ภายใน้ห้องลับส่วนตัว…

มีกระดานหมากรุกวางอยู่ …

 

ทหารม้าสีขาวและดำกำลังเผชิญหน้ากัน และการต่อสู้นั้นขมขื่นนัก

 

” พี่เหวิน ท่านคิดเช่นไรกับเหตุกรณ์วันนี้ ? “

องค์จักรพรรดิวางชิ้นหนึ่งในพระหัตพระองค์ลงบนกระดานอย่างนุ่มนวล  การกระทำของพระองค์ก่อให้เกิดเสียง กึก

 

เหวินฉางยู่ผู้นั่งตรงข้ามพระองค์  เขาอยู่ในชุดสีหมึกดำ เป็นหนแรกที่องค์จักรพรรดิได้เห็นสหายคนสนิทแต่งตัวด้วยชุดที่มืดมนเช่นนี้ภายในวังหลวง

 

” ยากยิ่งเกินสรุปได้ ไร้ความผันผวนของลมปราณในร่างของเขา ข้ามั่นใจ “

สีหน้าของ เหวินฉางยู่ยังคงนิ่ง  กระนั้น ดวงตาของเขาส่องประกาย ขณะมองไปยังตัวเบี้ยสีขาวที่กำลังถูกกินอยู่บนกระดาน

 

” พี่เหวิน เจ้าคิดว่าเจ้าจักสังหารควีนของข้าได้ด้วยตัวเบี้ยนี้กระนั้น ? มิง่ายดายเช่นนั้น “

พระองค์อธิบายการเดินหมากและต่อ

 ” หากแต่ข้ารู้สึกเสมอว่าเจ้าชั่วน้อยจวินผู้นั้นมิใช่ตัวละครที่เหมาะสมยิ่ง ท่านคิดเห็นเช่นไร ? “

 

” เขานั้นห่างไกลเกินกว่าตัวละครที่เหมาะสม  เช่นนั้น จึงควรจักน่าสงสัย “

นายเหวินหลับตา และครุ่นคิดชั่วครู่ จากนั้นเขาต่อ

” เจ้าเด็กจวินผู้นี้แปลกยิ่ง เขากระทำชั่วช้า และมิได้สนใจอันใดในโลก ราวกับอันธพาลผู้ที่มีความสุขกับการก่อกวนผู้อื่น  แต่เขาก็มิได้ดูเสแสร้งเกินกว่าที่อาวุโสผู้นี้คาดไว้ “

 

” พี่เหวินหมายถึง … “

องค์จักรพรรดิโน้มเศียรเล็กน้อย เขาชี้นิ้วไปยังหน้าผากและเริ่มส่งสัญญาณ

 

” บางทีเขาอาจกลัวที่จักเปิดเผยตัวตนกับทุกคน ! “

นายเหวินเอ่ยด้วยน้ำเสียงธรรมดา เป็นที่ชัดเจนว่าเขาได้ศึกษาการเคลื่อนไหวของจวินโม่เซี่ยกระจ่างนัก และนำมันมาพิจารณาอย่างลึกซึ้ง  เขาเพียงแต่ใช้โอกาสนี้ในการเอ่ยสิ่งที่เขาคิด

” เขามิประสงค์จักสดงตัวตนออกมาต่อหน้าผู้อื่น รวมถึงพระองค์ “

 

” โอ้ว นั่นคือสิ่งที่ท่านหมายถึง ! “

องค์จักรพรรดิกำลังหยิบชิ้นหมากรุกที่พ่ายแพ้ออกจากกระดาน แต่ต้องหยุดมือไว้

” ท่านรู้เช่นนั้นได้อย่างไร ? “

 

” ไร้วาจาที่เหมาะสมจักพิสูจน์ได้  แต่ข้าเชื่อว่าจวินโม่เซี่ยผู้นั้นใช้พฤติกรรมที่มีชื่อเสียงเพื่อแสดงความเย่อหยิ่งต่อผู้อื่น หากแต่เขายังบอกถึงสิ่งสำคัญแก่พระองค์เช่นกัน “

เหวินฉางยู่ยิ้มและหัวเราะ

 

” เขามิได้ต้องการจักขัดแย้งกับโครงสร้างอำนาจของโลก ! “

จักรพรรดิตอบกลับด้วยพระองค์เอง

” การกระทำของเขาบอกข้าเช่นนี้ชัดเจนยิ่ง จนข้าสามารถสัมผัสถึงมันได้อย่างง่ายดาย เช่นนั้นข้าจึงมิจำเป็นต้องหวาดกลัวเขา  และ เขาได้ใช้ทักษะซึ่งมิถูกต้องของเขาเพื่อบอกข้าถึงความล้มเหลวของระบบการศึกษาของ สถาบันอักษรสวรรค์เหวินเชียง เขาพยายามบอกข้าถึงความผิดพลาดอันไร้เหตุผลที่พวกเขาเรียกว่า บัณฑิต !  เขาประสงค์ให้ข้าเห็นถึงภัยซึ่งมองไม่เห็นที่มาจาก เหล่าเจ้าหน้าที่และข้าราชบริพารที่ฉ้อฉน  ความรักในสวัสดิภาพของอาณาจักรทำให้ข้าต้องติดหนี้ “

 

” ใช่แล้ว  นั่นถูกต้อง  นั่นคือสิ่งที่เขาเป็น  มิสำคัญที่ต้องระแวดระวังในตัวเขา  ระบบการศึกษาของเหวินเซียงเป็นเลิศมานานปี และการที่เขามีส่วนร่วมในอาณาจักรนั้นมิอาจปฏิเสธ  แต่ นานปีมานี้พวกเขามุ่งเน้นไปยังเรื่องการรักษาซึ่งพรสวรรค์มากเกินยิ่ง แต่พวกเขาหลงลืมที่จะหล่อหลอมความสามารถเข้ากับความมีศีลธรรม  บัณฑิตแห่งเหวินเชียงนั่นพุ่งทยานขึ้นสู่จุดสูงสุด หากแต่มีรากฐานที่สั่นคลอน  พวกเขาฝึกฝนความสามารถ หากแต่ไร้ซึ่งสิ่งอื่น พวกเขาเป็นตัวเลือกที่ดีในระยะสั้น แต่ เมื่อเป็นเรื่องความสุขสบายของผู้คน และการใฝ่หาผู้นำที่เหมาะสมในการแก้ปัญหาให้แก่ผู้คน บัณฑิตเหล่านี้ห่างไกลนัก

 

 

” เช่นนั้น ปัญหาของโครงสร้างสถาบันเหวินเชียงนั้นเป็นเรื่องเล็กน้อยในเวลานี้

 

” ยังมีกลุ่มกองสามารถไม่สามัญของทายาทรุ่นเยาว์ถึงสกุลทรงอำนาจอยู่ภายในเทียนเชียง แต่มิได้ดึงดูดความสนใจมากมายนัก  มีเพียงสองผู้ที่มากฝีมือเพียงพอให้เราต้องเป็นกังวล … “

เหวินฉางยู่ยิ้ม

” หนึ่งคือ ลี่โย่วหลาน และอีกหนึ่งคือ จวินโม่เซี่ย ! “

 

” ลี่โย่วหลาน ? “

องค์จักรพรรดิยิ้ม

” ลี่โย่วหลานทะเยอทะยานยิ่ง แต่ท่าทีของเขานั้นมิใช่ เขามิเคยเผยความรู้สึกตัวเอง และถือตัวด้วยท่าทีอ่อนโยนเสมอ เขานั้นไร้จุดอ่อน ข้ามักได้ยินผู้คนเอ่ยกันว่าเขานั้นมากฝีมือนัก และกลยุทธ์ของเขาสามารถชนะสงครามได้แม้นอยู่ห่างไกลไปพันลี้  เขาอาจมากฝีมือ แต่พรสวรรค์ที่มีมาแต่เกิดนั้นมิควรค่าเพียงพอให้สนใจ “

 

” เหตุใดจึงเป็นเช่นนั้น ?”

พระองค์มิเข้าใจเหตุใดผู้มีฝีมือเป็นเลิศจึงมิควรค่าพอให้พิจารณา

 

” บางที ลี่โย่วหลานก็มิได้เข้าใจมันด้วยตัวเอง แต่เขานั้นมีวิธีการมากมาย การศึกษมากมาย และมากสามารถ … แต่เขาขาดแคลนคุณสมบัติพื้นฐาน เขามีทุกสิ่งที่จักทำให้เป็นขุนนางผู้เป็นเลิศในวันข้างหน้า และจักโดดเด่นยิ่งในสายงานของเขา  กระนั้น อุปนิสัยของเขานั้นสอดคล้องกับขุนนางมากกว่า มิใช่ไม้บรรทัด ! “

 

องค์จักรพรรดิยิ้ม

” ดังนั้น ลี่โย่วหลานสามารจักเป็นขุนนางชั้นยอดได้ แต่ความทะเยอทะยานของเขาขัดขวางเขาไว้  เขาควรค่าให้ข้ากังวลหากเขาสามารถก้าวขึ้นไปได้อีกหนึ่งขั้น แต่เขาไม่มีสิ่งที่จักได้เป็นราชา !  ….. ความทะเยอทะยานของเขามิควรค่าพอให้ข้ายกย่อง ข้ามั่นใจว่าคามทะเยอทะยานของเขาจะจางหายไปในไม่ช้า  เช่นนั้นเหตุใดพวกเราจึงต้องกังวล ? “

 

” ราชาจักวางแผนอยู่เบื้องหลัง ?  ลี่โย่วหลาน ลี่โย่วหลานคุ้นเคยกับการเคลื่อนไหวอยู่เบื้องหลัง  เขาจักมิทำสิ่งใดแม้นว่าเขาจะออกมาเบื้องหน้า  นิสัยของเขาทำให้ เขามิคุ้นเคยกับทบาทของ จักรพรรดิ !  แต่ จักรพรรดิจำเป็นต้องเป็นผู้นำ  เขาต้องมีหน้าตาต่อสาธารณะ  ดังนั้น ลี่โย่วหลานเป็นเป้าหมายชั่วคราวที่ควรตรวจสอบ แต่เพียงชั่วคราวเท่านั้น  พวกเราเพียงแต่เฝ้าดูการเคลื่อนไหวของเขาเพื่อดูว่าเราจักใช้งานเขาได้หรือไม่ เพียงเท่านั้น  แต่ มิจำเป็นต้องกำจัดเขาออกไปเนื่องจากเขาสามารถเป็นเหตุให้เกิดระรอกคลื่นได้ แต่เขามิอาจก่อให้เกิดคลื่นยักษ์ได้ “

 

องค์จักรพรรดิตัดรายชื่อของผู้มีฝีมืออันดับหนึ่งของ นครเทียนเชียงออกไปจากรายชื่อผู้มีชื่อเสียง

 

” กระบวนการคิดของพระองค์นั้นน่าชมเชย “

เหวินฉางยู่ ครุ่นคิดในมุมนั้นอย่างละเอียดและยอมรับ เขายอมรัยว่า พระราชอำนาจของสหายนั้นเหนือกว่าความสามารถชั้นเลิศของเขา  นั่นคือโลกซึ่งแตกต่างกันระหว่างความคิดของราชาและนักปราชญ์แห่งศิลปะการต่อสู้  แตกต่างยิ่งเทียบได้กับสวรรค์และพื้นดิน  อุดมการณ์ทั้งสองเดินไปตามเส้นทางคนละสาย

 

” จวินโม่เซี่ยผู้นั้น อันตรายยิ่งกว่า ลี่โย่วหลาน ความแตกต่างระหว่างภัยคุกคามที่พวกเขามีนั้นมิอาจเปรียบกันได้ ความก้าวหน้าของ ลี่โย่วหลานจักมีข้อจำกัดเพียงจุดหนึ่ง  แต่จวินโม่เซี่ยนั้นเป็นมังกรที่หลบซ่อนอยู่ เขาจักพุ่งทะยานสูงเมื่อโตขึ้นและสยายปีก  เขาแสดงชัดเจนว่าเขามิได้กระหายในอำนาจ แต่เป็นผู้หนึ่งที่น่าสังเกตุว่าชีวิตของเขาจักพัฒนาไปเช่นไร  ลี่โย่วหลาน สามารถกลายเป็นหมอกควัน และทำให้ฝนคะนองได้ภายในกระบวนท่าเดียว แต่สามารถควบคุมได้  กระนั้น จวินโม่เซี่ยจักกลายไปเป็นยอดกระบี่ที่มิอาจยับยั้งเมื่อเขาสุกงอม และ ไม่มีผู้ใดยับยั้งเขาได้ ! “

 

องค์จักรพรรดิถอนใจลึกซึ้ง

” เวลานี้มีผู้คนมากมายในแผ่นดินใหญ่  กระนั้น ดินแดนนี้ก็มิเคยได้พบเห็นผู้มีฝีมือไร้เทียมทานเช่น จวินโม่เซี่ย และ ลี่โย่วหลาน ข้าหัวงว่าข้าจักมีเวลาสักห้าสิบปีเพื่อนั่งและเฝ้าดูเด็กเหล่านั้น  ความสำเร็จของเขาจักกลายเป็นเสาหลักของอาณาจักรเมื่อถึงอายุ !  พวกเขาสามารถเขียนประวัติศาสตร์  ยิ่งไปกว่านั้น นิสัยของพวกเขาน่าชื่นชมยิ่ง  มันจักทำให้พวกเขารักษาระดับอำนาจที่สมดุลย์เอาไว้  ดังนั้น พวกเขาหมาะสมจักเป็นหุ้มส่วนที่ยอดเยี่ยม !  กระนั้น ข้าก็มิรู้ได้ว่าเด้กเหล่านี้จักเป็นสิ่งใดในอนาคตสำหรับคนรเทียนเชียงของข้า พร .. หรือ คำสาป .. ? “

 

” พระองค์เป็นเลิศในวัยหนุ่ม เขายังหนุ่มและมากด้วยพลัง ความคิดเช่นนี้กำเนิดมาจากที่ใด ? “

เหวินฉางยู่เอ่ยด้วยน้ำเสียงปลอบประโลม

 

” ข้ารู้ถึงสภาพร่างกายข้าเป็นอย่างดี  บางทีร่างกายของข้าอาจทนอยู่ได้เพียง สิบหรือยี่สิบปี แต่มันก็อาจจะอยู่ไปได้ไม่เกินกว่านั้น  ความเจ็บปวดจากบาดแผลเหล่านั้นจักแสดงผลออกมาเมื่อถึงเวลา  แม้แต่ ราชันยาผู้ชั่วร้าย ก็ยืนยันเช่นนั้นชัดเจน ข้าจักมิได้มีชีวิตอยู่ยืนนาน มิจำเป็นที่เจ้ามาปลอบใจข้า

 

” ข้าเพียงมีเรื่องหนึ่งกังวล และเป็นเหตุให้ข้าเป็นกังวลยิ่งนัก  ข้าได้พบกับสองสิ่งมีชีวิตที่โลกมิเคยได้เห็น  ข้าสามารถเฝ้าดูเขาได้ตราบใดที่ข้ายังมีชีวิตอยู่  แต่เมื่อข้าสิ้นไป … ลูกชายทั้งสามของข้าจักไร้ฝีมือควบคุมพวกเขาได้  พวกเขาจักไร้ฝมือยับยั้งแม้นว่าเด็กหนึ่งในสองผู้นี้เมื่อพวกเขาสยายปีก … “

จักรพรรดิถอนพระทัยด้วยด้วยร่องรอยที่ผิดหวังและท้อใจ

 

” ทะเลทั้งสี่สงบนิ่ง ชายแดนสงบสุข ทุกสกุลภักดีต่อบัลลังก์ ข้าเชื่อว่าเหตุการณ์เช่นนั้นจักมิเกิดในเร็ววัน “

เหวินฉางยู่เอ่ยต่อ

” พระองค์โปรดสบายพระทัย “

 

” เนื่องด้วยสถานการณ์นี้ไร้ความวุ่นวายจึงทำให้ข้าลังเล บางทีพี่เหวินอาจยังมิเห็น … แต่จวินโม่เซี่ยและลี่โย่วหลานได้เข้ามาแทนที่ความสมดุลของคนรุ่นอาวุโสแล้ว  ทั้งสองนี้เป็นกุญแจหลักในการสมดุลสถานการ์ของกองทัพและพลเรือน หากผู้หนึ่งเกิดปัญหา … ความสมดุลนี้จักพังทะลายลงในทันที และความสงบของบ้านเมืองในปัจจุบันจักแหลกสลาย ทั้งสองเลือกที่จักรักษาสมดุลในเวลานี้ แต่  แต่มิอาจรับประกันได้ว่าในอนาคตพวกเขาจักยังคงรักษาไว้  หายนะที่พวกเขาอาจก่อขึ้นมิใช่เล็กน้อย อาจมีสิ่งต่างๆเปลี่ยนปลงไปในอนาคต “

 

” พระองค์มีความคิด … จัก … กำจัดพวกเขา ..? “

เหวินฉางยู่พิจารณาวาจาองค์จักรพรรดิชั่วครู่  จากนั้นเขาก้มหัว และถามด้วยน้ำเสียงอ่อนนุ่ม

 

” สกุลจวินประสบความสูญเสียมากมาย  เช่นนั้น ข้าจักกำจัดทายาทที่เหลือเพียงหนึ่งได้เช่นไร ? “

 

องค์จักรพรรดิยิ้มเล็กน้อย  กระนั้น นายเหวินก็ยังมิอาจมั่นใจวาจาพระองค์

 

” เพียงแต่นี่มิใช่เวลาที่เหมาะสม  ลองคิดดูพี่เหวิน … อาจมีความวุ่นวายก่อเกิดเป็นวงกว้างหากจวินโม่เซี่ยตาย อาณาจักรจักสามารถคงทนต่อความวุ่นวายมหาศาลเช่นนี้ได้หรือ ?  หากเขาตาย เขาจักต้องตายด้วยอุบัติเหตุที่แท้จริง  มิเช่นนั้น นี่ก็มิใช่เวลาที่จักกำจัดเขา ฝักฝ่ายจวิน จักตอบโต้  กลายเป็นสถานการณ์เป็นตาย  พวกเรามิอาจเคลื่อนไหวจนกว่าสกุลจวินจักเสื่อมถอย “

 

พระองค์ถอนใจ

” ยิ่งกว่านั้น อย่าได้หลงลืมว่า มีอีกสกุลนอกเหนือจากสกุลจวินที่ยังคงหนุนหลังจวินโม่เซี่ยอยู่ ความแข็งแกร่งของพวกเขาอาจมิน่าหวาดกลัวเท่า คฤหัสน์ฉือฮั่น หรือ นครพายุหิมะสีเงิน แต่ควาแค้นของพวกเขาเมื่อจวินวูเห่ยตายลงนั้นสั่นสะเทือนทั้งปฐพี ! “

 

พระองค์ถอนใจโศกเศร้า  ดูคล้ายดั่งความโศกในลมหายใจนี้จักมาจากจิตวิญญาณส่วนลึกของพระองค์

 

เหวินฉางยู่บอกได้อย่างชัดเจนจากเสียถอนใจที่ได้ยิน  กระนั้น เขาก็มิอาจบอกได้ว่าเหตุใดองค์จักรพรรดิจึงเลือกแสดงความโศกเศร้าจากก้นบึ้งหัวใจต่อเรื่องนี้ เขามิอาจเข้าใจ เหตุใจองค์จักรพรรดิจึงโศกเศร้าและรู้สึกผิดบาปต่ออุบัติเหตุนี้ …

 

” สกุลต้งฝ๋าง !  สกุลมือสังหารอันดับหนึ่งของโลก ! “

เหวินฉางยู่เบิกตากว้างขณะเขาอุทาน

” พวกเขามิได้สาปสูญไปเมื่อแปดปีก่อน ?  จวินโม่เซี่ยมีสกุลต้องฝ๋างหนุนหลังหรือ ?

”  เจ้าคาดการได้ถูกต้อง ! “

องค์จักรพรรดิหลับพระเนตรลงอย่างเจ็ปวด และเงยพระพักต์ขึ้น

” หลังจากจวินวูเห่ย และจวินวูเมิงถูกลอบสังหารในสมรภูมิอย่างลึกลับ … มือสังหารระดับสูงจาก สกุลต้งฝ๋าง มุ่งหน้าออกไปล้างแค้นอย่างบ้าคลั่ง  พวกเขาออกมาเผชิญหน้ากับอาณาจักรเทียนเชียง และ นครพายุหิมะสีเงิน พวกเขาออกมาเผชิญหน้ากับทุกผู้ทั่งทั้งดินแทน และ อาบผืนแผ่นดินด้วยเลือดเพื่อล้างแค้นต่อการตายของ จวินวูเห่ย เจ้าพนักงานต่างเมืองของ นครพายุหิมะสีเงินเกือบทั้งหมดถูกลอบสังหารภายในปีหลังจากนั้น  ขุนพลผู้ที่ต่อสู้กับจวินวูเห่ยในสมรภูมิจำนวนหนึ่งถูกลอบสังหารเช่นกัน !  และนั้นคือตอนที่ข้าได้รับบาดเจ็บ … สกุลต้งฝ๋างส่งยอดมือสังหารสิบเจ็ดคนมาสังหารข้า และพวกเขาได้มอบบาดแผลที่ทำให้ถึงตายนี้แก่ข้า  ข้ายังมิสามารถรักษามันได้  ร่างกายข้ามิอาจฟื้นคืนกลับมาได้เนื่องจากบาดแผลนั้น ! “

 

” มิได้มีเพียง นครพายุหิมะสีเงิน ที่ส่งยอดฝีมือเพื่อต่อกรกับ พวกเขา คฤหัสน์ฉือฮั่นก็ออกมาเผชิญหน้ากับ สกุลต้งฝ๋างเช่นเดียวกัน  ยอดฝีมือเหล่านี้ต่อสู้กันอย่างเป็นความลับ  สงครามดำเนินยืดเยื้อนับปี ในที่สุด สกุลต้งฝ๋าง ก็ถูกปราบปรามลง  เซียงยุ่นและ ปู้ยู๋ แห่งสกุลเซี่ยว เป็นผู้นำในกาต่อสู้ครั้งสุดท้ายกับ สกุลต้งฝ๋าง ลีจื้อเทียน และ ฝานเฟิงฉื๋อ ได้ลงนามและเป็นสักขีพยานว่า พวกเขาได้กำจัดผู้แข็งแกร่งครึ่งหนึ่งของ สกุลต้งฝ๋างลงในเวลานั้น แต่กระนั้น สกุลต้งฝ๋างก็ยังมิได้ถูกทำลาย  พวกเขารวบรุมคนหนุ่มสาวและมุ่งหน้าข้าไปยังหุบเขาลึกลับเพื่อหลบซ่อน  พวกเขาได้กระทำสัตย์สาบาญในตอนที่ล่าถอย สกุลต้งฝ๋างจักมิปรากฏตัวในแผ่นดินใหญ่อีก … เว้ยเพียงแต่ ยอดกระบี่ที่ถูกหิมะปกคลุมจักพังทะลายลงด้วยดินถ่มและ สัตว์เชวียนแห่งป่าเถียนฟาหมดสิ้นไป ! “

 

” เว้นเพียงแต่ ยอดกระบี่ที่ถูกหิมะปกคลุมจักพังทะลายลงด้วยดินถล่มและ สัตว์เชวียนแห่งป่าเทียนฟาจักพบจุดจบ ! “

เหวินฉางยู่รู้จักคำปฏิญาณนี้ กระนั้น เขาก็ยังมิอาจกลั้นมิให้ตัวสั่นได้เมื่อได้ยินมันอีกหน

 

” ยอดกระบี่ สถิตย์อยู่บนยอดเขาที่มีหิมะปกคลุมมานานนับหมื่นปี มันจักพังทลายลงด้วยดินถล่มได้อย่างไรกัน ?  สัตว์เชีวยนอาศัยอยู่ในวิมานอันศักดิสิทธ์ภายในป่าเถียรฟา พวกเขาจักพบจุดจบได้เช่นไร ?  เช่นนั้น มิได้หมายความว่า สกุลต้งฝ๋าง จักมีออกมายังโลกภายนอกอีกแล้วกระนั้นหรือ … ? “

 

” นั่นมิสำคัญ  สกุลต้งฝ๋างจักส่งกองกำลังออกมาหากมีผู้ใดก่อกวนที่มั่นของพวกเขา และกับผู้ที่พวกเขาห่วงใย จวินโมโย่วและ จวินโม่โชวสิ้นชีพในสมรภูมิห้าปีหลังจากพวกเขาได้กระทำสัตย์สาบาน สกุลต้งฝ๋างได้ส่งกองกำลังออกมาอีกครั้ง พวกเขาอ้างว่าประสงค์จักแก้แค้น แม่ทัพเทียนเชียงผู้บัญชาการในสงครามนั้นมิอาจรอดพ้นการลอบสังหาร หัวของพวกเขาถูกโยนเข้าไปในวังหลวงในยามค่ำคืน มีข้อความจารึกไว้บนหัวเหล่านั้น กล่าวว่า หากจวินโม่เซี่ยต้องประสบกับเคราะห์ร้าย ราชวังแห่งอาณาจักรเทียนเชียงจักเป็นเป้าหมายต่อไป ! ข้ามิเคยล่วงรู้ถึงความลับนี้ ไม่แม้แต่จวินจ้านเทียน ! “

 

” และ พี่เหวิน .. เป็นเวลาสามปีแล้วนับแต่นั้น … และพวกเรายังมิสามารถหยุดมือสังหารเหล่านั้นจากการเข้ามาในวังหลวง “

น้ำเสียงองค์จักรพรรดิอบอวนด้วยโทสะ มีร่องรอยแห่งความอ่อนแอและเสียเกียรติอันรุนแรงเช่นเดียวกัน

” จวินโม่เซี่ยเป็นลูกชายที่เหลือรอดเพียงผู้เดียวของลูกสาวพวกเขา หลานชายคนสุดท้ายจากสายเลือดฝั่งผู้หญิงของพวกเขา !  โชคชตากับชีวิตของเขาอาจเป็นผลถึงความตายของทั้งราชวงศ์ ! “

 

” จวินจ้านเทียนยืนกรานที่จักต่อต้านการสนับสนุนของพวกเขา ความจริง เขาได้ตัดขาดทุกความสัมพันธ์กับ สกุลต้งฝ๋าง !”

องค์จักรพรรดิกระแทกหมากรุกสีขาวลงบนกระดานเสียงดังตุ๊บ และ ทำให้ตัวหมากในกระดานเคลื่อนไป นิ้วมือพระองค์สั่นเทาขณะโน้มพระเศียรลง

” ท่านพี่จวินแสดงถึงความรักที่มิอาจลบล้างต่อข้า … ข้า … ข้ามิอาจกระทำสิ่งนี้ต่อท่านพี่ได้ ! “

 

จากนั้นพระองค์ เงยพระพักษ์ขึ้นและเอ่ย

” ข้ายอมรับ !  ข้าอาจ … ข้าเป็นจักรพรรดิเสมอมา !  ข้าเป็นราชาแห่งชนชาติเสมอ ข้ามิเคยเป็นพ่อ ในสกุลเทียนของข้าเลย !  จักรพรรดิควรจักต้องไร้ปราณี … ข้าจักต้องคิดถึงการเชิดชูอำนาจอันยิ่งใหญ่อยู่เสมอ ข้าจักต้องเป็นกังวลต่ออนาคตแห่งดินแดนนี้ ข้ามิอาจปล่อยให้มีสิ่งในคุกคามต่ออำนาจอันยิ่งใหญ่ของข้า … มีอยู่ได้ !  และข้ามิสามารถคิดถึงความรู้สึกของท่านพี่ได้เมื่อ … เป็นเดิมพันที่มากมายเช่นนั้น … “

 

” บางที … นี่อาจเป็นเหตุผลให้ตำแหน่งองค์จักรพรรดินั้น อ้าว้างเป็นที่สุด !  เขาจักต้องตัดขาดจากทุกสิ่ง … เขาจักต้องตัดขาดจากทุกสิ่ง … เห้อ … “

เหวินฉางยู่เงียบเป็นเวลานานก่อนจักถอนใจลึก

 

 ” ดังนั้นเราจึงมิอาจเคลื่อนไหวอันใดต่อผู้ที่ยังเหลือรอดของสกุลจวินได้  ไม่ว่าพวกเขาจะอยู่ฝ่ายใด … พวกเรามิอาจกระทำอันใดกับพวกเขาได้  แม้นมันจักเป็นเหตุผลทีจักกำจัดพวกเขา … พวกเรามิสามารถกระทำอันใดกับพวกเขาได้ ! หากพวกเขาตาย .. พวกเขาต้องตายจากเหตุร้ายโดยแท้จริง !  และไม่ว่าสิ่งใดเกิดขึ้น … สมาชิกในราชวงศ์จักต้องไม่มีส่วนเกี่ยวข้องอันใดทั้งสิ้น  มิเช่นนั้น … พวกพวกเราถูกจับได้ .. และสกุงต้งฝางบ้าคลั่งอีกหน .. น้องเหวิน สถานการณ์จักมิต่างไปจากสิบปีก่อน  พวกเราพึ่งพิงตัวเองตั้งแต่ จุ้นเป้ยเฉิน จากไป !  หาก สกุลต้งฝ๋างกลับมา … สกุลเทียนของข้าจักเป็น…อันตรายใหญ่หลวง !”

 

” เหตุร้ายโดยแท้จริง … สังหารคนเช่นจวินโม่เซี่ยในเหตุร้ายโดยแท้จริง …”

นายเวินถอนใจ

” … จักเป็นการยากยิ่ง … “

 

” มิได้ยากยิ่งเช่นนั้น ! “

จักรพรรดิยิ้มลึกล้ำ  ปรากฏความซับซ้อนในสายพระเนตรพระองค์

” เหตุร้ายนี้จำเป็นต้องมีเวลาที่เหมาะสม  และเวลาที่เหมาะสมนั้นจักปรากฏขึ้นมาเอง ! “

จากนั้นพระองค์ดึงม้วนกระดาษออกจากปลอดแขน และกางออกบนกระดาน

 

” สัตว์เชีวยน ?  พระองค์ประสงค์จัก …. “

ดวงตา เหวินฉางยู่เปล่งประกายขณะเขาถอนใจโล่งอก

 

” เหตุนี้เกินขึ้นทางตอนใต้ของเทียนเชียง ไม่มีประเทศอื่นมีส่วนเกี่ยวข้อง กระนั้นหากกองกำลังของ คฤหัสน์ฉือฮั่นล่มสลาย … ผู้แรกที่จักต้องทนทุกข์จักต้องเป็นเทียนเชียงของข้า !”

 

องค์จักรพรรดิเลิกพระขนง เอนร่างถอยหลัง และพลิกฝ่ามือ ” เช่นนั้น พวกเราจำต้องเคลื่อนกำลังพล  และกองกำนยลังนี้จักต้องไม่พ่ายแพ้ในเวลาอันสั้น  เช่นนั้น ทุกสกุลสำคัญจากนครหลวงจำต้องจัดหาอาสาจากสกุลพวกเขา  พวหเราจักต้องสร้างกองทัพชนชั้นสูง และจากนั้นจักเกนทหารนับหมื่น “

 

” อาสาสมัครของกองกำลังนั้นจะต้องมาจาก สกุลมูล่ง  สกุลถัง สกุลลี่ สกุลซ้ง สกุลจวิน … ฮ่าฮ่า  ทั้งเมืองหลวงจักว่างเปล่าอีกครั้งเมื่อผู้คนเหล่านี้เดินขบวนไปทางใต้ และข้าจักใช้เวลาเหล่านั้นและตระเตรียมลูกชายทั้งสามของข้า “

 

” จากนั้นพวกเราจักรอคอยพวกเขากลับมา ข้าเชื่อว่าเรื่องนั้นจักเปลี่ยนไปตามกาลเวลา  ทุกสถานการณ์จักเปลี่ยนไปเมื่อพวกเขากลับมา “

จักรพรรดิแย้มสรวงและเอ่ย

” กองกำลังนี้จักยิ่งใหญ่และ ทุกสกุลใหญ่ๆจักต้องมีอาสาสมัคร  ผู้ใดจักไม่ต้องการเข้าร่วมกองทัพนี้เมื่อพลังและความแข็งแกร่งยิ่งใหญ่เช่นนี้ … ฮ่าฮ่า .. “

 

เสียงหัวเราะขององค์จักรพรรดิปะปนความเยือกเย็นและประสงค์อันชั่วร้าย  ผู้ใดจักมิเห็นชอบกับกองกำลังอันยิ่งใหญ่เช่นนี้ ? ผู้ใดกันที่ไม่ประสงค์จักเข้าร่วมกองกำลังที่ยิ่งใหญ่เช่นนี้ ? ไม่มีผู้ใดสนใจถึงการคุกคามของสัตว์เชวียนก่อนสมัครเข้าร่วมกองทัพนี้ ! ส่วนใหญ่แล้วจักต้องพบจุดจบเป็นความตาย !

 

” พระองค์ได้เลือกผู้นำทัพในครั้งนี้ ? “

เหวินฉางยู่เอ่ยถามแม้นเขาจักคาดการคำตอบไว้แล้ว

 

” จวินวูอี้ ! “

จักรพรรดิยิ้มอย่างั่วร้าย

” ผู้ในนอกจากจวินวูอี้จักสามารถนำกองทัพเช่นนี้ได้ !  มีผู้อื่นหรือที่เหมาะสม ? “

แสงอันเยือกเย็นสว่างวาปในดวงเนตรพระองค์

ข้ามิรู้ว่าเหตุใดเจ้าจึงจัดการประมูลใน หอชนชั้นสูง  จวินวูอี้ …ครั้งนี้ข้านำเจ้าหนึ่งก้าว  และ ข้าจักขัดขวางแผนการของเจ้า  !  สัตว์เชวียนเทียนฟาเหล่านี้ …เป็นดั่งพรประทาน !

 

ด้านนอกราชวัง  ใบหน้าจวินโม่เซี่ยมืดมนท่ามกลางความมืดมน  ดวงตาของเขามององค์จักรพรรดิ ราวกับดวงตาของอินทรีย์ที่แหลมคมและเต็มไปด้วยโทสะ  ดูเหมือนเขามองไปยังด้านหลังขององค์จักรพรรดิ แท้จริงแล้ว เขามิอาจอดกลั้นตัวเองไว้

 

คุณชายน้อยจวินเริ่มกระตุ้น เคล็ดปลดผนึกชะตาสวรรค์ เพื่อมองหาสายลับที่แอบซ่อนอยู่ใกล้เคียง   กระนั้น ก็ได้พบเข้ากับบางสิ่งที่มิอาจคาดคิด  เขากระซิบ

” เจ้าอ้วน ข้าขอให้เจ้ารวบรวมสมุนไพร เจ้ารวบรวมมาได้มาเท่าใดแล้ว ? “

 

” ข้าเพียงเพิ่งเริ่มต้น  เจ้าคิดว่าจักมากเท่าใด ? “

ถังหยวนตกตะลึง คุณชายน้อยจวินร้องขอให้เขารวบรวมสมุนไพรหายากเมื่อไม่กี่วันก่อน  ดังนั้น จึงแปลกประหลาดหากจักสามารถจัดหาได้ในเวลาอันสั้นเช่นนี้

 

” ฟังนะ ข้าต้องการให้เจ้ารวบรวมสมุนไพรเหล่านั้นมาให้ข้าให้เร็วที่สุดเท่าที่เป็นไปได้  ข้ามิสนว่าเจ้าจักใช้วิธีการใดเพื่อให้งานนี้สำเร็จ ยิ่งเร็วยิ่งดี ! ป่าวประกาศให้ทั่วหากเจ้าต้องการ กระจายข่าวไปเพื่อให้ได้สมุนไพรเหล่านี้มา  เจ้าต้องจัดซื้อพวกมันแม้นจักต้องจ่าย สองหรือสามเท่า ! เช่นกัน ข้าได้เอ่ยถึงสมันไพรพิเศษสามอย่าง ..หากเจ้าหามันได้ ซื้อมา ไม่ว่าราคาจักสูงส่งเช่นไร !  เดิมทีแล้ว ข้าต้องการพวกมันเร็วเท่าที่เป็นไปได้ และไม่สนใจว่าราคาจักเท่าใด  ข้าต้องการให้เจ้าส่งสมุนไพรทุกอย่างที่เจ้าได้มาให้ข้าทุกวัน … และข้าต้องการให้เจ้าส่งมันมาในทุกเช่าเย็น แม้นเจ้าจักได้รับสมุนไพรมาเพียงหนึ่งอย่าง ข้าก็ต้องการให้เจ้าส่งมันมาให้ข้า  ข้าต้องการพวกมันอย่างเร็วที่สุดเท่าที่เป็นได้ !  เจ้าเข้าใจหรือไม่ ? “

 

” ข้าเข้าใจ !  ข้าจักพยายามให้ดีที่สุด ! “

ถังหยวนสัมผัสได้ถึงความเร่งด่วนในภาษากายของจวินโม่เซี่ย  ดังนั้น เขาจึงเห็นด้วยโดยไร้ลังเล

 

จวินโม่เซี่ยถอนใจยาว ดวงตาของเขาดูราวเปล่ประกายผ่าเผย  เขาหมุนตัวไป และเพ่งมองไปยังราชวังซึ่งเปล่งประกายทองอร่ามภายใตแสงตะวัน ราวกับเขากำลังเพ่งมองไปยังดวงตาสองคู่ที่มิอาจมองเห็นซึ่งเพ่งมองกลับมยังเขา

 

เขาหวนนึกถึงการกรทำในงาน ครุ่นคิดถี่ถ้วน และจากนั้นสงบสติตัวเองลง

 

องค์จักรพรรดิคลางแคลงเขา  เขาตระหนักสิ่งนี้ได้ในการประมูลภายใน หอชนชั้นสูง  งานฉลองในราชวังนี้เป็นเพียงการพิสูจน์ขององค์จักรพรรดิ  ไม่สำคัญว่าจวินโม่เซี่ยจักกระทำอวดดีเช่นไร .. ไม่สำคัญว่าเขาจักวางแผนการพฤติกรรมของเขาถี่ถ้วนเช่นไร .. ไม่สำคัญว่าเขาจักพิถีพิถันเพียงใด … เขาก็มิอาจปรับเปลี่ยนความจริงนี้ได้

 

เขาเพียงผ่อนปรนเพียงชั่วราวหากเขายอมแพ้ต่อความอวดดี และกลับไปเป็นจวินโม่เซี่ยคนก่อน  แต่ การผ่อนปรนนี้จักเป็นการปล่อยให้ ราชวงศ์ยิ่งกระทำการต่อต้านสกุลจวิน

 

กระนั้น จวินโม่เซี่ยจักต้องตายก่อนจะได้กลับมา

 ” การมีลูกมิอาจทำให้เจ้าเป็นชาย ! มันคือ จิตวิญญาณที่ทรหดอันหาที่เปรียบไม่ได้  ! “

คำสอนของบรรพชนนี้กลายมาเป็นคติของมือสังหารจวิน

 

ดังนั้น แม้นว่าจวินโม่เซี่ยจักกระทำดั่งอันธพาลต่อผู้คนในราชวัง แต่เขาได้แสดงให้เห็นถึงความจริงและความอวดดีอย่างเปิดเผย  เขากระทำเช่นนี้เนื่องจากเขาได้ตระหนักถึงสิ่งสำคัญเมื่อเจ้าอ้วนถังกระเพกขาเดินมายังท้องพระโรงพร้อมด้วยเก้าอี้ที่อยู่ในก้นของเขา …

 

หากองค์จักรพรรดิประสงค์จักเคลื่อนไหวต่อต้านสกุลจวิน … พระองค์มิจำเป็นต้องมีเหตุผล … พระองค์ไม่ต้องมีเหตุผลอันใด !  แม้นว่าจวินโม่เซี่ยจักอันธพาลอย่างแท้จริง และองค์จักรพรรดิตัดสินใจกำจัดเขา … พระองค์ก็จักทำมันโดยมิคิดให้รอบคอบ  หรืออีกนัย … หากองค์จักรพรรดิไม่ประสงค์จักต่อต้านสกุลจวิน .. พระองค์ก็จักไม่ทำ   แม้นว่าจวินโม่เซี่ยจักเป็นผู้ที่มากสามารถที่สุดภายในอาณาจักร ก็จักมิมีสิ่งใดเกิดขึ้นในสกุลของพวกเขา

 

จวินโม่เซี่ยตระหนักได้ว่า ความกลัวของเขานี้ไร้มูลความจริง

 

ยิ่งกว่านั้น สกุลจวินก็มีผู้ปกป้องมากมายในจุดนี้  ชื่อเสียงของเหยี่ยวผู้โดดเดี่ยวในฐานะหนึ่งในแปดยอดปรมาจารย์มิน่าจักทำให้พวกเขาล้มเหลวได้ในช่วงเวลาปีที่จักมาถึงนี้  สำหรับปีถัดไป … จวินโม่เวี่ยมั่นใจว่า ทุกผู้ที่ต้องการจักต่อต้านสกุลจวินนั้นจักต้องจบลงด้วยการสูญเสียอันหนักหน่วง

 

จวินโม่เซี่ยมิได้วางแผนจักดึงรั้งเรื่องราวของ นครพายุหิมะสีเงินไว้นานนัก

 

เขาถอนใจขณะนึกได้ว่ามี แกนเชวียนระดับเก้าอยู่ในมือ แกนเชวียนนั้นกำลังรอคอยเพื่อเพิ่มระดับความแข็งแกร่งของผู้หนึ่ง คนผู้นั้นมีอยู่แล้ว แต่ เขายังมิได้รับสมุนไพรที่ต้องการ …

 

เจดีย์หงษ์จวิน เปลวเพลิงแห่งปฐมภูมิ เตาหลอมแห่งโชคลาภนั้นพร้อมแล้ว … แต่เขายังมิได้ครอบครองสมุนไพรสำคัญ

 

สมุนไพร … เป็นปัญหาสำคัญในเรื่องนี้ ความยุ่งยากทั้งหมด สามารถพรรณนาได้เพียงหนึ่งคำ

 

จวินโม่เซี่ยเลิกคิ้วขณะถอนใจ

 

เขาท่องตำราแพทย์พื้นบ้านในความคิดมากมายหลายหนใจหลายวันที่ผ่านมา ความจริงแล้ว เขาได้จดจำขั้นตอนการตระเตรียมสมุนไพรและส่วนผสมทุกอย่างได้ขึ้นใจ  กระนั้น จวินโม่เซี่ยก็ตระหนักได้ว่า เขาสามารถสกัดโอสถบางอย่างได้ในระดับต่ำเท่านั้น ยิ่งไปกว่านั้น ความสำเร็จในการสกัดนี้ก็มิได้สูงส่ง

 

เคล็ดปลดผนึกชะตาสวรรค์ในชั้นที่สองนี้มิได้อนุญาตให้เขา สกัดโอสถที่สามารถเพิ่มความสามารถของผู้คนได้ ยิ่งไปกว่านั้น สมุนไพรที่ใช้สำหรับสกัดตัวยาที่เรียกว่า ยาระดับต่ำนี้มิได้มีค่าหรือหายากแต่อย่างใด  กระนั้น จวินโม่เวี่ยมิพอใจนัก เนื่องจากคำแนะนำในหนังสือกล่าวว่าตัวยาเหล่านี้อาจเพิ่มความสามารถของคน แต่มันก็อยู่ได้เพียงชั่วคราวเท่านั้น   ผนของมันยังมิถาวร และมิน่าจะอยู่ได้เกิน แปด ถึง สิบ ปี  ยิ่งกว่านั้น ยาเหล่านี้มิอาจใช้ซ้ำได้

 

สิ่งเหล่านี้ทำให้จวินโม่เซี่ยผิดหวังยิ่งนัก

 

เขารู้สึก

หรือ ความสามารถในการสกัดตัวยาของ เจดีย์หงษ์จวินนั้นมิอาจเทียบเท่าแกนเชวียน ?

กล่าวได้ว่า แกนเชวียนขั้นเก้านั้นสามารถเพิ่มความสามารถของคนได้หลายระดับในหนเดียว  ยิ่งไปกว่านั้น ตัวยาจักมิสนใจระดับความสามารถของผู้ใดเลย  เช่นนั้น มันจักส่งผลชั่วคราวได้เช่นไร ?  ผู้คนนั้นมีปัญหาคอขวดที่พวกเขามิอาจบรรลุไปได้  และผู้คนส่วนใหญ่มิสามารถก้าวหน้าไปในขั้นสูงได้แม้นจักสิ้นชีพไปแล้ว

 

นั่นจึงเป็นเหตุว่าเหตุใดที่ยอดปรมาจารย์นั้นมีเพียงน้อยนิด

 

จวินโม่เซี่ยคาดหวังห่างไกลยิ่ง  เขาบรรลุเพียงแค่ชั้นสองของเจดีย์  เช่นนั้น ความสามารถในการสกัดตัวยาจึงเป็นสิ่งทีเขาควรถามหา !  แกนเชวียนขั้นเก้านั้นล้ำค่ายิ่งนัก  จักมีอยู่เพียงใดในโลกนี้ ?  แม้นมันจักมีมาก .. จักมีสักกี่คนที่สามารถหามาและสกัดมันได้ ?

 

มันเอ่ยถึงว่ามีเพียงบางผู้ที่สามารถรับตัวยาและเพิ่มระดับความสามารถของเขา แต่มิเคยมีผู้ใดที่สามารถสกัดตัวยาซึ่งสามารถเสริมสร้างความสามารถของพวกเขาได้ถาวร

 

วิธีการของเขา สามารถทำให้เขาสกัดยาซึ่งเพิ่มความสามารถของคนได้ราวแปดถึงสิบปี  และ ราคาของวัตถุดิบนั้นมิได้สูงเลย ข่าวของเรื่องนี้สามารถสร้างความโกลาหลอย่างที่มิเคยได้เกิดขึ้นมาก่อนในโลกนี้

 

ยิ่งไปกว่านั้น คุณชายน้อยจวินวางแผนที่จักผลิตออกมาเป็นจำนวนมาก  ดังนั้น ความสามารถในการสร้างยาอันทรงพลังของเขาอาจเพิ่มขึ้นด้วยการเพิ่มความสามารถในการสกัดตัวยาของเขา

 

แต่ ผู้ที่มีอยู่มีกินจักมิเข้าใจถึงความหิวของผู้ที่หิวโหย

 

จวินจ้านเทียน อยู่บนหลังม้า  เขาเพ่งมองไปยังหลานชายด้วยสีหน้านิ่งตึง  กระนั้น ภายในเขาก็รู้สึกมีความสุข

 

เขามิเชื่อว่าการกระทำของจวินโม่เซี่ยในราชวังจักนำไปสู่ส่ิงสำคัญ ดังนั้นเขาจึงมิได้สนใจมันมากนัก  . ผู้ใดในเทียนเชียงที่อาจหาญกลั่นแกล้งหลานชายเพียงหนึ่งของข้า ?  แท้จริงแล้ว มีผู้ใดในอาณาจักรนี้ที่อาจหาญกลั่นแกล้งเขา ?

 

หลานชายข้าจักก้าวขึ้นสู่จุดสูงสุด!  นั่นคือสิ่งที่จวินจักทำ !

 

เกิดความเปลี่ยนแปลงกระทันหันต่อหน้าทุกผู้ขณะปู่จวินกำลังจมอยู่กับความรู้สึกพึงพอใจ

 

เงาอันแปลกประหลาดปรากฏขึ้นภายใต้แสงตะวัน  ก่อให้เกิดคลื่นความเคลื่อนไหวในอากาศ  มีปรากฏขึ้นมาจากต้นไม้ข้างทางด้วยความเร็วเป็นเลิศ และพุ่งตรงไปยังจวินโม่เซี่ยราวกับลำแสง

 

ลำแสงนี้มาถึงหน้าอกของจวินโม่เซี่ยราวสายฟ้า

 

ความแม่นยำและจังหวะของการโจมตีนั้นมิอาจเทียบ

 

ความเร็วและเวลานั้นยอดเยี่ยม แม้สวรรค์เชวียนเช่นจวินจ้านเทียนมิอาจกระทำสิ่งใดได้ทัน  เหตุนี้เกิดขึ้นตรงหน้าราชวัง  มีบางผู้ตัดสินใจลอบสังหารจวินโม่เซี่ยในช่วงเวลาที่มิอาจคาดถึง

 

ทุกผู้รู้สึกราวกำลังอยู่ในความฝัน ขณะพวกเขาเฝ้ามองลำแสงแทรกซึมเข้าใปในหน้าอกของจวินโม่เวี่ย  ลำแสงนั้นยังคงหลังไหลเข้าไปอย่างต่อเนื่อง  จากนั้น ลำแสงนั้นก็ได้ถอยร่นกลับไปยังจุดที่มันปรากฏขึ้นและกลับเข้าไปอยู่หลังต้นไม้  ปีนขึ้นไปบนต้นไม้ที่อยู่ข้างถนน จากนั้น ต้นไม้นั้นสั่นและเงาได้หายไปอย่างไร้ร่องรอย …

 

จากแรกเริ่มจนจบ ทุกสิ่งเกิดขึ้นภายในพริบตา และตอนนี้ทุกอย่างจบลงแล้ว !