การบำเพ็ญปราณเชวียนของทหารในระดับนี้นั้นมิได้สูงส่งนัก ผู้ที่เป็นสุดยอดในหมู่พวกเขาเป็นเพียงแค่เชวียนทอง ในขณะที่สกุลอื่นๆนั้นอยู่ในระดับเชวียนเงิน แต่ ความแข็งแกร่งทางร่างกายของพวกเขานั้นสูงส่งจนน่าขนลุก !
ชายหน้าสิบคนยืนเรียงแถวห่างไปมิไกลนัก พวกเขาทิ้งมือค้ำไปด้านข้างด้วยท่าม้า พวกเขาอยู่ใกล้เชิงกำแพง ด้านข้างผู้ที่ยืนในท่านั้น จะยังมีอีกผู้หนึ่งที่ยืนอยู่พร้อมด้วยไม้ในมือ ทุกผู้ที่อยู่ด้านข้างนั้นจักขบฟันและหวดไม้จนเกิดเสียง ฉึบ เขาตีเข้าไปยังร่างกายทุกส่วนของผู้ที่ยืนอยู่ เสียงปะทะเหล่านั้นดังโหดร้าย คล้ายดั่งการหวดหนังวัว แต่ ไม่มีผู้ใดที่ถูกตีจักแสดงสีหน้าแห่งความเจ็บปวดออกมา อาจจะมีบางผู้ที่แสดงสีหน้ากระตุกหรือขมวดคิ้ว แต่ พวกเขามิได้แสดงสัญญาณใดอื่นออกมาเลย
พวกเขายังคงยืนอยู่เช่นนั้น
แม้นจะโดนตีนับร้อยครั้ง จากนั้น พวกเขาหายใจหอบขณะลุกขึ้นจากท่าม้า แล้วยืดคอ บิดข้อมือ และหัวเข่าเพื่อออกกำลัง ซึ่งก่อให้เกิดเสียง ป๊อก ! เสียงเหล่านั้นดังขึ้นคล้ายดั่งเสียงประทัด จากนั้นพวกเขารับท่อนไม้มา และผู้ที่เคยตีเขาก็ไปอยู่ในท่วงท่าของม้าแทน กล้ามเนื้อของพวกเขาอัดแน่นดั่งมังกรหนุ่ม
เสียงหวีดหวิวดังต่อเนื่องไป เพียงเวลานี้เท่านั้น พวกเขาสลับกันฟาด และโดดนฟาด
คำสั่งจักถูกแพร่ไปหลังขากที่จบรอบของพวกเขา จากนั้น พวกเขานับร้อยก็แบ่งออกเป็นสองกลุ่มอย่างเป็นระเบียบ ทั้งสองกลุ่มต่างยืนอยู่บนสนาม ที่กลุ่มก่อนหน้านี้ได้รับคำสั่งให้ต่อสู้ด้วยเมือเปล่า สองกลุ่มที่ต่อสู้กันในสถานที่นี้ ตัดระเบียบตัวเองและเดินไปยังเชิงกำแพง จากนั้น พวกเขาทุบตีเพื่อนของเขา … และจากนั้นเปลี่ยนเป็นผู้ที่ถูกทุบตี …
จากนั้น ก็มีคำสั่งอื่นแพร่ออกมา จากนั้น อีกร้อยที่เพิ่งเข้ามาในสนามก็เริ่มการต่อสู้มือเปล่าที่น่ากลัว ทุกหมัดและเท้าปะทะเข้ากับจุดสำคัญ ลิ้นปี่ คอหอย หน้าผาก ท้ายทอย ระหว่างขา หลังเข่า … ทุกๆจุดสำคัญ …
ฉากนี้ยากยิ่งจินตนาการ แต่จักทนต่อการทุบตีที่ขมขื่นเช่นนี้ซ้ำแล้วซ้ำอีกกระนั้น ? อย่างไรก็ดี พวกเขาเคยชินกับมัน พวกเขาสามารถทนต่อทุการทุบตี พวกเขาพยายามแยกแยะทุกความเป็นไปได้ในการป้องกันของคู่ต่อสู้ รักษาความสงบนิ่ง และหากติดกับดัก พวกเขาจักพยายามอย่างหนักเพื่อให้รอดพ้น
บางครั้ง คนผู้หนึ่งโจมตีคู่ต่อสู้ของเขาเข้าที่จมูก ซึ่งอาจทำให้มีเลือดหลั่งไหลออกมามากมาย แต่ สีหน้าของพวกเขายังคงไม่เปลี่ยนแปลง และไร้ความรู้สึก …ราวกับผู้ที่โจมตีเขามิใช่สหาย … หากแต่เป็นศัตรู
จากนั้น เกิดเสียงผิวปาก คนที่อยู่ในสระน้ำ ขึ้นจากสระ สวมเสื้อผ้า และเรียงแถวด้านข้างสระ ในขณะที่คนที่อยู่ในสนามหยุดลง เดินไปยังสระอย่าเป็นระเบียบ และ จุ่มตัวลงไปหลังจากถอดเสื้อผ้า
คนที่เพิ่งขึ้นจากสระก็กลับไปเรื่องต้นการฝึกฝนอันหนักหน่วงอีกครั้ง พวกเขามิได้ต่อสู้เช่นนี้เพียงครั้งเดียว รอบนี้จะเป็นการโจมตีอย่างบ้าคลั่งระหว่างสองกลุ่ม อาจจะเป็นการต่อสู้แบบตัวต่อตัว … หรืออาจเป็นการต่อสู้ที่ผู้หนึ่งปะทะกับคนจำนวนมาก
คนผู้หนึ่งอาจถูกล้อมจากคนมากมายในช่วงเวลาหนึ่ง และเขาอาจจะเป็นคนที่อยู่ในกลุ่มที่ไปล้อมคนอื่นในช่วงเวลาต่อไป ความวุ่นวายเหล่านี้เป็นสิ่งที่น่าตื่นตา และกินกว่าจะพรรณนา หลายครั้งที่ได้เห็นคนผู้หนึ่งล้มลงไปบนพื้น และโดนโจมตีอย่างชั่วร้ายไปยังช่องท้องและท้องน้อย ต่อมา ก็ได้เห็นเขาเหาะขึ้นมาและโจมตีใส่ผู้ที่อยู่โดยรอบ ทุกคนต่อสู้ด้วยจิตวิญญาณแห่งมังกรและความป่าเถื่อนดั่งเสือในการต่อสู้ที่บ้าคลั่งนี้ …
ตลอดเหตุการณ์เหล่านี้ นอกจากหัวหน้าผู้ออกคำสั่ง และเสียงร้องปลุกใจแล้ว ไม่มีผู้ใดเอ่ยปากสิ่งอื่นใดอีก พวกเขาพูดด้วยสิ่งอื่น พวกเขาใช้หมัด ขา ศอก และแม้แต่ไหล่ของพวกเขาในการเอ่ยวาจา …
ทั้งสามกลุ่มกระทำเช่นนี้วนไป คนเหล่านี้เล่นในบทบาทของคู่ฝึกฝน แต่ สิ่งนี้เป็นเพียงกิจวัตรการฝึกฝนในช่วงวันเท่านั้น พวกเขาจะได้รับการฝึกฝนปราณเชวียนในช่วงเย็น กระบวนการฝึกฝนนี้เป็นสิ่งที่มาพร้อมกับความโหดร้ายยิ่งกว่าการฝึกฝนที่พวกเขาประสบในช่วงกลางวัน… การฝึกซ้อมแขน !
ทุกผู้ขบฟัน และใช้จิตวิญญาณและสติทั้งหมดเพื่อการฝึกฝนนี้ พวกเขาจะมีเป้าหมายเพียงหนึ่งเท่านั้น
ข้าจักต้องทำตามมาตรฐานของคุณชายน้อย !
เนื่องเพราะคุณชายน้อยได้เอ่ยวาจาว่าการตรวจสอบครั้งสุดท้ายนั้นขึ้นอยู่กับพวกเขา พวกเขาจักถูกถอดจากทีมหากไม่ผ่านการทดสอบ จากนั้น ผู้ที่เรียกได้ว่าล้มเหลว จักได้รับมอบหมายให้เป็น ผู้รักษาความปลอดภัย และ คนครัว !
… หลังจากได้สัมผัสถึงการพัฒนาที่รวดเร็วและมั่นคง …หลังจากได้พบกับความหวังอันชัดเจนที่จักได้เป็นยอดฝีมือทรงพลัง..ไม่มีพวกเขาคนใดประสงค์กลับไปมีชีวิตอันเสื่อมโทรมเช่นแต่ก่อน มันคือความอับอายอย่างที่สุดของพวกเขา !
กองกำลังเหล็กเหล่านี้เป็นเหมือนดั่ง ปักษาสวรรค์ ที่เข้าสู่นิพพานหลังจากตายด้วยการฝึกฝนอย่างหนักหน่วง และรอคอยการกลับคืนอีกครั้ง …
ดวงตาของจวินโม่เซี่ย ไร้ความปรานี้และเฉยเมย ขณะเฝ้ามองการฝึกฝนอันโหดร้ายในสนาม ท่าทีของเขาสงบนิ่งและมั่นคง
เขามิได้ตั้งใจจะหยุดเพียงเท่านั้น เขาจักใช้ยาอันเป็นเอกลักษณ์กับทหารเหล่านี้เมื่อพวกเขาบรรลุไปถึงขีดจำกัดขึ้นสูงของความแข็งแกร่ง เมื่อนั้นตัวยาจักแสดงถึงผลอันเป็นเลิศ และความสามารถของทุกคนจักพุ่งทะยาน !
จวินโม่เซี่ยมอบหมายงานสังหารหมู่ให้กับทหารเหล่านี้ในอนาคต เพียงแค่การสังหารหมู่เท่านั้น ! สังหารหมู่อย่างบ้าคลั่ง ! สังหารหมู่โดยไร้สิ้นสุด !
ปู่จวิน และ จวินวูอี้ ยืนเคียงข้างกันบนชั้นบนสุดของหอคอนในจวนสกุลจวิน คิ้วของพวกเขากระตุกชั่วครู่ขณะได้เห็นการฝึกฝนที่โหดร้ายเบื้องล่าง
” วูอี้ เจ้าเห็นการฝึกฝนที่เขามอบให้พวกนั้นแล้ว … เจ้าคิดว่าเขาวางแผนการเช่นไรกับพวกเขา ? เหตุใดเขาจึงฝึกฝนคนเหล่านี้เช่นนี้ ? “
ปู่จวินมีสายตาเซื่องซึม
” การฝึกฝนเช่นนี้จักทำให้ทหารเหล่านี้เป็น เจ้านายชีวิตของศัตรู ! ทหารเหล่านี้อาจพ่านแพ้ต่อศัตรูของเขาหรือไม่ แต่ข้าคิดว่าจวินโม่เซี่ยฝึกฝนเช่นนี้ด้วยความคิดเดียวคือ สังหาร ! “
จวินวูอี้เอ่ยวาจาพร้อมสีหน้าหิวกระหาย ซึ่งเป็นธรรมดาที่ขุนพลทุกคนประสงค์จะได้ครอบครองทหารเช่นนี้หลังจากพวกเขาได้เห็น ความจิรง มันจักเป็นเรื่องไร้สาระยิ่ง หากจวินวูอี้ไม่รู้สึกปราถนาต่อกองกำลังที่มีความสามารถเช่นนี้
กองกำลังเช่นนี้เป็นความใฝ่ฝันของขุนพลทุกคน มิต้องถึงสามร้อย แม้แต่ทหารเช่นนี้เพียงหนึ่งร้อยก็ทำให้กองทัพของขุนพลผู้นั้นมิอาจหยุดยั้งได้แล้ว ทหารเหล่านั้นไร้เทียมทาน ไม่มีสิ่งใดจักมายับยั้งได้ !
พวกเขาจักกลายเป็นฝันร้ายของศัตรู !
” สังหาร … ! “
จวินจ้านเเทียนสีหน้ากระวนกระวาย
” แม้นพวกเขาจักฝนให้สังหาร … คำถามที่สำคัญคือ พวกเขาจักสังหารเพื่อสิ่งใด และเพื่อใคร ? คำถามนี้สำคัญยิ่งเมื่อเจ้า ทำให้ผู้อื่นในอาณาจักรนี้ ในมุมมองของเจ้า … “
“เด็กผู้นี้จักแตกต่างจากคำพูดของพ่อเขา เด็กผู้นี้เชื่อว่าไม่ว่าสิ่งใดจักเกิดขึ้น กองทหารเหล่านี้จักพบว่าเขาตอสู้ให้คนเพียงหนึ่ง ! “
จวินวูอี้มองต่ำเยือกเย็น
” ทหารทั้งสามร้อยนี้จักต่อสู้เพื่อโม่เซี่ย จวินโม่เซี่ย และสกุลจวิน ! อนาคตของสกุลเราอยู่บนบ่าของจวินโม่เซี่ย เช่นนั้น สำคัญอันใดที่คนทั้งอาณาจักรรอคอย ? “
” ความแข็งแกร่งเช่นนี้ … “
ดูเหมือนปู่จวินจักมิลดความกังวลลงเลย
” จักนำมาซึ่งความริษยา และคลางแคลงใจ เมื่อมันถูกเปิดเผย ! “
” ริษยา และคลางแคลง ? เหตุใดกัน ? “
จวินวูอี้หรี่ตา มีลำแสงอันคมกริบและเยือกเย็นพุ่งผานไป
” เมื่อใดกันที่สกุลจวินข้องเกี่ยวกับความผิดบาป ? และสกุลจวินมิได้ค้ำจุนผู้คน ? “
ความคิดของจวินวูอี้เริ่มได้รับอิทธิพลมาจากความคิดของจวินโม่เซี่ย เขาดูไม่เหมือนตัวเอง
ชายอาวุโสถอนใจ
ในวันนั้นข้าตัดสินใจถูกต้องแล้วหรือ ? ผู้มีความสามารถของสกุลจวินเสื่อมลง …. ข้าควรจักรับผิดชอบอันใดบ้างไหม ?
” ด้วยจวินโม่เซี่ย … สกุลจวินของเราจักเติบโตอย่างรวดเร็ว ! ไม่มีอำนาจใดจักดึงพวกเรากลับไปได้ ! ข้ามั่นใจในเรื่องนี้ ! “
จากนั้น จวินวูอี้หันหน้ามองไปยังลานฝึก และเอ่ยต่อไปเชื่องช้า
” แต่กระนั้น พวกเราต้องการเวลาและความแข็งแกร่งเพื่อไปให้ถึงเป้าหมาย พวกเราต้องการความแข็งแกร่งที่แท้จริง ! และตอนนี้ พวกเราได้มีต้นแบบของความแข็งแกร่งนั้นแล้ว! “
จวินวูอี้กำหมัด เสียงข้อต่อของเขาลั่นดัง
” เจ้าโม่เซี่ยเลวนั้นมิได้บอกว่าเขาจักตรวจสอบการฝึกฝนนี้ ? เช่นนั้น เหตุใดข้าจึงมิเห็นแม้เงา ? “
ปู่จวินมองไปรอบๆ
” การฝึกฝนของคนเหล่านี้มิต้องมีผู้ใดมาควบคุม “
จวินวูอี้เอ่ย ดวงตาของเขาเต็มไปด้วยความชื่นชม
” การฝึกฝนนี้บรรลุไปถึงขั้นที่น่าประหลาดใจ ! และสำหรับจวินโม่เซี่ย … ข้ามิรู้ว่าเขาอยู่ที่ใหนหรือทำสิ่งใด แต่ พวกเรามิควรพยายามควบคุมเขา เขาสามารถดูแลตัวเองได้ พวกเรามิควรเป็นกังวลเรื่องนั้น ท่านพ่อ เขาเป็นดั่งมังกรที่กำลังซ่อนเร้น พวกเราควรให้อิสระกับเขา “
” เจ้าคิดว่าเรามิควรเป็นห่วงเขา ? เจ้าคิดทุกสิ่งดีแล้วหรือ … ? แล้วเจ้าควรทำตัวเหมือนที่ น้า ควรทำ นี้ยังไม่เพียงพอ โม่เซี่ยนั้นไม่เด็กแล้ว เจ้าไม่คิดถึงการแต่งงานของเขาหรือ ? “
” ท่านไม่ได้เห็นการเติบโตของเขาในวันนั้นหรือ ? เช่นนั้น ข้าจักรู้ได้อย่างไรหากเขาโตพอจักมีเมีย … ? เป็นเช่นไร สินทรัพย์ของเขานั้นดีพอหรือไม่ ? “
จวินวูอี้เอ่ยถามด้วยท่าทีสูงส่ง
” ดียิ่งนัก แท้จริงแล้ว เขานั้นเกินกว่าอาวุโสผู้นี้ในวันเก่าเสียอีก … ฮ่า ! เจ้าชั่วช้า ! เจ้ากำลังพูดสิ่งใด ! เจ้าประสงค์การลงโทษกระนั้น ?! “
ปู่จวินรู้ตัวทันใดและยกมือขึ้น เขาประสงค์จักสังสอนลูกชายคนนี้
คุณชายสามหัวเราะ
” เหตุใดท่านจึงมีโทสะ ท่านพ่อ ? เจ้ามิได้มีความสุขหรอกหรือที่จวินโม่เซี่ยเติบโตขึ้น ? เป็นเพียงแค่ว่าเมื่อถึงเรื่องการแต่งงาน … แน่นอนเขาจำต้องใช้เวลาเพื่อตัดสินใจ แต่ หากท่านวางแผนเพื่อบังคับเขาให้ทำบางสิ่งที่เขาไม่ต้องการ … ข้าจักไม่คัดค้านใดๆ และข้าอยากจะเห็นมันเกิดขึ้น “
เผชิญหน้ากับลูกชายข้าก็เหมือนเผชิญหน้าศัตรู…
ปู่จวินพบว่าตัวเองเจอปัญหาเมื่อคิดเช่นนั้น เขารู้ว่ามิอาจหว่านล้มหลานชายอันมีค่าของเขาในการทำเรื่องที่ขัดกับความต้องการของเขาได้ …. ปล่อยให้เรื่องที่สำคัญเป็นเพียงสเรื่องการแต่งงาน ….
” เจ้าเด็กสาวตู่กู้น้อยผู้นั้นดีกับโม่เซี่ย และข้าเห็นว่าโม่เซี่ยก็สนใจนาง มีผู้ใดอื่นอีกไหม ? ข้ามิอาจทนดูเด็กสาวผู้นั้นกับโม่เซี่ยได้ ! “
จวินจ้านเทียนถาม ดูเหมือนเขาไม่เต็มใจ
ไม่มีสิ่งใดสง่างามในเรื่องนี้ พ่อและหลานชายเริ่มสร้างฮาเร็มสำหรับหลานชายของเขา
” นอกจากนี้ …. โม่เซี่ยให้ความสนใจกับ ทะเลสาปหมอกวิญญาณ อาจมีบางผู้ที่นั่น … “
จวินวูอี้ขยิบตา
จวินจ้านเทียนเกือบเป็นลม เขาใช้มือประคองตัวเอง
” มีใดอื่นนอกจากที่นั่นไหม ? “
” ข้าจำได้ว่า … โม่เซี่ยมีความฝักใฝ่ในตัว จิ้งฮั่น… “
จวินวูอี้กระแทกและเหาะออกไปทางหน้าต่างในตอนที่เขาเอ่ยวาจาเหล่านั้นจบ แม้แต่เงาของเขาก็มิหลงเหลือไว้เบื้อหลัง เขารู้สิ่งที่รอคอยเขาอยู่ หากเขายังคงอยู่ที่นั่น
” เจ้าเลว ! ออกไปเสีย ! “
จวินจ้านเทียนกระโดดขึ้นด้วยโทสะ แต่ เขาตระหนักได้ว่าลูกชายของเขาก็ได้หายไปอย่างไร้ร่องรอยแล้ว ดังนั้นเขาจึงไร้ทางเลือก ทำได้เพียงเบิกตากว้าง กระทืบเท้า และคำรามลงมาจากหอคอย อย่างไรก็ตาม ทันใดนั้นเขาก็หยุดคำราม และเริ่มครุ่นคิด …
” สกุลจวินของเราจำต้องรอนานอีกหรือ ? “
เขาถอนใจยาวและพยักหน้า
” ไร้สาระ ! ไร้สาระที่สุด ! “
ผู้อาวุโสไร้วาจาอื่นนอกจากคำว่า ไร้สาระ
จวินโม่เซี่ยอยู่ข้างลานฝึกเมื่อเขาได้ยินเสียงคำรามเบาๆของปู่ เขาอดที่จะพึมพัมด้วยความสับสนมิได้
” เหตุใดท่านปู่จึงคำราม ? ครั้งนี้ ผู้ใดเป็นคนจุดไฟ ?”
คุณชายน้อยจวินมิรู้เลยว่าเขาอยู่เบื้องหลังการมีโทสะของปู่ … แม้นว่าเขานั้นไร้ความผิดจริงๆ
ร่างของจวินโม่เซี่ยหายไปจากด้านข้างลานฝึกอย่างไร้ร่องรอย
จวินโม่เซี่ยมองขึ้นบนฟ้าและคาดว่าอีกมินานจักค่ำ หัวใจเขาเต็มไปด้วยการคอคอยอย่างคาดหวัง เขากำลังจะจัดการกับเรื่องสำคัญในคืนนั้น
สิ่งแรก คือเครื่องประดับที่ถูกสวมใส่โดย เซี่ยวเฟิงวูแห่งนครพายุหิมะสีเงิน มันเป็นสิ่งของที่น่าตื่นตาตื่นใจอย่างแท้จริง เหตุใด สิ่งของสามัญเช่นนี้ทำให้เจดีย์หงษ์จวินตอบสนองเช่นนั้น ? คุณชายน้อยจวินมิรู้ถึงจุดกำเนิดของสิ่งนั้น แต่ มิสำคัญว่าเขาจักรู้หรือไม่ เขาก็คิดแผนการขึ้น และค่อนข้างมั่นใจในการกลับมาพร้อมของชิ้นนั้น
ต่อมา การลอบสังหารผู้ที่ลอบสังหารเขา ! จวินโม่เซี่ยมีความสนใจยิ่งในเรื่องนั้น
ไม่เพียงแต่จวินโม่เซี่ยชื่นชอบการดำเนินการของผู้นั้น … เขายังยอมรับมันอย่างสูง
คนผู้นั้นไม่แม้แต่จักหันไปมองแม้นว่าการกรพทำของเขาจักไม่ได้ผล แต่เขากลับหนีไปไกล และเขาก็มิได้กระทำงานนั้นอย่างเลินเล่อ ชายผู้นั้นหายไปอย่างไร้ร่องรอย ซึ่งเป็นวิธีการเดียวกันกับที่ มือสังหารจวินได้ใช้ในชีวิตก่อน คนผู้นี้เป็นเพียงผู้เดียวที่ จวินโม่เซี่ยยอมรับว่าเป็นมือสังหาร ในโลกนี้ มือสังหารกลุ่มอื่นที่เขาได้เผชิญหน้าในโลกนี้มิได้เป็นอะไรไปมากกว่ายอดฝีมือเชวียนชั้นดี
พวกเขาได้รับขนานนามว่ามือสังหาร ?
คนเหล่านั้นมิสมควรได้รับชื่อเสียงของมือสังหาร !
ยิ่งไปกว่านั้น มือสังหารผู้นั้นมีเคล็ดวิชาเป็นเอกลักษณ์และรวดเร็วยิ่ง ความสามารถในการสังหารของจวินโม่เซี่ยนั้นสามารถยิงออกไปได้รามลมบ้าหมู หากเขาได้รับความสามารถเช่นนั้น จากนั้น เขาก็มีหวังที่จะสามารถสังหาร เทพเชวียนได้ดด้วยวิธีการเช่นเดียวกันนั้น
จักต้องมีความลับบางอย่างที่อยู่เบื้องหลังความเร็วของเขา
จวินโม่เซี่ยซ่อนตัวอยู่ในความว่างเปล่าจนเขาเข้าใกล้ลานบ้านเล็กของเขา ความคิดของเขาหยุดลง และเพ่งมองออกไปด้วยความสับสนเมื่อเห็นเงาสองร่างอยู่เบื้องหน้า
สองร่างเงานั้นอยู่ตรงทางเข้าลานบ้านของเขา พวกเขาเตี้ยและบอบบาง คุกเข่าอยู่บนพื้น หลังของพวกมเขายืดตรง ไม่มีหนทางจักจินตนาการได้เลยว่าพวกเขาคุกเข่าอยู่เช่นนี้นานเพียงใด กระนั้น พวกเขาดูดื้อรั้นและไม่ประสงค์จะหยุด
โม่เซี่ยถอนใจขณะที่ร่างอันไร้เงาของเขาเดินฝ่านพวกเขาไป ทั้งสองนั้นเป็นส่วนหนึ่งของเด็กที่เขาและน้าชายช่วยเหลือมาจาก หอฮ้งฮั๊วะ เด็กที่เหลือถูกย้ายไปอยู่ในสถานที่ ที่ดี แต่ เด็กสองคนนี้ปฏิเสธที่จักออกจากชีวิตพวกเขา พวกเขาเพียงประสงค์จะเรียนรู้วิชาที่พวกเขาสามารถเอาไปแก้แค้นได้
ความพิการของเขานั้นมิได้ถือว่ารุนแรง แต่ พวกเขาทั้งสองนั้นเป็นใบ้ ลิ้นถูกตัดขาด พวกเขามิสามารถพูดได้อีก ยิ่งไปกว่านั้น พวกเขาคนหนึ่งมีเพียงมือซ้าย
มิใช่ว่าหัวใจของจวินโม่เซี่ยจักไม่ถูกกระตุ้นด้วยความเพียรของพวกเขา อย่างไรก็ตาม เขาปฏิเสธพวกเขาอย่างไม่เต็มใจหลังจากการทดสอบ เด็กเหล่านี้มีความตั้งใจอย่างน่าประหลาด และความเกลียดชังที่มีต่อศัตรูนั้นก็สูงส่ง แต่ ความสามารถในการเรียนรู้ของพวกเขานั้นสามัญนัก มิต้องเอ่ยกล่าวถึงความจริงที่ว่าร่างกายของพวกเขามีความพิการ
หอฮ้งฮวะมิได้ละทิ้งโกาศในการบำเพ็ญของพวกเขาอย่างไร้เหตุผล
จวินโม่เซี่ยฝึกฝนเด็กทั้งสองสุดกำลัง เขาคาดว่าเขาสามารถใช้วิธีการฝึกฝนที่โหดร้ายเพื่อให้เหมาะกับความตั้งใจของพวกเขา พวกเขาสามารถพัฒนาไปได้อย่างมีนัยยะภายในเวลาเพียงสิบปี ตราบใดที่พวกเขาสามารถอดทนต่อการฝึกฝนที่โหดร้าย และมีการล้างบาปด้วยไฟโบราณ ความจริง พวกเขาอาจมีโอกาสไปถึงขั้นปฐพีเชวียน
ขั้นปฐพีเชวียนนั้นมิได้ถือว่าน้อย คนสามัญนั้นดิ้นรนทั้งชีวิตเพื่อให้บรรลุไปถึงขั้นนั้น มันเป็นเป้าหมายที่สูงส่งสำหรับสามัญชน แต่ แต่เป้าหมายนี้ไร้ความหมายในสายตาของคุณชายน้อยจวิน และเด็กเหล่านี้
แต่ จวินโม่เซี่ย สามารถฝึกฝนพวกเขาได้หรือ ? เขาใช้เวลาและเงินทองมากมายในการฝึกฝนและฟื้นฟู ยิ่งไปกว่านั้น มันจักเสียหายยิ่งหากการพัฒนาของพวกเขาหยุดอยู่เพียงแค่ขั้น ปฐพีเชวียน ดังนั้น จวินโม่เซี่ยจึงใคร่ครวญข้อนี้เป็นเวลานาน จากนั้นเขาจึงตัดสินใจว่าการบำเพ็ญของพวกเขานั้นไม่มีค่าเพียงพอให้พยายาม
ยิ่งไปกว่านั้น ความรุนแรงในความต้องการล้างแค้นของเขานั้นมิได้ช่วยส่งผลอันใดในระยะเวลาอันสั้นนั้น ดังนั้น มันจึงไม่มีความสำคัญอันใด
จวินโม่เซี่ย สงสารพวกเขา ความจริงแล้ว เขาแอบสรรเสริญในจินตานุภาพของพวกเขา แต่ เขารู้ว่ามันมิได้เป็นเช่นนั้น
แต่ เห็นได้ว่าเด็กสองคนนั้นคุกเข่าอยู่นอกลานของจวินโม่เวี่ยตั้งแต่เขาปฏิเสธไม่ฝึกฝนให้ พวกเขาไม่เอ่ยวาจา แต่แววตาของพวกเขาอ้อนวอนเมื่อใดก็ตามที่พวกเขาเห็นเขา
มันเป็นเวลาเก้าวันแล้ว ที่พวกเขาคุกเข่าอยู่หน้าทางเข้าลานบ้านของจวินโม่เซี่ย
ร่างเพรียวบางของพวกเขาสั่นเทาขณะเสียงฝีเท้าอันคุ้นเคยของจวินโม่เซี่ย พวกเขายืดหลังขึ้นอีก แต่ยังคงคุกเข่ามิเคลื่อนไหว
คุณชายน้อยจวินถอนใจ ขณะเขาเดินเชื่องช้าไปยืนตรงหน้าพวกเขา
” เงยหน้า และมองข้า ! “
น้ำเสียงของเขาเป็นเหมือนดั่งคำสั่งที่พวกเขามิอาจท้าทาย
ร่างของพวกเขาสั่นเทาขณะมองไปยังใบหน้าของจวินโม่เซี่ยตามคำสั่ง
จวินโม่เซี่ยเหลือบมอง ทั้งสองจักต้องมีอายุราว สิบสามหรือสิบสี่ปี กระนั้น แววตาของพวกเขาก็มิได้แสดงถึงความรีบเร่งและความปรารถนาดั่งเช่นวันที่ผ่านมา สีหน้าเหล่าหน้าเหล่านั้นเป็นดั่ง ความสงบแห่งชีวิต
แต่ก็มิได้เหมือนดั่งความสงบนิ่งที่ว่างเปล่า ดูเหมือนพวกเขาไม่ยี่ระ ความเป็นตาย สงบนิ่งดั่งผู้ที่มิได้สนใจในโลกคนเป็น
ความสงบนิ่งแห่งชีวิตนั้น มิได้มีความหมายเหมือนกับความว่างเปล่า
จวินโม่เซี่ยถอนใจภายในใจ
สายตาเหล่านี้เหมือนดั่งเช่นมือสังหารอันดับหนึ่ง
ผู้ที่สามารถแสดงความรู้สึกนี้ออกมาทางแววตาเนื่องจากพวกเขาถูกกดขี่อย่างรุนแรง และเริ่มคิดว่าชีวิตนั้นไร้ค่า ความจริง คนเช่นนี้ถือว่าชีวิตของพวกเขานั้นไร้ค่า
หากพลังตามธรมมาชาติของพวกเขาดีกว่านี้ … ตราบใดที่มันดีกว่านี้อีกนิด จวินโม่เซี่ยจักรับพวกเขามาโดยไม่ลังเล อย่างไรก็ตาม ในเรื่องนั้นเขาหมดหนทาง พลังตามธรรมชาติของเขาพวกเขานั้นต่ำต้อยเกินไป …
ขอเพียงความตั้งใจเพียงหนึ่งส่วน และหยาดเหงื่อเก้าสิบเก้าส่วนจึงจักน่าเกรงขามได้ แต่ ความตั้งใจ หนึ่งส่วนนั้นคือจุดสำคัญ สำคัญยิ่งกว่า หยาดเหงื่อเก้าสิบเก้าส่วน
” บอกเหตุผลพวกเจ้ามา ! แสดงถึงความมุ่งมั่นของเจ้าให้ข้าดู ! “
จวินโม่เซี่ยรู้สึกเห็นใจ เด็กทั้งสองนั้นมีความอดทนยิ่ง คนสามัญมิอาจคาดคิดถึงความอดทนของพวกเขาได้ หัวใจของพวกเขาเต็มไปด้วยความเกลียดชังที่มีต่อศัตรู แต่พวกเขาไม่มีความสามารถในการฝึกยุทธ์ ดังนั้น จวินโม่เซี่ยจึงอดถอนใจมิได้
ความมุ่งมั่น ?
เด็กทั้งสองมองหน้ากัน จากนั้น พวกเขาพยักหน้าแข็งขัน
เด็กที่อยู่ด้านซ้ายเอานิ้วมือที่ยังเหลืออยู่เขาไปในปากของตัวเอง จากนั้นล้วงลงไปอย่างเด็ดเดี่ยว เด็กคนนั้นกัดลงไปด้วยความพยายาม และหันหัวไปด้านข้างจนกระทั้งเนื้องของเขาหาดเป็นชิ้น สายเลือดหลั่งไหลจากนิ้วของเขา ทั้งร่างของเขาสั่นด้วยความเจ็บปวด และใบหน้าซีดเผือก แต่ เขายังคงนิ่งเฉย จากนั้น เด็กผู้นั้นเริ่มเขียนตัวอักษรลงบนพื้นด้วยเลือดของเขา เขาเขียนไปได้เพียงครึ่งหนึ่งเมื่อเลือดของเขาไหลช้าลง เขามองไปด้วยความไม่พอใจ จากนั้นจึงเอานิ้วเข้าไปในปากอีกครั้ง เขากัดลงไปอย่างรุนแรงอีกครั้ง จนเนื้องของเขาฉีกยิ่งขึ้น
กระดูกนิ้วมือชิ้นเล็กของเขาโผล่ขึ้นมา เนื้อสีขาวและเลือดที่ผสมบนเปกันร่วงหล่นลง สายเลือดพุ่งกระจาย มันกระจายไปไกลจนกระเด็นใส่หน้าของจวินโม่เซี่ย
เด็กอีกคนทำตามคนก่อน และกัดนิ้วของเขา ร่างของเด็กทั้งสองสั่นเทา แต่พวกเขายังคงควบคุมตัวเองได้ในขณะที่เลือดพุ่งกระจาย จากนั้นพวกเขาเขียนตัวอักษรที่ตรงและใหญ่บนพื้น
เด็กที่อยู่ด้านซ้ายเขียนว่า
” ข้าจักสังหารพวกเขาโดยการฟัน ข้าจักไม่เสียใจจนวันตาย “
เด็กด้านขวาเขียนว่า
” คนเหล่านั้นมิได้ทรงพลัง พวกเขาสามารถตายได้ “
คำพูดของพวกเขานั้นเต็มไปด้วยพลัง ทั้งสองตัวสั่นด้วยความเจ็บปวด แต่ พวกเขาเขียนตัวหนังสือแต่ละตัวอย่างพิถีพิถันและความพยายามอย่างยิ่ง
เด็กทั้งสองมองหน้าจวินโม่เซี่ยหลังจากเขียนจบ และเอาหัวโขกพื้นอย่างรุนแรง
ทันในนั้นดวงตาจวินโม่เซี่ยแดงก่ำ เขารู้สึกประหลาดใจใน หัวใจของเขาเริ่มสั่นอย่างรุนแรง
จวินโม่เซี่ยใช่ชีวิตอย่างเย็นชามาเสมอทั้งสองช่วงชีวิต เขาไม่เคยมีความเมตตา และมองทุกสิ่งอย่างดั่งหญ้าเตียน หรือ หมาชั้นต่ำ เขาเย็นชา และไม่คิดสิ่งใดกับคนสามัญ เขามิเคยรู้สึกกระวนกระวายแม้เพียงเล็กน้อยเมื่อพบเจอกับความน่าหวาดกลัวของ หอฮ้งฮัวะ ในวันนั้น ไม่รู้หวั่นไหวแต่น้อย แต่ การกระทำอันดื้อรั้นของเด็กสองผู้นั้นส่งผลต่อเขาลึกซึ้ง
” ดี ! หากนี่คือสิ่งที่เจ้ารู้สึก ข้าจักไม่ปกปิดโอกาสของเจ้า !”
จวินโม่เซี่ยถอนใจยาว สีสันในดวงตาของเขาเปล่งกระกายขณะเขาลดเสียงลงต่อเนื่อง
” โอกาสที่ข้าให้เจ้าอาจมอบพลังอำนาจที่ท้าทายกฏสวรรค์ให้แก่เจ้าในวันหนึ่ง แต่ สำคัญที่เจ้าต้องจำไว้ว่า เส้นทางเหล่านั้นจักเต็มไปด้วยการสังหารและความตาย ! ข้าหวังว่าเจ้า .. จะไม่ทำให้ข้าผิดหวัง “
เด็กทั้งสองมองขึ้นมาพร้อมเพรียง พวกเขาไร้วาจา เพียงแต่สายตาเต็มไปด้วยความปิติ จากนั้น ความปิติเหล่านั้นเลือนหายไปเหลือไว้เพียงความแน่วแน่ในการติดสินใจ ราวกับพวกเขาได้ตัดสินใจมาจากก้นบึ้งแห่งจิตวิญญาณ พวกเขามองจวินโม่เซี่ยและโขกหัวกับพื้น หัวของผู้หนึ่งบาดเจ็บ และเลือดเริ่มหลั่งไหล
จวินโม่เซี่ยรีบคว้าเด็กผู้นั้นเข้ามาในวงแขนและเหาะเข้าด้านใจ จนเขาเกือบจะระเบิดเข้ามา ทั้งสองได้รับบาดเจ็บอย่างหนักเพื่อพิสูจน์ความมุ่งมั่น พวกเขามิได้เปล่งเสียงใดเพื่อแสดงความเจ็บปวด แต่พวกเขาจักพบกับปัญหายิ่งหากมิได้รับการรักษาทันเวลา สิ่งนี้อาจกลายเป็นปัญหาใหญ่
จวินโม่เซี่ยตัดสินใจจะช่วยหเหลือแล้ว เช่นนั้น เขาจักมิปล่อยให้เหตุร้ายอันใดเกิดขึ้นอีก
พวกเขามิความมุ่งมันอันยอดเยี่ยม อาจจะไม่มีความสามารถมากนัก แต่ความมุ่งมั้นอันมหาศาลของพวกเขามิอาจทดแทนได้เลยหรือ ? จำนวนของผู้ที่มีความสามารถอันสำคัญนั้นเท่ากับจำนวนเม็ดทรายในแผ่นดินนี้ แต่ จักมีผู้คนสักเท่าไหร่ที่มีความมุ่งมั่งอันยอดเยี่ยมเช่นนี้ ?
จักบรรลุความสามารถอันใดได้หากพวกเขามิได้ปราถนา .. ?
เมื่อคนผู้หนึ่งจัดการกับตัวเองอย่างอำมหิต พวกเขาจักจัดการกับศัตรูเช่นไร ?
สองวลีที่เขียนด้วยเลือดเปรอะเปื้อนอยู่ตรงทางเข้าลานบ้าน แต่ละคำที่อยู่ในวลีเหล่านั้นเปล่งประกายเจิดจ้า
” ข้าจักสังหารพวกเขาโดนการฟันให้ล้มลง ข้าจักไม่เสียใจจนวันตาย “
” ผู้คนเหล่านั้นมิได้ทรงอำนาจ สามารตายได้เช่นกัน “
ม่านหมอกแห่งความมืดมิดปกคลุมท้องนภา
จวินโม่เซี่ยขมวดคิ้วและครุ่นคิดล้ำลึกขณะเขามองไปยังร่างอันผอมบางและอ่อนแอที่นอนอยู่บนเตียงของเขา
ที่พำนักของเขาเต็มไปด้วยผู้บาดเจ็บ กลิ่นยาปกคลุกคละคลุ้งทั่วไปในอากาศ
อยี่กู้ฮั่น นอนอย่างสงบบนเตียงขนาดใหญ่ด้านข้าง ลมหายใจของเขาเบาบาง แต่มิได้เป็นอันตราย
จวินโม่เซี่ยกางเตียงอีกหนึ่งตัวขึ้นด้านข้าง ซึ่งตอนนี้เป็นของเด็กทั้งสองผู้นั้น
ผู้บาดเจ็บทั้งสาม สามผู้ที่ไร้ความสามารถ
เด็กทั้งสองได้ใช้พลังของเขาจนถึงขีดจำกัด พวกเขาหมดสติไปหลังจากจวินโม่เซี่ยสัญญาว่าจักช่วยเหลือ แต่พวกเขาหมดสติไปอย่างไร้ซุ่มเสียง ไม่มีแม้แต่เสียงกรน
จวินโม่เซี่ยได้พบเห็นผู้ที่โหดเหี้ยมมากมาย แต่ นี่เป็นครั้งแรกที่เขาได้พบกับผู้ที่มีความโหดร้ายอย่างยิ่ง และไร้ซึ่งความสามารถในการต่อสู้
ปิศาจตัวน้อยเหล่านี้จักโหดร้ายยิ่งกว่าข้ากระนั้น ?
เนื่องจากข้าสัญญาจักช่วยเหลือเขา … ข้าจักฝึกฝนผู้ไร้ความสามารถเหล่านี้ภายในเวลาอันสั้นได้เช่นไร ?
จวินโม่เซี่ยรู้อันใดเลยในเรื่องนี้
ด้วยปราณเชวียน ? ไม่ วิธีการนี้มิอาจทำได้ หอ ฮ้งฮัวะ คงจักไม่จับพวกเขาใส่โถยักษ์เหล่านั้นไว้หากพวกเขาม่ความสามารถในการฝึกฝนปราณเชวียน
หากมองในมุนนั้น !
จวินโม่เซี่ยยืนขึ้นทันใด ประกายชั่วร้ายปรากฏขึ้นในดวงตาของเขา
อย่างน้อย ข้าสามารถสั่งสอนพวกเขาด้วยวิธีการหลักในชีวิตก่อนของข้า ! ข้าจักฝึกฝนพวกเขาตามกฏเกณฑ์ที่ข้าได้ฝึกฝนในวันเหล่านั้น และพวกเขาจักก้าวหน้าไปได้มากเช่นไร … มันจะต้องฝากไว้กับโชคชะตาของพวกเขา ! และข้าน่าจะสามารถกลั่นยา ชำระแก่น ได้หากข้าสามารถบรรลุ เคล็ดปลดผนึกชะตาสวรรค์ ถึงขั้นที่สี่
ข้าจักฝึกฝนสองผู้นี้ให้เป็นสิ่งที่จักทำให้ทั้งดินแดนเชวียนเชวียนต้องตกตะลึงด้วยตัวเอง จนท้ายที่สุดพวกเขาจักมีความสามารถในการสังหารแม้แต่เทพแห่งดินแดนนี้ ! ด้วยความมุ่งมั่นของพวกเขา เคล็ดสำคัญของข้า และ ตัวยา … ปิศาจที่น่ากลัวทั้งสองจักเปล่งประกายขึ้นราวกับดวงดารา !
จวินโม่เซี่ยออกจากห้องไปอย่างแผ่วเบา และนั่งลงตรงธรณีประตู เขามองขึ้นไปบนท้องนาภาค่ำคืน ความคิดของเขายืดยาว และในที่สุดเวลาอันเนิ่นนานผันผ่านไป ความดื้อรั้นของเด็กทั้งสองก่อให้เกิดความคิดถึงห่วงเวลาแห่งอตีดของเขา
ในชีวิตก่อนข้างคงจักไม่เหมือนกับเด็กสองคนนี้ ? ข้าเคยเล่นสนุกกับชีวิต ข้าผลักดันตัวเองถึงขีดจำกัดในการฝึกฝน กี่ครั้งหนที่ข้าก้าวผ่านการช็อคจากความเจ็บปวด ? กี่คราวที่ข้าผลักดันตัวเองไปจนถึงความตาย ?
ชื่อเสียงอันไร้ผู้ใดเปรียบของจวินเซี่ย กำเนิดขึ้นได้เช่นไร ? ผู้ใดจักรู้ว่าต้องใช้ความพยายาม หยาดเหงื่อ และน้ำตามากมายเพียงใดเพื่อชื่อเสียงของเขา …? สหายศิษย์ของเขาพยายามอย่างมาก แต่การฝึกฝนของเขานั้นยิ่งกว่าเป็นสามเท่า
ทุกผู้ที่ประสงค์จักประสบความสำเร็จและเป็นเลิศ จักต้องโหดร้ายกับตัวเองมากยิ่ง !
เผชิญกับศัตรูด้วยความดุร้ายนั้นไม่สำคัญ การดุดันกับตัวเองคือสิ่งสำคัญ มือสังหารที่แท้จริงมิสนถึงชีวิตของตัวเองหรือความสำเร็จของพวกเขา กังวลเพียงความสามารถในการก่อให้เกิดความเสียหาย ความกังวลในใจพวกเขาจักเป็นดั่งอุปสรรค
เหล่านี้ … คือคำพูดของอาจารย์ของเขาในชีวิตก่อน !
ภาพของใบหน้าล่องลอยขึ้นตรงหน้าจวินโม่เซี่ย มันเป็นใบหน้าซึ่งมืดดำราวเหล็ก และ เยือกเย็นราวน้ำแข็ง กลิ่นไออันชั่วร้ายหลังไหลออกมาจากดวงตา แต่ เขารู้สึกผ่อนคลายเมื่อใดก็ตามที่ดวงตาคู่นั้นมองมาที่เขา กระนั้น จวินโม่เซี่ยสามารถรู้สึกถึงการมีอยู่ของดวงตาคู่นั้นได้แม้ว่าเขาพยายามจะหลีกเลี่ยง
ดวงตาเหล่านั้นเต็มไปด้วยความว่างเปล่า ราวกับพวกมันเคลื่อนผ่านสองโลก และเพ่งมองเขามาจากที่ห่างไกล
เขาสั่นสะท้านด้วยความหนาวเย็น ดั่งเช่นในอดีต หากแต่ทำให้รู้สึกถึงความเป็นมงคลและสงบ
” อาจารย์ … “
จวินโม่เซี่ยก้มหัว และเอามือกุมเข่าด้วยความโศกเศร้า ประตูเปิดออก ลำแสงส่องผ่านรอยแยกออกมา ก่อให้เกิดเงาของจวินโม่เซี่ย เงาของเขาสั่นสะท้านท้ามกลางลมหนาว ค่อนข้างโดดเดี่ยว
อำนาจ … มีค่าพอแสวงหา ?
เขาได้ยินเสียงฝีเท้าจากเบื้องหลัง จากนั้นรู้สึกถึงเสื้อคลุมอันอบอุ่นปกคลุมร่าง
จวินโม่เซี่ยยังคงสงบนิ่งเช่นเดิม และเอ่ยถาม
” บอกข้าเคอน้อย … เจ้าประสงค์จักกลายเป็นผู้ทรงอำนาจไหม ? “
” เอ๋ ? “
เด็กสาวตัวน้อยเอ่ยขึ้นด้วยความตกใจ ชัดเจนว่าไม่เป็นสิ่งคาดคิด
” กลายเป็นผู้ทรงอำนาจ ? จักเอาไปใช้อันใด ? “
” จักเอาไปใช้อันใด ? เป็นคำถามที่น่าสนใจ หากเจ้าเป็นดั่งเช่นตาเฒ่า เหยี่ยวผู้โดดเดี่ยว เจ้าสามารถสังหารผู้ใดก็ตามที่เจ้าต้องการ เจ้าสามารถอยู่ในโลกนี้อย่างอิสระ เจ้าไม่ต้องการมีชีวิตเช่นนั้นหรือ ? “
จวินโม่เซี่ยถามจริงจัง
สาวน้อยเดินไปด้านข้างเขา และนั่งลงเชื่องช้า จากนั้นนางเงยหน้า และเอามือเท้าคาง จากนั้นเด็กสาวมองจันทราและเริ่มครุ่นคิดจริงจัง แสงจันทร์ประพรมลงบนใบหน้าของนางซึ่งดึงความงดงามและความอ่อนโยนออกมาจากใบหน้า
เวลาผ่านไปไม่นาน จากนั้น สาวน้อยยิ้มเล็กน้อย และเอ่ย
” อำนาจ .. ข้าไม่ประสงค์จักเป็นคนเช่นนั้น “
” โอ้ว ? เหตุใด ? “
จวินโม่เซี่ยเงยหน้าขึ้นและมองไปยังสาวน้อย วาจาของเคอน้อยเป็นสิ่งที่เขามิอาจคาด จากมุมมองต่อโลกของมือสังหารจวิน ทุกผู้จักตอบตกลงหากพวกเขามีโอกาสจักได้เป็นผู้ทรงอำนาจ ไม่สำคัญว่าพวกเขาจักทำสิ่งใดเพื่อให้ไปถึง
เคอน้อยก้มหัวต่ำด้วยความเขินอาย และเริ่มหยิกเล็บเบาๆ “
คุณชายน้อย ข้ามิรู้จักต้องรู้สึกเช่นไรหากต้องเป็นผู้แข็งแกร่ง แต่ข้าไม่คิดว่า …. บางทีข้าอาจมีความสุขกับการยกย่องสรรค์เสริญ แต่ ข้าไม่รู้ว่าเหตุใด … แต่ข้าไม่ต้องการเช่นนั้น ข้าเป็นเพียงสาวน้อย เด็กสาวตัวน้อยของคุณชายน้อย ทั้งหมดที่ข้าต้องการ … คือการดูแลคุณชายน้อยในทุกวัน ข้าหวังเพียงซักเสื้อผ้าให้คุณชายน้อย ทำอาหาร และเฝ้ารอเขากลับมาเมื่อออกไปข้างนอก ข้าต้องการเป็นเพียงคนใช้สามัญเท่านั้น “
สาวน้อยยิ้มอย่างเขินอายอกครั้งและเอ่ย
” คุณชายน้อย วาจาเหล่านั้นหมายความว่าข้าไร้ความมุ่งมั่น ? แต่ .. ข้ามิต้องการเป็นผู้แข็งแกร่ง ! “
” ไม่ สิ่งที่เจ้าเอ่ย .. ข้าชอบมันจริงๆนะ เจ้าเป็นเด็กสาวที่น่ารัก ผู้ที่ข้ารักใคร่ยิ่งนัก ! “
จวินโม่เซี่ยมองไปยังสาวน้อยผู้ที่นั่งอยู่ข้างเขาอย่างเอาใจใส่เป็นครั้งแรก แสงจันทร์ สาดส่องผิวพรรณของนาง ผมสีขาวทองของนางถูกผูกไว้เป็นปม และส่วนปลายผมโบกสะบัดท่ามกลางสายลม ขนตาเส้นยาวของนางกระพริบ และปอยผมปลิวมาติดอยู่ที่ผิดด้านข้างดวงตาของนาง
สาวน้อยรู้สึกไม่สบายใจเล็กน้อยเนื่องจากนางถูกจับจ้องโดยจวินโม่เซี่ย นางบิดนิ้วแต่เสแสร้งไม่รู้เห็น แต่ หัวใจของนางโลดเต้นอย่างบ้าคลั่งอยู่ภายในทรวงอก ใบหน้าของนางเปลี่ยนเป็นสีแดงเชื่องช้า ขณะที่นางก้มหน้า รู้สึกเหมือนเป็นกวางอยู่ภายในใจ
สีหน้าของจวินโม่เซี่ยเผยถึงรอยยิ้มอันดึงดูดในขณะที่เขารู้สึกผ่อนคลาย หัวใจของเขารู้สึกผ่อนคลายเมื่อมีหญิงสาวที่น่ารักเช่นนี้อยู่ข้างๆเขา สัมผัสได้ถึงความสุขอยู่เต็มหัวใจอย่างมิอาจคาด
ทุกคนต่างมีเส้นทางชีวิตของตัวเอง นี่เป็นสิ่งที่ทำได้น้อยที่สุดโดยไร้ซึ่งปัญหา
ราวกับสาวน้อย ความฝันของนางเรียบง่าย เป็นจริง และอบอุ่นยิ่งนัก …
เขาลูบผมอันอ่อนนุ่มและงดงานของนาง และเอ่ย ” เจ้ารีบกลับไปห้องของเจ้า และนอนเสีย ” จวินโม่เซี่ยประหลาดใจเมื่อพบว่าน้ำเสียงของเยานุ่มนวลยิ่ง เขารู้สึกราวกับได้พบกับน้อยสาวของอาจารย์ในชีวิตก่อนของเขา …
” เจ้าค่ะ … “
สาวน้อยตอบขณะนางก้มหัว นางยืนขึ้นเชื่องช้า รู้สึกถึงความอบอุ่นที่คาง ราวกับทั้งร่างของนางคลาดแคลนความแข็งแกร่งขณะนางเดินไปยังห้องของนางอย่างเชื่องช้า
นางเดินไปสองก้าวก่อนคิดบางสิ่งขึ้นได้ และจากนั้นจึงหันกลับมาและเอ่ย
” คุณชายน้อย .. ท่านจักรีบไปนอน … ? “
นางพบว่าคุณชายน้อยที่เพิ่งนั่งอยู่ตรงนี้เมื่อครู่หายไปอย่างไร้ร่องรอยในตอนที่นางหัวหน้าไป
” เขารวดเร็วยิ่ง … “
สาวน้อยกัดริมฝีปากและยิ้มเขินอายอีกครั้ง จากนั้นนนางเม้มปากและเงยหน้าขึ้นขณะที่นางนึกขึ้นได้สิ่งเกิดขึ้นเมื่อเช้านี้ สิ่งนี้ทำให้นางต้องกุมหน้าตัวเอง … . ข้ากำลังคิดไร้สาระ …
จวินโม่เซี่ยเผชิญกับสายลมยามราตรี เขาไม่ทิ้งเงาไว้เลยขณะเหาะไปด้วยความเร็ว เขารู้สึกถึง เคล็ดปลดผนึกชะตาสวรรค์ ที่ไหลวนอยู่ภายใน ทุกรอบนำพาซึ่งความแข็งแกร่งอันน่าเกรงขามภายในร่าง ไม่มีแนวโน้มจักหยุดปราณที่หลั่งไหลไปตามเส้นลมปราณของเขาได้ เขารู้สึกพึงพอใจอย่างมากในเวลานั้น
เป้าหมายแรกคือ หอมณีวิจิตร
จวินโม่เซี่ยยับยั้งกลิ่นไอของเขาอย่างระมัดระวัง เขาล่องลอยเงียบๆอยู่ชั่วครู่ และจากนั้นร่อนลงไปใต้พื้นดิน จากนั้นคุณชายน้อยจวินใช้ จิตสัมผัสของเขาเพื่อค้นหาทุกสิ่งที่อยู่เหนือหัวของเขาอย่างช้าๆ
จวินโม่เซี่ยไม่ลืมว่าครั้งล่าสุดเขาเกือบถูก เล้ยวูเบ้ย ตรวจพบได้ เขารู้ว่ามือเทพเชวียนอย่างน้อยสามคนอยู่ภายใน หอมณีวิจิตร เช่นนั้นเขาจักมิระมักระวังได้เช่นไร ?
ความรอบคอบและระมัดระวัง เป็นสิ่งจำเป็นสำหรับมือสังหาร
อย่างไรก็ตาม ผลจากการใช้จิตสัมผัสของเขาตรวจสอบทำให้เขาตกใจ
เมื่อใดกันที่ หอมณีวิจิตร มียอดฝีมือมากมายเช่นนี้ ?
เป็นความแข็งแกร่งที่น่ากลัวยิ่ง !
จวินโม่เซี่ยค้นหาไปทุกซอกมุมของ หอมณีวิจิตร มีผู้ทรงพลังจำนวนหนึ่งอยู่ภายใน ชัดเจนว่าพวกเขาบางคนนั้นเป็นเทพเชวียน ในขณะที่ผู้อื่นอยู่ในขั้นสวรรค์เชวียนสูงสุดเป็นอย่างน้อย เขาสามารถสัมผัสได้ถึงผู้ทรงพลังเจ็ดคน ! มีพวกเขาสองคนที่อ่อนแอที่สุด จักต้องเป็น เซี่ยวฮั่น และ มูซื้อทง
เมื่อใดกันที่ยอดฝีมือร่วงลงจากฟากฟ้า ?
เป็นไปได้ไหมว่าพวกเขาคือผู้คุมกฏจาก นครพายุหิมะสีเงิน ?
และจิตสัมผัสของจวินโม่เซี่ยได้พบกับผู้ที่น่าเกรงขามยิ่งปรากฏตัวอยู่ตรงกลาง
มันต้องเป็นเทพเชวียน
มีผู้หนึ่งท่ามกลางพวกเขา ผู้ที่ แม้นว่ามิได้แข็งแกร่งเช่นเหยี่ยวผู้โดดเดี่ยว แต่ก็มิได้อ่อนแอนัก ความจริงแล้วเขาแข็งแกร่ง เกือบเทียบเท่ายอดปรมาจารย์ !
หนึ่ง สอง สาม .. สี่ .. หาก ...และผีกหนึ่ง ! มียอดฝีมือเทพเชวียนอีกหกคนอยู่ที่นี่ ! จวินโม่เซี่ยรู้สึกว่าร่างของเขาชุ่มด้วยเหงื่อ ท่าม้า เป็นท่าการฝึกฝนการต่อสู้ จินตนาการถึงผู้ที่นั่งบนหลังม้า ตอนนี้เอาม้าออกไป และคิดถึงคนผู้นั้น นั่งคือกลายเป็นภาพของ ท่าม้า