มือสังหารบิดเอวเมื่องมองดูขณะเขาปีนขึ้นต้นไม้  แต่ ไม่มีผู้ใดสัมผัสได้จากทุกผู้มุ่งความสนใจไปยังจวินโม่เซี่ย

ต่อหน้าทุกคน รวมถึงปู่จวิน เป็นเวลาที่น่าเศร้ายิ่ง … จวินโม่เซี่ยคำราม

” อ๊ากกก ! “

แต่ผู้ที่มิได้ตั้งใจฟังจักคิดว่าเขาร้องว่า

“จ๊ากก ! “

 

หน้าอกของจวินโม่เซี่ยถูกแทงจนเป็นรูเท่าที่ตาของพวกเขาเห็นได้  นั่นหมายความว่ามันควรจักโชกไปด้วยเลือด  แต่ เขายังมิตาย ความจริงแล้ว เขายังปกติดี  ไร้ซึ่งเลือดสักหยดหรือรอยบาดเจ็บบนร่างของเขา

 

ทุกผู้เริ่มงุนงง

” เกิดอันใดขึ้น ?  อกของจวินโม่เซี่ยถูกแทงด้วยกระบี่สองคม … เขา…

 

สัมผัสของจวินโม่เซี่ยร้องเตือนในตอนที่เขาเข้ามาอยู่ในระยะลอบสังหาร  ในชีวิตก่อน เขาเป็นมือสังหารที่ชั่วช้า  เขาเจนจัดในศิลปะการลอบสังหาร  สัญชาตญาณของเขาว่องไวยิ่งต่อสิ่งที่จะเกิดขึ้น  ดังนั้น เขาจึงสัมผัสได้ถึงจิตสังหารของเขาก่อนการโจมตีจักเกิดขึ้น

 

สีหน้าของจวินโม่เซี่ยยังคงมิแปรเปลี่ยน แต่จิตของเขาตระเตรียมการเพื่อรับมือการโจมตี

 

กระนั้น ความเร็วของมือสังหารผู้นี้ทำให้ คุณชายน้อยจวินประหลาดใจ

 

เขาเคลื่อนที่ไวยิ่ง !

 

มือสังหารปรากฏตัวขึ้นมาราวกับเงา และพยายามจักแทงไปยังหน้าอกขงอจวินโม่เซี่ย  เขาว่องไวจนจวินโม่เซี่ยเกือบป้องกันไม่ทัน  ความจริงแล้ว เขาเข้าใจมากเสียจนจวินโม่เซี่ยสามารถสัมผัสได้ถึงอุณหภูมิที่เยือกเย็นของกระบี่มือสังหาร

 

จวินโม่เซี่ยเป็นเพียงผู้เดียวที่สามารถมองเห็นดวงตาของผู้ร้ายได้  พวกมันไร้ซึ่งความอบอุ่น  อีกทั้งอันตรายราวปรากชีวิต  ความจริงนั้น ความเยือกเย็นที่เขามองเห็นในดวงตาของเขามิต่างอันใดกับปลาที่ตายแล้ว

 

และจากนั้น ความเร็วของเขาได้ก่อให้เกิดเงาสีดำมืด

 

ชายผู้นี้เร็วยิ่งนัก !  ช้าเกินกว่าจักหลบหลีก !

 

ประสปการณ์ของเขานั้นไร้ประโยชน์เมื่อต้องเผชิญหน้ากับความเร็วของมือสังหาร เพียงแรงลมก็ทำให้ถึงตาย !

 

จากนั้นจวินโม่เซี่ยจึงตัดสินใจโดยเร็ว เขาไร้ทางเลือกจึงต้องเปิดเผยตัวเอง จากนั้นคุณชายน้อยจวินจึงใช้ไพ่ตาย และหนีเข้าไปในเจดีหงษ์จวินเพื่อเอาตัวรอด แต่ ความเร็วของสิ่งที่เกิดขึ้นนั้นดูเหมือนจะช้ากว่าสิ่งที่เกิดขึ้น เช่นนั้นทุกผู้จึงได้เห็นว่ากระบี่สองคมนั้นผ่านหน้าอกของเขาไป

 

จากนั้น เขาจึงออกมาจากเจดีย์หงษ์จวิน และกลับมาอยู๋ในท่วงท่าเดียวกับก่อนหน้า  ทุกสิ่งอย่างเหล่านี้เกิดขึ้นภายในชั่วพริบตา ซึ่งรวดเร็วจเกินกว่าดวงตาจะมองได้  เช่นนั้น ผู้ใดจักคลางแคลงใจว่าจวินโม่เซี่ยได้ใช้เคล็ดวิชาขั้นเทพเพื่อช่วยชีวิตตัวเอง ?

 

เช่นนั้น ทุกผู้จึงร้องขึ้นอย่างตกใจ

 

ลำแสงปฐพีเชวียนของคนผู้นั้นยังคงอยู่ชั่วระยะหนึ่ง จากนั้นจึงเคลื่อนไปตามแนวการโจมตีของเขา

 

 

ตอนนี้จวินจ้านเทียนมาอยู่ต่อหน้าหลานชาย ร่างของเขาโชติช่วงด้วยแสงสีฟ้าขณะที่เขากระตุ้นพลังทั้งหมด จากนั้น เขาเริ่มปล่อยหมัดอย่างรวดเร็ว  และ ทุกหมัดของเขาระเบิดออกไปราวเสียงอสุนีบาต เป็นที่ชัดเจนว่าเขาได้ใช้พลังอย่างเต็มกำลัง

 

แต่ การโจมตีของเขานั้นประทะเข้าเพียงอากาศอันว่าเปล่า

 

ลำแสดงสีเหลืองที่ยังคงอยู่ในตอนนี้ปะทะเข้ากับลำแสงสีฟ้า จากนั้นหายไปอย่างไร้ร่องรอย ราวกับไร้ซึ่งสิ่งใดอยู่

 

” เป็นเพียงภาพลวงตา ! “

จวินโม่เซี่ยอ้าปากเอ่ยขณะเขามองลำแสงเชวียนจางหายไป ใหน้าของเขาปรากฏความจริงจังยิ่ง

 

ระดับเชวียนของผู้ร้ายนั้นมิได้ถือว่าสูงส่งมากนักเนื่องจากเขาอยู่เพียงขั้นปฐพีสูงสุด แต่ ความเร็วของเขานั้นแปลกประหลาดยิ่ง  เหยี่ยวผู้โดดเดี่ยวนั้นมีชื่อในเรื่องความเร็ว แต่ จวินโม่เซี่ยคาดว่าสามารถเทียบได้เพียงความเร็วของมือสังหารเท่านั้น

 

เขาว่องไวมากจนกระทั่งทิ้งภาพลวงไว้เบื้องหลัง ?!  ความเร็วของเขาน่ากลัวเพียงใดกัน ?!

 

ปฐพีเชวียนจักมีความเร็วเช่นนี้ได้อย่างไร ?

 

จวินโม่เซี่ยมิใช่เพียงผู้เดียวที่ไม่เข้าใจถึงสิ่งนี้ ทุกผู้ที่อยู่รอบตัวเขานั้นเป็นยอดฝีมือเชวียน แต่พวกเขาก็มิอาจเข้าใจได้เลย

ผู้ที่มีความเร็วเช่นนั้นมีอยู่จริงหรือ ?

 

จวินโม่เซี่ยแสดงรอยยิ้มอ่อนแรงขณะที่รู้ว่าทุกผู้เตรียมตัวเพื่อต่อสู้กับศัตรู

 ” มิต้องกังวล  เขานั้นว่องไวยิ่ง แต่ข้าคิดว่าเขาสามารถโจมตีด้วยความเร็วเช่นนั้นได้เพียงหนึ่งครั้ง  เขาจังมิน่าเกรงกลัวกว่า จุ้นเป้ยเฉิน หรอกหรือหากเขาสามารถโจมตีต่อเนื่องได้ ?

 

ทันใดนนั้น ทุกผู้จึงได้สติ พวกเขาตระหนักได้ว่า แม้นความเร็วของมือสังหารจักน่าหวาดกลัวยิ่ง เขาก็สามารถโจมตีได้เพียงครั้งเดียว

แต่เพียงไม่กี่ผู้เท่านั้นที่สามารถหลบเลี่ยงการระเบิดนี้ได้ …

 

แม้นสวรรค์เชวียนก็อาจได้รับบาดเจ็บรุนแรงได้ เขาจักมิตาย แต่มั่นใจได้ว่าจัดต้องได้รับบาดเจ็บสาหัส เช่นนั้น จวินโม่เซี่ยสามารถหลบเลี่ยงการโจมตีนั้นได้เช่นไรกัน ?

 

แต่ ไม่มีผู้ใดรู้ว่า คุณชายน้อยจวิน นั้นเปียดชุ่มไปด้วยเหงื่อ  ความกลัวจากเหตุการ์นั้นยังคงอยู่ภายในใจของเขา

 

การโจมตีถึงตายราวสายฟ้า !

เขาไม่เคยพบเจอความเร็วเช่นนี้ แม้นในชีวิตก่อนหน้า

 

แม้นเคล็ดวิชามือสังหารพิเศษของจวินโม่เซี่ยก็มิอาจรับมือกับมันได้

 

ความเร็วเช่นนี้ เกินกว่าความสามารถของร่างกายมนุษย์

 

มิได้บอกว่าไม่มีผู้ใดสามารถกระทำเช่นนั้นได้จนกว่าจักสำเร็จระดับ มหาปรมาจารย์ อย่างเช่น มิใช่เรื่องน่าประหลาดใจ หากจักเปรียบความเร็วของเหยี่ยวผู้โดดเดี่ยวกับระดับฝีมือของเขา   แต่ ความเร็วอันน่าเหรงขามของเผู้ที่อยู่เพียงระดับปฐพีเชวียนผู้นี้ เป็นสิ่งที่อยู่เหนือความคาดหมายนัก

 

จวินโม่เซี่ยมักจะเชื่อมั่นและมั่นใจในตัวเองเสมอ  เขามุ่งมั่นจักเป็น ยอดนักรับ และเทพแห่งสงคราม และรู้สึกว่าอายุของเขานั้นเป็นเพียงเหตุผลเดียวที่เขายังมิได้สำเร็จ  เขาภูมิใจในความเร็วของตัวเองยิ่ง  ความจริงนั้น เขายอดเยี่ยมยิ่งในชีวิตก่อน เนื่องจากเขาสามารถหลบหลีกกระสุนที่ถูกยิงออกมาจากนักเม่นปืนที่อยู่ห่างออกไปเพียง สิบเมตร  และมิโดนเฉียดแม้แต่เส้นผม

 

ในความจริง ความเร็วของเขานั้นมิได้ช้าไปกว่าผู้ใดในโลกนี้เมื่อเขากระตุ้น เคล็ดปลดผนึกชะตาสวรรค์  แต่ เขามิสามารถหลบเลี่ยงการโจมตีที่น่าหวาดกลัวนี้ได้ด้วยวิธีการปกติของเขา

 

หรือเป็นได้ว่า ความเร็วของเขานั้นเกินกว่าความเร็วของลูกรกระสุนที่ถูกยิงออกมาจากปืนยาว ?  ลูกกระสุนนั้น เคลื่อนที่ด้วยความเร็ว เก้าร้อยเมตร ต่อวินาที  ซึ่งเร็วเกือบ สามเท่าของความเร็วเสียง

 

จวินโม่เซี่ยตกตะลึงยิ่ง  เขาเตรียมการหลบหลีกการโจมตีที่น่ากลัวนั้น แต่เหงื่อของเขานั้นออกมากเพียงพอจักทำให้เสื้อผ้าเปียกชุ่ม

 

เท้าของเขาตั้งมั่นอยู่บนพื้นเสมอมาในทุกการต่อสู้ในชีวิตก่อน  แต่ ในตอนนี้เขานั่งอยู่บนอานม้า  นี่คือสิ่งที่แตกต่างกัน  แต่ ความเร็วของมือสังหารผู้นั้นน่าหวาดกลัวยิ่งนัก …

 

จากนั้น จวินโม่เซี่ยเกิดความคิดขึ้นมาทันที

เป็นไปไม่ได้ที่ ปฐพีเชวียนจักสามารถแสดงความเร็วเช่นนี้ได้  แต่ อาจเป้นไปได้ที่ผู้นั้นอาจมีความเร็วดังกล่าวได้หากเขาสำเร็จในเคล็ดวิชาบางอย่าง … เหมือนกับการทำลายตัวเองของไฮเฉินเฟิง หากแต่ครั้งนี้คือความเร็ว …

 

จากการวินิจฉัยนี้ … มือสังหารผู้นั้นอาจมีสภาพไม่สู้ดีนักหลังจากใช่เคล็ดวิชานี้  ความจริงเขาอาจจะได้รับบาดเจ็บจนถึงอวัยวะภายใน

 

ดวงตาของจวินโม่เซี่ยดุดันขึ้นขณะเพ่งมองไปยังทิศทางที่มือสังหารมุ่งไป

 

คนผู้นี้อันตรายอย่างแท้จริง !

 

โชคดีนักที่ไม่มีผู้ใดได้รับบาดเจ็บในการลอบสังหารนี้  แต่ทุกคนยังคงระแวดระวังเผื่อเขาจักหวนกลับมา  ขณะนั้น ถังหยวนแยกทางไป และรีบเร่งมุ่งไปยัง หอชนชั้นสูง เพื่อเอาเงินไปซื้อสมุนไพร

 

ไม่นาน พวกเขาก็เดินทางมาถึงประตุแห่งจวนสกุลจวิน  ในที่สุด จวินจ้านเเทียนก็ได้ถามคำถามหลานชายที่เขาอดกลั้นมาตลอดเวลา

” โม่เซี่ย เจ้าหลบการโจมตีนั้นได้อย่างไร ? “

เขาระงับคำถามนี้ไว้ตลอดเส้นทางมายังจวน  เขาพิจารณาและรู้ได้ว่า ตัวเขาเองก็มิอาจหลบการโจมตีนั้นได้  เช่นนั้น  หลานชายอันเป็นที่รักของเขาสามารถหลบการโจมตี้นั้นได้อย่างไร ?  เป็นที่รู้กันว่า จวินโม่เซี่ย ได้ครอบครองความสามารถบางอย่าง แต่นี่มิใช่เรื่องของฝีมือ  มันเป็นเรื่องของเวลา  ไม่มีเส้นทางลัด ด้วยเหตุนี้ จึงเป็นเรื่องปกติที่ปู่จวินจักงุนงง

 

จวินโม่เซี่ยยิ้มโง่เขลาขณะมองไปยังปู่  จากนั้น เอ่ยวาจาด้วยทีท่าจริงจัง

” ท่านมิจำเป็นต้องกังวล ท่านปู่  ตราบใดที่ข้าเป็นหลานของท่าน ไม่มีผู้ใดสามารถสังหารข้าได้ !  แม้แต่ แปดยอดปรมาจารย์ก็มิอาจกระทำอันตรายต่อข้าได้แม้เพียงเส้นผม  ข้ามั่นใจในเรื่องนั้นยิ่งนัก ! “

 

” เอ่ ! “

จวินจ้านเเทียนเดินห่างไป

มิใช่เจ้าเลวนี่อวดดีเกินไปหรือ ?

 

” ท่านปู่ สิ่งนี้เกี่ยวพันถึงความลับที่สำคัญของข้า “

จวินโม่เซี่ย ขยิบตาด้วยท่าที่ขบขัน

 ” มันเป็นที่พึ่งสุดท้ายเพื่อช่วยชีวิตของข้าในทุกสถานการณ์  ท่านคงมิต้องให้ข้าเปิดเผยความลับนี้ ? “

 

” ข้าเข้าใจ “

ปู่จวินถอนใจผ่อนคลาย  จากนั้น เขาเลิกคิ้ว และยิ้ม  ปู่จวิน มิได้ถามว่าความลับนั้นคือสิ่งใด  เขาคือผู้อาวุโส ผู้ที่ได้พบเห็นสิ่งต่างๆมากมาย  เช่นนั้น จึงเป็นเรื่องปกติที่เขาจักต้องรู้ว่า ความลับสำคัญนั้นจักต้องเก็บไว้เป็นอย่างดี  และ ยิ่งมีผู้คนที่รู้ความลับนั้นมากเท่าไหร่ โอกาสที่มันอาจถูกเปิดเผยออกมาได้นั้นก็ยิ่งมากขึ้น  ด้วยเหตุนี้ เขาจึงมิต้องการจักไต่ถามต่อไปตราบใดที่รู้ว่า หลานชายของเขามีสิ่งเช่นนี้อยู่

 

” โม่เซี่ย เช่นนั้นเจ้าต้องถือมันเป็นความลับอันล้ำค่าของเจ้า “

ปู่จวินมีสีหน้าโล่งใจ ขณะเอ่ยเตือน

” ห้ามบอกแม้จักเป็นเมียของเจ้า  เจ้าจักต้องเก็บมันไว้ลึงลงไปถึงก้นบึ้งหัวใจ  ชีวิตของเจ้าขึ้นอยู่กับสิ่งนี้  การมีสิ่งนี้เปรียบเหมือนการมีไพ่ตาย  มันคืออำนาจลับของเจ้า  แต่เจ้าจักเสียอำนาจลับนี้ไปเมื่อไพ่ตายของเจ้าถูกเปิดเผย “

 

” มิต้องกังวลท่านปู่  ข้าเข้าใจ “

จวินโม่เซี่ย เอ่ยมั่นใจ

ท่านปู่ใส่ใจข้าจากก้นบึ้งหัวใจ

ไม่มีผู้ใดใส่ใจเขาเช่นนี้ในทั้งสองช่วงชีวิต

 

” องค์จักรพรรดิจักต้องเคลื่อนพลอย่างแน่นอนในครั้งนี้ “

จวินวูอี้เป็นผู้เดียวในสกุลที่มิได้ไปยัง พิธีฉลองนักปราชญ์ทองคำ เช่นนั้น ปู่และหลายชายจึงบอกเล่าทุกสิ่งที่เกิดขึ้น เขาเอ่ยด้วยน้ำเสียงที่สะท้อนถึงความมั่นใจ

” ครั้งนี้พระองค์จักต้องเคลื่อไหวอย่างแน่นอน !  ที่พระองค์อ่านออกมาเสียงดังนั้นมิใช้ความบังเอิญ แม้นว่าสวรรค์จักล่มสลาย “

 

ปู่จวินพยักหน้า แต่ยังคงสงบเงียบ  จวินวูอี้ได้สืบทอดตำแหน่งหัวหน้าสกุลจากพ่อของเขาหลังจากที่ได้รับการรักษาแล้ว  มันคือ ความรับผิดชอบของ จวินวูอี้ ที่เขาจักต้องตัดสินใจ  ดังนั้น ปู่จวิน จึงพูดให้ห้อนที่สุดเท่าที่เป็นไปได้เพื่อ ปล่อยให้จวินวูอี้ แบรับภาระของสกุลไว้  เขาจักออกความคิดเห็นเฉพาะในสถานการณ์ที่ยุ่งยากยิ่ง หรือมิอาจคาดคิดได้เท่านั้น  ถึงกระนั้น เขาก็เพียงแค่แนะนำในมุมมองของเขา  เขาเพียงดำดิ่งสู่เรื่องต่างๆอย่าใจจดจ่อ  มิเคยแสดงถึงการแทรกแซงที่มากเกินไป

 

” ดูเหมือนว่าข้าจำต้องเตรียมพร้อม “

จวินวูอี้หัวเราะมีความสุข  ดวงตาเขาเผยถึงการต่อสู้ที่ใฝ่ฝัน  นักรบผู้หลับไหลยาวนานตื่นขึ้นในตัวเขา

 

” เหตุใด ? “

จวินโม่เซี่ยฉลาดล้ำ แต่เขามิเข้าใจประโยคนี้  เขามิอาจหยั่งรู้ได้ว่าเหตุใดจวินวูอี้จึงต้องเตรียมพร้อมหากองค์จักรพรรดิส่งกองทัพของพระองค์ไปรบ เป็นเรื่องสำคัญที่รู้กันว่า มีเพียงไม่กี่คนที่รู้ว่าจวินวูอี้ ฟื้นฟูอย่างเต็มตัวแล้ว แต่เขายังคงพิการในสายตาของคนทั่วไป

 

” แท้จริงแล้ว งานฉลอง ยอดนักปราชญ์ทองคำ นั้นมิใช่งานฉลองตามที่เขียนไว้ “

จวินวูอี้พ่นลมทางจมูกและเอ่ย

” งานฉลองนี้จัดขึ้นเพื่อเจ้า จวินโม่เซี่ย เจ้าคือเหตุผลหลักที่ทำให้ งานนี้เกิดขึ้น !  เจ้าจักได้รับการเปิดเผย มิว่าเจ้ากำลังทำอันใด เว้นแต่เจ้าจักรับความสบประมาทเหล่านั้นด้วยความเต็มใจ  กวีตอบโต้ของเจ้านั้นหยาบคาย … แต่เจ้ากลับคิดมันขึ้นมาได้ภายในเวลาอันสั้น  นี่คือพรสวรรค์อย่างหนึ่ง  ด้วยเหตุนี้ งานฉลองนี้จึงจบลงหลังจากกวีตอบโต้ของเจ้า นั้นก็เหมือนกันคำสั่งขององค์จักรพรรดิ  นั่นหมายความว่า องค์จักรพรรดิได้รับข้อสรุปแล้ว ! “

 

จวินวูอี้ยิ้มกว้าง

” โม่เซี่ย เจ้ายังมิได้เห็นข้อพิพาททั่วไปที่เกิดขึ้นในราชสำนัก  สถานการณ์นั้นยุ่งเหยิงยิ่งในวันนี้ แต่มีสิ่งเหล่านี้เกิดขึ้นมากมายทีผ่านมา บางทีก็แย่กว่านี้  ดังนั้น วันนี้เหตุใดองค์จักรพรรดิจึงมิอาจทนได้ ?  นั่งจึงเป็นเหตุ …. ให้ข้าคิดว่าสกุลจวินของเราเป็นเป้าหมายในการจักงานนี้ขององค์จักรพรรดิ !  โม่เซี่ย เจ้าต้องทิ้งเบาะแสงบางอย่างไว้  และ องค์จักรพรรดิเป็นผู้ที่ขี้สงสัยเกินกว่าจักถามว่า เหตุใด ?  พระองค์ไม่คิดว่าการกระทำของเรานั้นเพื่อตัวเราเอง  พระองค์เฝ้ามองพวกมันอย่าง ริษยาและคลางแคลงใจ  องค์จักรพรรดิทรงคิดว่า พวกเราเฝ้ารอเวลาและวางแผนการยิ่งใหญ่บางอย่าง !  ไม่ว่าเจตนาของเราจักเป็นเช่นนั้นหรือไม่ ! “

 

ปู่จวินถอนใจยาวจากอีกฝั่ง  ดูเหมือนเขามิประสงค์จักฟังสิ่งที่เกิดขึ้นอีกครั้ง  เขาได้คิดถึงในสิ่งเดียวกันเมื่อจวินวูอี้เอ่ยถึงจุดนี้  กะนั้น เขาก็ยังมิได้เอ่ยออกมา  เขารู้ว่าสิ่งนั้นเป็นไปได้ แต่เขามิได้เอ่มันออกมาเนื่องจากเขาถือว่ามันเป็นความเข้าใจผิด  เมื่อคิดว่าหลังจากที่เป็นดั่งพี่น้องกันมานับสิปี … องค์จักรพรรดิจักกระทำกับสกุลของเขาเช่นนี้ …

เขารู้สึกโศกเศร้าเมื่อคิดถึงมัน

 

” องค์จักรพรรดิมีนิสัยที่ ขี้ระแวงและรอบคอบ  ดังนั้น ข้าเชื่อว่าพระองค์คงจักมิให้การเคลื่อนไหวที่รุนแรงเพื่อต่อต้านสกุลของเรา  สิ่งแรกพระองค์จักหาทางทำให้สกุลของเราอ่อนแอลงทีละนิด  และข้าจักเป็นผู้แรกที่จักแสดงความรุนแรงออกไป การโจมตีของสัตว์เชวียนแห่งป่าเถียรฟานี้ทำให้พระองค์มีโอกาสที่ดีเพื่อจัดการกับข้าเป็นคนแรก “

จวินวูอี้เอ่ยวาจาเหล่านี้อย่างไม่รีบร้อน แต่มีแววตาที่เยือกเย็นและแหลมคม  บุรุษสามารถมองภาพใหญ่ได้

 

จวินโม่เซี่ยยิ้มชั่วร้าย

” พระองค์จักทำผิดพลาดหากคิดเช่นนั้น … ท่านน้าสาม ข้าจักติดตามเจ้าไปในการต่อสู้หากเขาถูกบังคับให้ไป  ป่าเถียรฟานั้นเป็นสถานที่ยอดเยี่ยมของสกุลเรา เท่าที่ข้าคิดได้ ! “

 

จวินวูอี้หรี่ตา

” เจ้าต้องการไป ?  หากเป็นเช่นนั้นข้ากลัวว่าเจ้าจักต้องเสี่ยงตาย  แต่ สิ่งที่ข้ากังวลที่สุดคือ … “

จากนั้นเขามองไปยังพ่อของเขา

” หากโม่เซี่ยและข้าออกไปยังป่านั่น ท่านจักต้องอยู่บ้านเพียงผู้เดียว … “

 

จวินจ้านเทียนหัวเราะสุภาพ

” พระองค์มิจำเป็นต้องรีบเคลื่อนไหวเพื่อจัดการข้าหรอก  อุ่นใจได้ สกุลจวินของเรายังมิได้สูญสียพลังอำนาจทั้งหมดไป  เหตุใดพระองค์จึงต้องลองวัดเจ้าก่อน ? “

 

จวินวูอี้เอามือจับหัว

“เด็กผู้นั้นยังมิได้พาจารณาในมุนั้มน “

 

จวินโม่เซี่ยยิ้ม

” ข้าไม่คิดว่าเรื่องนี้จักทำให้ท่านน้าสาม เป็นกังวลมากนัก “

 

ชายทั้งสามในสกุลสรุปการสนทนา วิธีแการแก้ไขสถานการณ์นี้เปลี่ยนแปลงไปตลอด

 

ชายทั้งสาม รู้สึกว่าเรื่องนี้ … เกินกว่าที่พวกเขาจักรับมือได้

 

โดยเฉพาะอย่างยิ่ง คุณชายน้อยจวิน เขารู้สึกว่ายังสามารถควบคุมเรื่องนี้ได้  เหตุใดเขาต้องเป็นกังวล ?

 

” โม่เซี่ย เจ้าสามารถลดความเข้มข้นในการฝึกฝน องครักษ์ทั้งสามร้อย นั้นลงสักหน่อยได้หรือไม่ ?  … พวกเขาเหนื่อยออ่นยิ่งนัก  ราวกับเจ้าต้องการให้พวกเขาวิ่งได้ ก่อนที่พวกเขาจักเดินเป็น “

สีหน้าจวินวูอี้จริงจัง ขณะเอ่ยหัวข้อนี้ขึ้น

 

จวินโม่เซี่ย เพิ่งมองอย่างงุนงงอยู่ชั่วครู่  จากนั้น เขาเริ่มเอ่ยขึ้นเชื่องช้า

” ท่านน้า ข้าเข้าใจความกังวลของท่าน แต่สิ่งที่ข้าต้องการจากการฝึกฝนพวกเขานั้นยังห่างไกลยิ่งนัก !  ข้าจักเพิ่มความ เข้มข้นใจการฝึกฝนพวกเขาทีละขั้น   แต่ ข้าจักไม่ลดลง !  สิ่งที่ข้าตั้งไว้ …และสิ่งที่ข้าต้องการ … คือกองกำลังที่แข็งแกร่งที่สุด ! “

 

จวินวูอี้ตกตะลึง

จำเป็นหรือที่ต้องฝึกฝนอย่างไร้ปรานี้เช่นนี้ต่อไป ?  หากข้าส่งทุกคนจากกลุ่มนั้นไปยังสนามรบในตอนนี้ … พวกเขาคงมิต่างอะไรจากเครื่องมือสังหาร !  ตอนนี้ … เขาบอกว่า การฝึกฝนของพวกเขานั้นยังห่างไกลเกินฝนสำเร็จ ?

 

หลานชายของข้าต้องการฝึกฝนสิ่งใด ?

 

และเหล่าทหารธรรมดาพวกเนี้จักสามารถทนต่อการฝึกฝนเหล่านั้นได้ ?

 

ในขณะนี้ ทหารเหล่านั้นถูกแบ่งแยกเป็นกลุ่ม และมุ่งหน้าเข้าหากันในสนามฝึกซ้อม  ทุกคนตัวเปียกชุ่มเหงื่อ  จวินโม่เซี่ยได้เริ่มการฝึกฝนที่เข้าข้นขึ้นตั้งแต่พวกเขากลับมาจากป่าเถียนฟา เขาเพิ่มความเข้มข้นขึ้นเป็นสองเท่า และให้พวกเขาทำงานตลอดเวลายี่สิบสี่ชั่วโมงทุกวัน คุณชายน้อยจวินใส่ใจรายละเอียดสุดท้าย

 

ถุงทรายถูกผูกไว้ที่แขน กระดูกสะโพก และขาของทุกคนในเวลานี้  ถุงทรายแต่ละถุงนั้นใส่น้ำหนักไว้มากยิ่ง พวกเขาได้รับอนุญาตให้ถอดออกได้เมื่อพวกเขากินอาหาร .. หรือหลับนอน  การฝึกฝนของพวกเขาต้องใช้กำลังมากยิ่งขึ้นเมื่อเวลาผ่านไปในทุกใน  เป็นดั่งการดิ้นรนระหว่างความเป็นตาย

 

และผู้คนภายนอกจักต้องตกตะลึงอย่างที่สุดหากพวกเขาได้เห็นสิ่งนี้  มันไม่คล้ายกับการต่อสู้ของ มนุษย์ หรือการฝึกฝนของกองทหารทั่วไป  แต่ดูเหมือนกับสัตว์ป่าชั่วร้ายกำลังฉีกทึ้งกันเอง ดวงตาของทุกคนมีแววแห่งความดร้าย และกลิ่นอายที่ชั่วช้าแผ่ออกมารอบตัว  ราวกับพวกมันเต็มไปด้วยความเกลียดชังลึกซึ้งที่มีต่อศัตรู … และก่อให้เกิดการต่อสู้ถึงความตาย

 

พวกเขาอดอนต่อการฝึกฝนที่โหดร้ายตลอดช่วงบ่าย  ปราณเชวียนที่อยู่ในร่างพวกเขาคล้ายกับธูปที่กำลังถูกมอดไหม้  พวกเขาพึ่งพาเพียงแต่ความแข็งแกร่งทางร่างกายและสัญชาตญาณของตัวเองเมื่อเข้าต่อสู้กัน

 

ไร้ฝุ่นละอองเพียงหนึ่งเม็ดในลานฝึกของสกุลจวิน  ทุกตารางนิ้วของลานฝึกเต็มไปด้วยเหงื่อและเลือด  ผู้คนต่างถูกกระแทกเข้ากับพื้นซ้ำแล้วซ้ำเล่า ดูเหมือนว่า ฆ้อนเหล็กเหล่านั้นมิอาจสร้างความเสียหายแก่พื้นของสนามรบได้  ลานฝึกนั้นจึงมีพื้นผิวที่มันวาว …

 

เมื่อมองดู จึงทำให้รู้สึกน่าหวาดกลัว !

 

การต่อสู้มาถึงจุดสุดยอดเมื่อจวินโม่เซี่ยมาถึงที่นี่  ไม่มีผู้ใดหลงเหลือความแข็งแกร่งอยู่แล้ว

 

ทหารคำรามอย่างบ้าคลั่งและวิ่งเข้าใส่ผู้ที่ตัวใหญ่ เขาถูกทุบตีด้วยหมัดและการเตะ  ฝ่ายตรงข้ามมิได้หลบเลี่ยงการโจมตี และเขาก็มิยอมพ่าย เสียงตุ๊บดังก้องเมื่อหมัดและขาปะทะเข้ากับร่างของเขา ทั้งสองร่วงถอยหลังไป  จากนั้น เสียงระเบิดดังขึ้นขณะที่ก้อนของพวกเขากระแทกลงกับพื้น  จากนั้น ทหารทั้งสองคลานและลุกขึ้นมาต่อสู้กันอย่างบ้าคลั่งอีกครั้ง  ราวกับแรดยักษ์ทั้งสองเข้าปะทะกัน

 

สระน้ำของสกุลจวินแปรเปลี่ยนเป็นสีดำ หม้อต้มขนาดใหญ่สิบใบวางอยู่ด้านข้าง หม้อเหล่านี้มีฟองผุดไม่สิ้นนสุด พวกมันถูกใช้เพื่อตระเตรียมสมุนไพร และจะมีคนเทยาน้ำเหล่านั้นลงไปเมื่อมันพร้อมแล้ว จากนั้น พวกเขาก็จะเติมน้ำ และสกัดยาต่อไป

 

ทหารนับร้อยเปลือยเปล่าอยู่ในบ่อ  ดวงตาพวกเขาบิดสนิท และมีสีหน้าจิงจัง และสุภาพ พวกเขามิได้อาบน้ำ  นี่คือการฝึกฝนอีกอย่างหนึ่ง  ในระหว่างนี้ จวินโม่เซี่ยจวินโม่เซี่ยให้พวกเขาแต่ละคนแช่ร่างในสระน้ำขณะที่ตัวยาถูกรินลงไป น้ำในบ่อจักถูกเปลี่ยนทุกสามวัน รวมถึงตัวยาเช่นกัน  ดังนั้น ทหารเหล่านี้จักแช่ร่างในสระยาทุกวันหลังจากการฝึกฝนเพื่อฟื้นฟูร่างกายและการบาดเจ็บโดยการดูดซึมตัวยาเหล่านี้

 

เหตุผลที่นี่ คือหนึ่งในวิธีการฝึกฝนนั่นคือ น้ำในสระจักเดือดอยู่เสมอ  แต่ไม่เพียงพอที่จักต้มพวกเขาทั้งเป็น  นอกจากนี้ ในน้ำยังผสมด้วยยาสมุนไพรล้ำค่า ที่จักฟื้นฟูงกำลังและบำรุงร่างกาย ทำให้พวกเขาสามารถทนต่อการฝึกฝนที่โหดร้ายได้

 

เป็นเรื่องปกติที่ทหารเหล่านั้นจำต้องจ่ายในราคาที่เหมาะสมเพื่อน้ำสมุนไพรที่มาคุณค่าเช่นนี้  ดังนั้น การเปลี่ยนน้ำตัวยาจึงถูกกระทำโดยพวกเขาเท่านั้น  ยิ่งไปกว่านั้น งานนี้ก็ต้องมิไปรบกวนเวลาการฝึกฝน

 

การฝึกฝนของจวินโม่เซี่ยมิเพียงถูกเรียกว่า โหดร้าย  จวินวูอี้เป็นทหารที่โหดร้าย แต่เมื่อเขาได้เหฯถึงสภาพอันเลวรายของทหารเหล่านี้ … เขารู้สึกว่าการฝึกฝนนี้เป็นสิ่งที่ผิดมนุษย์

 

จวินโม่เซี่ย หลบอยู่ด้านข้าง เขาเฝ้ามองทุกผู้อย่างพิถีพิถัน  คุณชายน้อยปรับเปลี่ยนความเข้มข้นของการฝึกฝนของพวกเขาทุกวัน  และทุกวัน ทหารเหล่านั้นก็ประหลาดใจเมื่อพบว่าเมื่อพวกเขาปรับตัวกับการฝึกฝนในวันหนึ่งได้ .. พวกเขาจักเกือบตายในอีกวัน ..

 

ขีดจำกัดของพวกเขาเพิ่มขึ้นในทุกวัน !

 

พวกเขาฝึกฝนทุกวัน ตลอดเวลา  และพวกเขาบรรลุขีดจำกันได้อย่างต่อเนื่อง  ร่างของพวกเขาแข็งแกร่งขึ้นทุกสองวัน และพวกเขาประหลาดใจยิ่งเมื่อพบว่าระดับปราณเชวียนของพวกเขาเพิ่มขึ้นเล็กน้อยในทุกสองวัน  และ แม้นว่าการเพิ่มขึ้นเพียงเล็กน้อยนั้นจักมิได้สำคัญ … แต่ถือว่ามันเพิ่มขึ้นอย่างมากเมื่อเทียบกับเวลาที่ผ่านไป