื่องนี้ และพวกเราประสงค์ยอมรับในความพ่ายแพ้ “
สีหน้าลี่โย่วหลายมิเปลี่ยนแปลงขณะเขาเอ่ยต่อ
” รอบถัดไปจักเป็นของ คุณชายน้อยจวิน ลี่โย่วหลาน ประสงค์ในตัว คุณชายน้อยสามยิ่ง “
ข้า จวินโม่เซี่ย เอ่ยว่าแม่เจ้า ! เจ้าเหลือขอนี่อ่อนแอ่ยิ่ง เขายอมรับความพ่ายแพ้ในทันที มากเกินไปแล้ว … หากข้าเจอคู่ต่อสู้ที่ยากยิ่ง ข้าจักคำรามบทเพลงอันเป็นที่นิยอมออกมาจากคอหอย ! ข้าอยากตายมากกว่าจักต้องถูกข่มขู่จนตาย !
งานพิธีนี้เริ่มต้นด้วยบทกวี จึงเป็นปกติที่จักตามมาด้วยความสำเร็จของผู้ยิ่งใหญ่และรอบรู้ จากนั้น ตามมาด้วย กลยุทธิ์ ยุทธวิธี นโยบายสวัสดิการ นโยบายต่างแดน เป็นต้น กระทั่งศิลปะทุกแขงจนกล่าวได้ว่าครบถ้วนครอบคลุม
ตอนนี้ วาจาของจวินโม่เซี่ยได้เตรียมพร้อมให้ทั้งสองกลุ่มเผชิญหน้ากันแล้ว กระนั้น การเผชิญหน้านี้มีความร้อนแรงยิ่งกว่ากลิ่นฉุนดินปืนที่เขาเคยเผชิญมาก่อนในชีวิต ทุกผู้ที่เข้าร่วมงานฉลองนี้รู้เป็นอย่างดีว่า คุณชายน้อยจวินโม่เซี่ยและถังหยวนเข้าร่วมกันแข่งขันนี้เป็นครั้งแรก ดังนั้น ชัดเจนว่าพวกเขาขาดแคลนประสบการณ์
พวกเขามิเคยเข้าร่วมกันแข่งขันมาก่อน แต่ … พวกเขาจักแข่งขันในหัวข้อเช่น … การอุ้มหญิงสาวขึ้นมา สถานการณ์เหล่านั้นมิอาจเอ่ยได้เช่นเดียวกับเรื่องเหล่านี้ …
เสนาบดีกรมยุติธรรม ซุนเฉิงเคอ เวลานี้เสวนากับผู้อื่นและกำลังกำหนดหัวข้อสำหรับกวี ผู้แข่งขันกำลังแข่งขันอย่างดุเดือด และจากนั้นผู้ที่ดีงามจักได้รับการตัดสินให้ชนะ
” หัวข้อในการเสวนานี้คือ ความรู้ ข้าอยากขอทั้งสองฝ่ายให้เลือกผู้สมัคร “
ซุนเฉิงเคอมองไปยังจวินโม่เซี่ย พยักหน้า และส่งสัญญาณ เขาได้เลือกตัดสินผู้แพ้ชนะไว้แล้ว
จวินโม่เซี่ยจักมิได้รับชัย เขาจักทำให้ตัวเองถูกหัวเราะเยาะ
บัณฑิตชุดสีฟ้ายืนขึ้น จากการกล่าวนำเหล่านั้นเขามีนามว่า ฉินฉิ้วฉี ชัดเจนจากชื่อว่าพ่อแม่ของเขานั้นประสงค์ยิ่งจะให้เขาได้รับเกียรติทางวิชาการ
” ข้าขอให้คุณชายน้อยจวินยอมรับการเสวนากับข้า “
ฉินฉิ้วฉีกระแอมและเอ่ยขึ้น ธุปหอมครึ่งก้านมอดไหม้ลง เขาใช้เวลาเหล่านั้นครุ่นคิดเคร่งเครียด
ขันทีราชสำนักที่ได้รับมอบหมายให้เขียนบทกวีกำลังเตรียมตัว เขาวางข้อศอกลงบนโต๊ะ ยกข้อมือขึ้นเหนืออากาศ และรอคอยให้ ฉินฉิ้วฉีเริ่ม เขาควรจะบันทึกทุกสิ่ง
” ผู้กล้าปีนป่ายภูผาหิมะเสียดฟ้า
อาจหาญก้าวข้ามทะเลรอบรู้
หัวใจอันบากบั่นมิต้องการเส้นทาง
ดาราบนนภามิห่างไกล
หวังเพียงบ้านเมืองเจริญรุ่งเรือง
เลือดอันเล่าร้อนก่อร่างสร้างสะพานสายรุ้ง
ดูราวเขาเคลื่อนไปทีละก้าว
กวัดแกว่งพู่กันเขียน อย่างมิเคยย่อท้อ “
ฉินฉิ้วฉีมากฝีมือยิ่ง เขาไม่มีทางเลือกเนื่องจากธูปมอดไหม้ไปครึ่งหนึ่งแล้ว แต่ กวีบทนี้ก็ยอดเยี่ยม ความคิดสร้างสรรค์ของของนั้นมิได้เป็นเลิศนัก แต่สมดุลยิ่ง ถือได้ว่าดี เขาออธิบายถึง การเรียนรู้ได้อย่างดี ยิ่งไปกว่านั้น เขาได้แสดงถึงอุดมคติอันสูงส่งของบ้านเมือง และความปรารถนาอันยิ่งใหญ่ของเขา
ขันทีราชสำนักบันทึกบทกวีเสร็จสิ้น จากนั้นเขาถวายมันแก่ องค์จักรพรรดิทอดพระเนตร จากนั้นพระองค์ ทอดพระเนตรไปยังใบหน้าของ ฉินฉิ้วฉี สายพระเนตรล้ำลึก แต่สีพระพักมิเปลี่ยนแปลง จากนั้น พระองค์โบกมือและส่งกวีให้แก่เจ้าหน้าที่ราชสำนัก และส่งต่อไปรอบๆเพื่อให้ทุกผู้ได้ดู ขุนนางราชสำนักพยักหน้าหลังจากพวกเขาได้อ่าน และประกาศว่า ยอดเยี่ยม ขุนนางต่างๆนั้นมากฝีมือ แต่ พวกเขาคิดหากเขาเป็นเด็กหนุ่มผู้นี้…ภายใต้แรงกดดันอันมากมาย … ในการคิดหาบทกวี … เพียงแค่ระยะครึ่งก้านธูป พวกเขาเองก็อาจมิสามารถสร้างสรรค์ให้ได้ออกมาเช่นนี้
จวินโม่เซี่ยปรบมือลั่น
” ข้ายอมรับความพ่ายแพ้ เจ้าช่างมีเชาว์ยิ่ง มีเชาว์ยิ่ง … “
” ขอบคุณยิ่งสำหรับคำสรรเสริญนี้ คุณชายน้อยจวิน ข้าด้อยความรู้และสามารถ ดังนั้น ข้าจึงลำบากใจยิ่งที่เจ้าและเหล่าผู้อาวุโสยกย่อง … “
ฉินฉิ้วฉีเอ่ยนอบน้อมต่อกวีอันล้ำลึกนี้ จากนั้นเขาต่อ
” กระนั้น ข้าจำต้องของให้คุณชายน้อยจวินชี้นำในเรื่องนี้ คนผู้นี้ประสงค์ฟังคำตอบของเจ้า “
” คำตอบของข้า ? คุณชายน้อยผู้นี้มิได้มากสามารถ ข้ามิอาจมีเชาว์เช่นนั้น มิใช่ธรรมชาติของข้าที่จักสามารถสำเร็จงานศิลป์ได้รวดเร็วยิ่ง “
จวินโม่เซี่ยตัดสินใจปฏิเสธคำเชิญอย่างสุภาพและรวดเร็ว แต่ เสียงของเขาทำให้ทุกผู้ในที่ีนี้สับสนยิ่ง
ถังหยวนหัวเราะลั่น เขามิอาจควบคุมได้ ตบพุงตัวเองหลายหน ใบหน้าของเขากระตุก ราวกับอยู่บนหุบเหวแห่งความตาย ถังหยวนอดทนต่อแรงกดดันของจวินโม่เซี่ยมาเป็นเวลานาน เขาเข้าใจถึงการยุแหย่และความสามารถของจวินโม่เซี่ยมายาวนาน แต่ ผู้อื่นมิได้เข้าใจวาจาของจวินโม่เซี่ย มีเพียงเจ้าอ้วนเท่านั้น ที่เข้าใจถึงความหมายที่แท้จริง และมิอาจกลั้นหัวเราะได้ …
ทุกผู้มองถังหยวนด้วยความรังเกียจเนื่องจากพวกเขามิเข้าใจความลึกลับของวาจาหล่านั้น
เจ้าอ้วนนี้ปลิ้นปลอกยิ่ง ! เจ้าอยู่ที่นี่กับจวินโม่เซี่ย แต่เจ้ากลับหัวเราะเมื่อเห็นเขาพ่ายแพ้ .. พฤติกรรมเช่นนี้น่ารังเกียจยิ่ง !
” คุณชายน้อยจวินมากฝีมือ เหตุใดเขาจึงยอมแพ้ ? มิควรเป็นเช่นนี้ เขาจำต้องเอ่ยกวีเพื่อให้ทุกผู้ได้ฟังตัดสิน “
ฮั่นจีตุ้งกระโดดขึ้นและยกยอจวินโม่เซี่ยอย่างไร้ยางอาย
” คุณชายน้อยรังเกียจจักแข่งขันกับพวกเรา ? “
ดวงตา เหม๋ยเกาเจี้ย เคลื่อนไปยังจวินโม่เซี่ยขณะเขายังคงสร้างแรงกระตุ้นอย่างต่อเนื่อง
” นี่อาจเป็นวิธีการที่มิอาจยอมรับได้ในวิธีการของบัณฑิต ! “
” คุณชายน้อยจวินมาจากสกุลทางทหาร .. เช่นนั้น จึงมิอาจเลี่ยงได้ว่าเขานั้นมิได้มากสามารถนัก “
เหล่าปราชญ์หัวเราะ เขาโบยบินด้วนความรู้สึกพึงพอใจและเป็นสุกใสความสำเร็จนี้ ดูราวพึงพอใจที่ได้เห็นจวินโม่เซี่ยตกอยู่ในความอัปยศ
” เช่นนั้น น่าประหลาดใจอันใดที่เขายอมแพ้ในเรื่องนี้ ? “
ประโยคนี้จึงเป็นมุขตลกที่ไม่ควรทำให้ผู้ใดหัวเราะ แต่ ทุกผู้หัวเราะลั่น และเต็มไปด้วยความประสงค์ร้าย
. ความจริงแล้ว ข้าดูถูกเจ้า !
จวินโม่เซี่ยมิได้เอ่ยวาจานี้ออกมา
แต่ตอนนี้เจ้าขอให้ข้าดูหมิ่นเจ้า และทำมันด้วยความพยายาม ราวกับครั้งก่อนเจ้ายังได้รับมันไม่เพียงพอ อีกไม่นานเจ้าจักเสียใจ …
จวินโม่เซี่ยพ่นลมทางจมูกเยือกเย็น
” ข้ามิได้ไม่สุภาพเนื่องจากทุกผู้รอคอยกวีของข้า แต่ ข้ามิได้เจอกวีมากมายในระหว่างที่ได้เล่าเรียน ดังนั้น ข้าควรจักแต่งเพลงเพื่อความสุขของทุกผู้ …”
” แต่งเพลง ? คุณชายน้อยจวิน มากสามารถมิอาจคาด ! ทุกการเคลื่อนไหวของเขานั้นราวบทกวี น่าเลื่อมใสยิ่งนัก น่าเลื่อมใสยิ่งนัก ! “
ฮั่นจีตุ้งกระทำอีกหน เขายิ่งเกลียดชังจวินโม่เซี่ยมากยิ่งขึ้นตั้งแต่เขาพ่ายแพ้ในการแต่งกลอน แต่ เขาจักปล่อยให้ตัวเองโดนจวินโม่เซี่ยโจมตีได้อย่างไร ? การพ่ายแพ้ในงานนี้เป็นดั่งการทำลายอนาคตของตัวเอง
แต่ ตอนนี้เขาได้รับโอกาสในการล้างแค้น เขาจักปล่อยมันไปได้เช่นไร ? มิใช่เพื่อ สถาบันเหวินเชียง หากแต่เขาทำมันเพื่อตัวเอง
” สถาบันเหวินเชียง … ปราชญ์มากฝีมือ .. “
จวินโม่เซี่ยเงยหน้าขึ้น และยิ้มอย่างมีนัย
” นี่คือพฤติกรรมที่เหมาะสมแล้ว ? จักดักว่าหากข้าขี่ม้าไปยังหอนางโลม คว้าหญิงสาว และจากนั้นกระทำการอันป่าเถื่อน … โดยมิต้องงดเว้นจากอาชญากรรมและความมึนเมา นี้หรือเป็นผู้ที่สถาบันจักส่งให้อาณาจักร ? เหตุใดเจ้ามีทัศนคติทางการเมืองเช่นนั้น … และกระทำดั่งเจ้าบ่าวผู้ประสงค์จักเปลี่ยนเจ้าสาวในทุกราตรี ? “
เขาเอ่ยประโยคนั้นอย่างอ่อนนุ่มราวกับราวกับเขาหลงไปนอกลู่ทาง แต่ มันทำให้ผู้ฟังสนใจ แววตาขององค์จักรพรรดิลุกโชน สีหน้าครุ่นคิด
เพ่งมองไปออกไป
ทุกผู้ตระหนักได้ว่าประสงค์ของ สถาบันเหวินเชียง ที่จักต้องได้รับชัยนั้นแข็งแกร่งเสมอ และดื้อดึงในทุกการแข่งขันที่ผ่านมา ..
ทันใดนนั้น ทุกผู้เพ่งมองไปยังจวินโม่เซี่ย
เด็กผู้นี้มิได้สนใจในการแข่งขันนี้จริงหรือ ? หรือ เขาบอกเรื่องนี้ออกมาโดยเจตนา ?
ทุกผู้ดูสิ้นหวังอย่างยิ่ง
คิดถึงเรื่องนี้เรื่องนี้ … ชั่วร้าย ยิ่งนัก
จากนั้นจวินโม่เซี่ยขมวดคิ้ว ยืนขึ้นและเดินจากเก้าอี้เชื่องช้า คอของเขาตั้งตรงขณะที่เดินก้าวที่แปด ราวกับมันเคลื่อนตรงไปเนื่องจากการเคลื่อนไหวของขาและเอว แต่ ในความเป็นจริง … ทั้งร่างของเขาเคลื่อนถอยหลัง ราวกับมีมือที่มองไม่เห็นผลักเขาถอยหลัง อกของเขาสั่น … ราวถูกไฟฟ้าช็อต การเคลื่อนไหวของคุณชายน้อยจวินแปลกประหลาดและไม่เป็นธรรมชาติ … ตอนนี้ … มันเป็นอิสระ และเรียบง่าย
ทุกผู้จากโลกก่อนของเขารู้ถึงการกระทำของเขาในทันที การเหลื่อนไหวเหล่านั้นเป็นของ ไมเคิลแจ็คสัน ตำนานแห่งมูลวอร์ค และ ท่าหุ่นยนต์ ! การเคลื่อนไหวระดับโลกจากชีวิตก่อนของเขาตอนนี้ได้มาปรากฏขึ้นในโลกนี้แล้ว …
ในเวลานี้เหล่าผู้ที่รู้จักต้องเริ่มกรีดร้องแล้ว
การเคลื่อนไหวนี้น่าตกตะลึงยิ่ง! มุมของคอนั่นบ้ายิ่งนัก ! มูลวอร์คนี้ช่างเป็นเลิศ ว้าว ! ราวกับเจ้ามีวิญญาณแห่ง ไมเคิลแจ็คสันสิงสู่ !
น่าเสียดายยิ่งที่ไร้ผู้ใดในโลกนี้ซาบซึ้งในศิลปะของมัน ผู้คนเหล่านี้มิได้เห็นการเคลื่อนไหวอันสวยงามของคุณชายน้อยจวิน
อ่าห์ …. สามารถยิ่ง เวลานี้ไร้ผู้ใดยอมรับ .. แต่พวกเขาจักตัดสินในเวลาที่ข้าเริ่มดูหมิ่นพวกเขา ? โลกนี้มิได้เข้าใจในความสามารถ ! เช่นนั้น ข้ามิคาดว่าคนเหล่านี้จักเข้าใจสิ่งนี้ ข้าจักไม่หยุดจนกว่าข้าจักพอใจ ! วันนี้ข้าจักมิถอย !
ทุกผู้ในท้องพระโรงเพ่งมองเขาราวคนเขลา พวกเขารู้สึกว่ามิอาจทนดูสิ่งนี้ได้อีกต่อไป
หลานชายจวินจ้านเทียนตลกยิ่งนัก สกุลจวินสร้างผลงานเช่นนี้ขึ้นมาได้เช่นไร ?
ทุกผู้ไร้วาจา …
พวกเขาเห็นเขาส่ายเอว … และกลายมาเป็นท่าเต้นราวหุ่น มือขวาเขาสบัดขึ้นชูเหนือหัว ขณะมือซ้ายสบัดไปมาขณะดีดนิ้ว จากนั้นเคลื่อนมาที่ท้อง และเริ่มเคลื่อนไหวด้วยท่าทางตุ้งติ้ง
จักเป็นที่ยอมรับได้หากจวินโม่เซี่ยแสดงท่าการเคลื่อนไหวเช่นนี้ในชีวิตก่อน … ซึ่งพวกเขาถือได้ว่านี่เป็นท่วงท่าการเต้นที่ยากยิ่ง และถือได้ว่าเป็นการเต้นที่ยอดเยี่ยม แท้จริงแล้ว ท่วงท่าเหล่านี้มิอาจทำได้หากขาดตกซึ่งการฝึกฝน แต่จวินโม่เซี่ยเคลื่อนไหวเช่นนี้ได้อย่างไรกัน ? หากพวกเขาสามารถกระทำเช่นนี้ได้ จักถือได้ว่าเป็นการเต้นขั้นสุดยอด
แต่ ผู้คนในโลกนี้สามารถเชื่อมโยงการเคลื่อนไหวที่ยุ่งยากและศิลปะชั้นสูงเช่นนี้ได้เพียงการกระทำของเหล่าบุรุษในห้องนอนเท่านั้น แม้แต่สตรีก็รู้สึกเช่นเดียวกัน พวกเขามองดูการเคลื่อนไหวที่ยั่วยวนและรวดเร็วของร่างส่วนล่างของเขา … . เป็นสิ่งที่ … มิอาจทนได้ !
” อู้ววว … “
จวินโม่เซี่ยกรีดร้อง ราวกเขากำลังคร่ำครวญ ในท้องพระโรงมีเหล่าองค์ชาย … รวมถึงสตีผู้มีชื่อ และองค์จักรพรรดิ … นั่งอยู่ พวกเขาทุกผู้สาปแช่งด้วยโทสะ
ชายผู้นี้หยาบคายยิ่งนัก ! เขาไร้ยางอายสิ้นดี ! การแสดงท่าทีเช่นนี้ต่อหน้าผู้คนมากมาย !
ดวงตาอของ ตู่กู้เซี่ยวอี้ เริ่มลุกโชน ขณะที่ใบหน้าอันงดงามขององค์หยิงหลิงเมิงเริ่มซีดเผือก พวกนางปรารถนาจักมุดลงในดิน เจ้าสัตว์ร้ายนั้นฉีกพวกนางเป็นชิ้นๆ !
สิ่งนี้น่าอับอายยิ่ง ! หยาบคายยิ่งนัก !
” ฟังข้า … เนื่องจากข้าเอ่ยด้วยความหงไหล
ผู้ที่อัปลักษณ์มิอาจกระทำ
มิต้องเอ่ยว่าเจ้ารักข้า
ข้าชั่วช้าเกินไป
มิต้องลุ่มหลงในบุรุษผู้นี้
บุรุษผู้นี้เป็นตำนาน
อย่าทำให้ข้ามีโทสะ
ข้าจักทำให้เจ้าต้องกระอักเลือด “
จวินโม่เซี่ยเอ่ยร้องท่อนนี้ต่อหน้าสายตาแห่งสาธารณะ แต่ น้ำเสียงของเขามิอาจมีผู้ใดทนได้ ขณะเขาเอ่ยต่อ
” อย่าได้ใจแขบกับข้า
บุรุษผู้นี้คือบิดาเจ้า
มิควรยั่วยุข้า
ข้าจัดเฉือดเจ้าเป็นชิ้นน้อย
หัวใจของบุรุษผู้นี้รกร้างว่าเปล่า
ข้าจักสังหารเจ้าและแผดเผาทุกสิ่ง
เจ้ากล้าหรือทำให้ข้าอับอาย ?
มารดาเจ้า ! “
ขณะจวินโม่เซี่ยเอ่ยจบ นิ้วของเขาชี้ตรงไปยัง บัณฑิตของ สถาบันเหวินเชียงเพื่อบ่งบอกถึงผู้ที่เอาเอ่ยอ้าง ใบหน้าของเขามีโทสะและชั่วร้าย
ข้าดูถูกเจ้าอยู่ เจ้าเฒ่าน่ารังเกียจ ! เจ้าคิดว่าเจ้าสามารถทำให้ข้าอับอายหรือ ? แม่เจ้า ! เจ้ามิรู้หรือข้าเป็นผู้ใด เจ้าเฒ่า ?
เกิดความวุ่นวายขึ้นในเหล่าผู้ชม
ใครคือผู้ที่ดูเขา ? พวกเขาคือเจ้าหน้าที่ทางการซึ่งเฝ้าเอ่ยวาจาเพียงมุมมองตัวเองมาตลอดชีวิต พวกเขาอดทนต่อทุกการดูหมิ่น และใคร่ครวญว่าจาเพื่อมิเอ่ยวาจายหยาบคาย แต่ จวินโม่เซี่ยชี้ตรงไปยังฝ่ายตรงข้ามของเขาและดูหมิ่น
ทุกคำประพันธ์ของเขาอันธพาลผู้นั้น ทุกถ้อยคำของคนชั่ว จากนั้น ท้ายที่สุดเขาชี้นิ้วตรงไปยัง บัณฑิตแห่ง สถาบันเหวินเชียง และโยนวาจาดูหมิ่นไปยังพวกเขา ยิ่งไปกว่านั้น เขายังข่มขู่และดูหมิ่นใครบางคนที่อาวุโสกว่าเขา
” เจ้า เจ้า เจ้า เจ้า….เจ้า…เจ้า…. “
เหม๋ยเกาเจี้ยและ คุ้งหลิงหยางเป็นที่เคารพของเหล่า บัณฑิต เขาจักเคยได้ประสบความอับอายเช่นนี้มาก่อนได้อย่างไร ? และไม่เพียงเท่านั้น อันธพาลผู้นั้นดูหมินเขาต่อหน้าเหล่าเจ้าหน้าที่ทางการระดับสูง เขากระทำเช่นนี้ต่อหน้าองค์จักรพรรดิ ! พวกเขามีโทสะยิ่งนัก ร่างของพวกเขาเริ่มสั่นรุนแรง ไปถึงหนวด ใบหน้าของเขาเริ่มเป็นสีฟ้า และดวงตากรอกกลับหลัง .. ราวกำลังจะเป็นลมด้วยโทสะ
” เจ้าชั่ว ! “
จวินจ้านเทียนกระโดดขึ้น หนวดของเขายุ่งเหยิงขณะเดินมาด้วยโทสะ เขามิได้ยับยังโทสะขณะเตะอย่างรุนแรงไปที่ก้นของหลานชาย ดูเหมือนจวินโม่เซี่ยจักลอยเข้าไปยังกลุ่มควันอย่างแม่นยำและกำลังจักกระแทกเข้ากับเสาของท้องพระโรง สมองของเขาคงจะไหลออกจากกระโหลกหากกระแทกเข้ากับเสานั่น
แต่ มีชายผู้หนึ่งเข้ามาและช่วยเขาไว้
แต่ผู้ใดกัน ?
ผู้ที่ยืนอยู่ตรงข้ามกับปู่จวิน … คือ ตู่กู้ซ้งเฮง
ทั้งสองทำงานด้วยกันมานานับปี เช่นนั้น จักมิรู้ถึงอารมณ์ความรู้สึกของอีกฝ่ายได้อย่างไรกัน ? เขาไปยืนอยู่ในจุดที่เหมาะสม และคว้าตัวจวินโม่เซี่ยไว้ ดวงตาของเขาเบิกกว้างขณะตะโกน
” จวินจ้านเทียน ! เจ้าโง่เขลาอันใดเช่นนี้ ? เจ้าประสงค์จักสังหารเด็กหนุ่มที่เหลือเพียงผู้เดียวในสกุลกระนั้นหรือ ?! “
อาวุโสผู้นี้มีบางสิ่งที่ต่างออกไป … เขาถามจวินจ้านเทียนอย่างตรงไปตรงมาว่าจวินจ้านเทียนประสงค์จักสังหารเด็กหนุ่มเพียงผู้เดียวในสกุล และดูเหมือนจักหยุดเขาด้วย … หากจำเป็น
” พวกเจ้าไม่มีผู้ใดหยุดข้าได้ ! ข้าจักต้องสังหารเจ้าสัตว์นี่ ! พวกเราต้องเสียเกียรติ ! เขามิได้มีสกุลจวิน ! เขาจักมิเปลี่ยนเป็นคนใหม่หากข้ามิสั่งสอน ! “
จวินจ้านเป็นบ้าไปด้วยโทสะ ดวงตาเขาแดงก่ำ และราวกับกำลังจะถลนออกมา ดูราวเขาประสงค์จักถลกหนังของหลานชายออกจนเหลือเพียงกระดูก
แต่ วาจเหล่านั้นทำให้เหล่าเจ้าหน้าที่ทางทหารและพลเรือนดูหมิ่นสกุลของเขา
..เกียรติอันใดที่เขาต้องมัวหมอง ? จวินจ้านเทียน เจ้ารู้หรือไม่ว่าเกียรติคืออะไร ? ตอนนี้เจ้ายังมิคุ้ยเคยกับการกระทำของหลานชายเจ้าอีกหรือ ? วันนี้ กี่ครั้งแล้วที่เขาทำให้ชื่อเสียงขอสกุลเสื่อมเสีย ? แต่ตอนนี้เจ้าเพียงเอ่ยว่าจักสังหารเขาเท่านั้น ? เจ้าเปลี่ยนความคิดจักสั่งสอนเขาขึ้นมาตอนนี้หรือ ? น่าชมเชยยิ่งนัก !
กระนั้น พวกเขายับยั้งคำสาปแช่งเหล่านั้นเพียงในใจและกระทำตามปู่ตูกู้ ทุกผู้พุ่งตรงไปยังจวินจ้านเทียน ดึงแขนและขาเพื่อหยุดยังเขา เขาจักรับมือกับสถานการณ์เช่นนี้ได้อย่างไร ?
ถังหยวนร้องขึ้น เสียงของเขาสะท้อนก้อง
” เขาตายแน่ … เขาตายแน่ ผู้ใดก็ได้ช่วยเขาที ! คุณชายน้อยสาม ท่านพี่ข้า … อย่าตายนะ … ว๊ากกกกก ! “
น้ำตาน้ำมูกถังยหวนกระเด็นใส่จวินโม่เซี่ยราวน้ำทะเลขึ้น
ทันใดนนั้นเกิดเสียงดังลั่นเนื่องจา องค์จักรพรรดิทุบเข้าที่พักแขนบัลลังก์ และตะโกนด้วยโทสะกึกก้อง
” เงียบ ! เงียบ เรื่องน่าอายอันใดกัน ! “
อำนาจที่ส่งมาจากบัลลังก์นั้นทำให้ทุกผู้หยุดนิ่งและมองหน้ากันในทันที พวกเขาเริ่มส่งเสียงครวญคราง รู้สึกราวความแข็งแกร่งของพวกเขาจางหายไป แต่ แต่บางผู้ก็มิได้ใช้้ความพยามอันใดกับความวุ่นวายนี้ …
” ฝ่าบาท โปรดมอบความยุติธรรมให้เราด้วย ได้โปรดลงโทษเจ้าชั่วช้าไร้ยางอายผู้นี้ ! “
เหม๋ยเกาเจี้ยหลั่งน้ำตาเล็กน้อยขณะคุกเข่าลงบนพื้น มีเหล่บัณฑิตมากมายที่สำเร็จละล้มเหลวในหลายปีนี้ แต่กระนั้น มีผู้ใดได้รับการกระทำให้อับอายด้วยการเหยียดหยามเช่นนี้หรือไม่ ? กรณีเช่นนี้เป็นความอัปยศอย่างยิ่งกับเขา
จวินโม่เซี่ยหมดสติอยู่บนพื้น มุมปากของเขาเคลื่อนลง เขานอนนิ่ง
” ข้าผิดหวังยิ่งในเรื่องวันนี้ ! ผิดหวังยิงนัก ! “
องค์จักระพรรดิสบัดปลอกแขนไปด้านหลัง
” สกุลอันยิ่งใหญ่จักทะเลาะเบาะแว้งกันทุกค่ำคือนกระนั้น ? สถาบันเหวินเชียง จักใจแคบและคิดเล็กน้อยแทนที่จักกระทำคุณประโยชน์แก่ผู้คนสามัญได้อย่างไร ? งานรื่นเริงนี้จบแล้ว ! พวกเจ้าทั้งหมดกลับบ้านไป และพิจารณาตัวเอง ! “
ทุกผู้สับสนในสิ่งที่ได้ยิน องค์จักรพรรดิเอ่ยวาจาเหล่านั้นด้วยน้ำเสียงจริงจัง
ทันใดนนั้น พวกเขาทั้งหมดได้ยินเสียงฝีเท้าอันรีบเร่ง เสียงตื่นตกใจร้องดังขึ้นทันที
” รายงานความขัดแย่งเร่งด่วน ! “
เจ้าหน้าที่ทหารนิ่งงันขณะพวกเขามองขึ้นมา การต่อสู้เป็นบางสิ่งที่ผู้เฒ่าอาวุโสเหล่านี้ปรารถนา แต่มีได้รับความสุขเหล่านั้นมาเนิ่นนาน
ราชองครักษ์เร่งรีบมา คุกเข่า และแสดงม้วนกระดาษต่อองค์จักรพรรดิ
” เหล่าสัตว์เชวียนในป่าเถียนฟาโจมตีหัวเมืองทางใต้ของเรา ? เป็นไปได้เช่นไร ? “
องค์จักรพรรดิมิอาจไม่กลั้นมิให้ใบหน้าบูดบึ้ง พระองค์งุนงงในสิ่งที่ได้อ่าน ใบหน้าบูดบึ้งของพระองค์นั้นลึกซึ้งยิ่ง
” ผู้คนอยู่ในอันตราย อาจารย์ ฉีฉางเซี่ยว และ ฉือฮั่นออกคำสั่งเรียกทุกคนแล้วหรือไม่ ? สิ่งเหล่านี้เป็นความจริง ? “