เพียงชั่วพริบตาก็พบกับเมืองอันคุ้นเคยที่ไม่คุ้นเคย เรามาถึงมิวล์แล้ว
มิวล์ยังคงมีภูมิประเทศชื้นแฉะแบบที่ไม่ดีเท่าไหร่นัก แน่นอนว่าดีขึ้นกว่าแต่ก่อนมาก แต่เพราะผมอยู่ในโมนิก้ามานานจึงทำให้มองเห็นส่วนที่ยังไม่พัฒนาได้ชัดเจนกว่า
หลังจากนั้นไม่นานผมก็รู้สึกถึงสมาชิกเผ่าที่ตามหลังมา ในขณะเดียวกันผมก็รู้สึกกังวลมาก ผมขยายการตรวจจับพลังเวทให้กว้างที่สุดเท่าที่จะทำได้และวางมือไว้ที่เอวเพื่อให้สามารถดึงดาบออกมาได้ตลอดเวลา
ผมทำแบบนั้นตลอดทางออกมาที่ทางเข้าวาร์ปเกตและมองไปรอบๆ บริเวณ พวกผู้เล่นหลายคนกำลังเดินเข้ามาในถนนหลักจากทางด้านขวา
“อึก เจ็บจะตายอยู่แล้ว”
“หึๆ ใครให้กระโดดเข้าไปแบบนั้นล่ะ เอาล่ะ รีบๆ ไปที่แท่นบูชากันเถอะ มันไม่ได้ลึกขนาดนั้น ใช้โพชั่นก็รักษาได้แล้ว”
ถนนของมิวล์ไม่เคยเงียบเหงา ท่ามกลางผู้คนที่ผ่านไปผ่านมาในย่านอันแสนวุ่นวายมีผู้เล่นที่เลือดตกยางออก ไม่ก็อุปกรณ์เสียหายบางส่วน หากดูจากช่วงเวลานี้ก็เป็นไปได้ว่าพวกเขาเพิ่งกลับมาจากการออกล่า อันที่จริงเมื่อลองฟังบทสนทนาของพวกเขาแล้วก็เป็นเรื่องราวที่ค่อนข้างน่าพึงพอใจ เช่น การล่าวันนี้สุดยอดไปเลย หรือไม่ก็อยากให้เป็นแบบนี้ทุกวันจัง
“โฮะๆ ดูเหมือนจะไม่มีเรื่องแปลกๆ อะไรใช่ไหมคะ”
“…”
โกยอนจูขยับเข้ามาทางด้านหลังและพูดเสียงเอื่อยๆ ผมไม่เจอเรื่องแปลกๆ อย่างที่หล่อนว่า มันเป็นภาพทั่วไปของเมืองในฮอลล์เพลน ผมพึมพำเสียงเบาพลางลดมือที่วางไว้บนเอวลง
“แต่ก็ยังไม่รู้นะครับ อย่าเพิ่งวางใจ ตอนนี้รีบไปทำตามเป้าหมายก่อนนะครับ”
“อ๊ะ ฉันแวะที่โรงเตี๊ยมสุภาพสตรีรักนวลสงวนตัวสักแป๊บหนึ่งได้ไหมคะ”
“ค่อยแวะไปทีหลังนะครับ ดูสถานการณ์ด้วย”
“ฮือ~”
โกยอนจูส่งเสียงขึ้นจมูกพลางแสดงท่าทีเสียดาย
ผมเริ่มเดินไปทางย่านการค้าที่ร้านอัญมณีของท่านผู้เฒ่าตั้งอยู่
ทันทีที่ออกจากวาร์ปเกตผมก็ตรงไปที่ ‘ร้านอัญมณีของท่านผู้เฒ่า’ แม้ว่าจะเย็นมากแล้ว แต่เพราะผมนึกถึงคำพูดของอันซล การรีบจัดการเรื่องที่ต้องทำและรีบกลับไปที่โมนิก้าน่าจะดีกว่า
ถนนในมิวล์สงบเรียบร้อยดีแตกต่างกับใจของผม ผมรู้สึกกังวลมากจนทำตัวน่าขัน ถึงแม้จะเตรียมพร้อมมากแค่ไหนก็ตามที ผมมาถึงย่านการค้าที่เรียงรายด้วยตึกได้โดยปกติสุขไม่มีเรื่องร้ายอะไร แต่ก็ไม่ได้หยุดสังเกตรอบตัว
หลังจากนั้นประมาณสิบห้านาทีเราก็มาถึงร้านอัญมณีที่เป็นจุดหมาย เมื่อผลักประตูไม้ที่เต็มไปด้วยรอยขีดข่วนเข้าไปก็เห็นท่านผู้เฒ่ากำลังอ่านสมุดบันทึกอะไรสักอย่างด้วยสีหน้าเคร่งขรึม ดูเหมือนจะตั้งใจมากจนไม่รับรู้การมาเยือนของผมเลย
“ท่านผู้เฒ่า”
“หะ หือ”
ทันทีที่ได้ยินเสียงของผม ท่านผู้เฒ่าซึ่งละสายตาจากสมุดบันทึกพลางถอนหายใจก็หันมามอง เมื่อเราสบตากันประมาณสามวินาที ดวงตาของท่านผู้เฒ่าก็เบิกกว้าง
“นะ นายเองเหรอ”
“ไม่เจอกันนานเลยนะครับ สุขภาพแข็งแรงดีใช่ไหมครับ”
“…ยังใช้คำทักทายแปลกๆ นั่นอยู่อีกเหรอ”
“ฮ่าๆ ดีใจที่คุณจำได้นะครับ ผมก็ไม่ได้ใช้บ่อยๆ หรอกครับ”
“งั้นเหรอ ช่วงนี้นายน่าจะยุ่งๆ นี่ มาทำอะไรที่นี่ล่ะ หรือที่นี่มีอะไรน่าสนใจงั้นเหรอ หึๆ”
ถึงจะพูดแบบนั้น แต่เขาก็ลุกขึ้นและเชิญให้เรานั่งด้วยตัวเอง ผมส่งยิ้มเล็กน้อยและนั่งลงบนเก้าอี้พร้อมกับสมาชิกเผ่า
“แต่ก็ดีใจนะที่เห็นนายยังอยู่ดี”
“ครับ ผมมาตามที่สัญญาไว้ก่อนหน้านี้ แล้วก็มีธุระที่เมืองอื่นนิดหน่อยเลยต้องแวะไป”
“โอ้ นายมาถึงที่นี่เพราะสัญญาเล็กๆ น้อยๆ นั่น…คงมีเรื่องค้างคาใจล่ะสิ”
“อ้า คุณรู้ด้วยเหรอครับ”
เรื่องที่ค้างคาใจน่าจะหมายถึงเหตุการณ์การปะทะกับตัวแทนเผ่า เมื่อผมถามด้วยความสงสัย ท่านผู้เฒ่าก็พยักหน้าโดยไม่แสดงสีหน้าอะไร
“ตอนนั้นเสียงดังเอะอะทีเดียว มันเป็นเรื่องปกติที่พวกตัวแทนเผ่าจะปะดาบกันงั้นเหรอ”
“ครับ ไม่ทราบว่าตอนนั้นมีคนที่ท่านผู้เฒ่ารู้จัก…”
“ไม่มีหรอก โชคดีที่ในภายหลังมันถูกจัดว่าเป็นการป้องกันตัวเอง ลำบากน่าดู”
ท่านผู้เฒ่าเปลี่ยนเรื่องได้อย่างแนบเนียน ผมพยักหน้าเล็กน้อย แม้ว่าผลการตัดสินว่าปราศจากความผิดจะออกมาแล้ว ผมก็ไม่ได้สนใจมากนัก แต่มันเป็นหัวข้ออ่อนไหวสำหรับเรื่องราวต่อจากนี้ไป
ความเงียบปกคลุมครู่หนึ่ง ผมเหลือบตามองชั้นวางของโดยไม่ได้ตั้งใจ บนชั้นวางของนั้นมีสมุดบันทึกที่ท่านผู้เฒ่ากำลังอ่านเมื่อกี้วางไว้อย่างเรียบร้อย
“ว่าแต่คุณกำลังอ่านอะไรอยู่เหรอครับ คุณตั้งใจอ่านมากจนไม่สังเกตเลยว่าพวกเราเข้ามาในร้าน”
“หือ พูดถึงอะไรเหรอ ไม่มีอะไรนี่! อย่า อย่าดูนะ”
ท่านผู้เฒ่ารีบกวาดกองสมุดบันทึกมารวมกัน แต่ดวงตาของผมเห็นเนื้อหาบางส่วนของสมุดบันทึกแล้ว และในบันทึกที่วางอยู่บนชั้นก็เขียนเนื้อหาเกี่ยวกับเผ่าเมอร์เซนต์นารี่ไว้ทั้งหมด
“อะแฮ่มๆ”
“…”
จู่ๆ ผมก็เกือบจะหัวเราะออกมา ท่านผู้เฒ่ารีบปิดสมุดบันทึกแต่ต้นคอเปลี่ยนเป็นสีแดงราวกับรับรู้ว่าผมเห็นทั้งหมดนั่นแล้ว ผมควบคุมลมหายใจพลางกลั้นยิ้มและพูดขึ้นเบาๆ
“อาจจะกะทันหันไปสักหน่อย แต่ถ้าตอนนั้นคุณไปด้วยกันก็คงจะดีนะครับ”
“พะ พูดอะไรน่ะ ดูเหมือนนายจะเข้าใจอะไรผิดนะ ฉันก็แค่อ่านมันแก้เบื่อเท่านั้นเอง”
“โอ้ งั้นเหรอครับ”
“ชะ ใช่แล้ว ช่วงนี้ไม่ค่อยมีลูกค้าก็เลย…”
“ผมไม่ได้หมายความว่าแบบนั้นนะครับ ผมก็แค่พูดเฉยๆ ว่าถ้าตอนนั้นคุณไปกับผมก็คงจะดีเท่านั้นเอง”
ผมได้ยินเสียงหัวเราะจากทางซ้ายและทางขวา พวกเขาไม่มีความอดทนเท่าผมหรอก
“ไอ้เด็กนี่ ช่วงที่ไม่เจอกันปากกล้าขึ้นเยอะเลยนะ ทั้งที่ตอนนั้นดูสบายๆ และมีจิตใจที่มุ่งมั่นแท้ๆ”
“ผมล้อเล่นครับ”
ล้อเล่นครั้งเดียวก็กลายเป็นไอ้หนุ่มที่ไม่มีความมุ่งมั่นไปเสียแล้ว
อย่างไรก็ตามบรรยากาศกำลังเป็นไปด้วยดี เนื่องจากเป็นการกลับมาพบกันอีกครั้ง บทสนทนาประมาณนี้ก็ถือว่าใช้ได้ ตอนนี้ถึงเวลาเข้าเรื่องแล้ว
“คิมฮันบยอล”
เมื่อผมกวักมือเรียก คิมฮันบยอลก็ลุกขึ้นและเดินมาอยู่ข้างๆ หล่อนเว้นระยะเล็กน้อยและหยุดเดิน เมื่อยื่นมือไปจับแขนก็รู้สึกว่าหล่อนสะดุ้งเล็กน้อย ผมค่อยๆ ดึงคิมฮันบยอลเข้ามาหาตัวและหันไปพูดกับท่านผู้เฒ่า
“ท่านผู้เฒ่าครับ เด็กคนนี้คือจองขมังเวทอัญมณี ฮันบยอล ทักทายท่านสิ”
“อ๊ะ สวัสดีค่ะ”
ถึงจะตะกุกตะกักเล็กน้อยแต่คิมฮันบยอลก็โค้งตัวอย่างสุภาพ ท่านผู้เฒ่าพยักหน้ารับพลางขยับแว่นขึ้น จากนั้นก็ยิ้มบางๆ
“โอ้ แม่สาวน้อยที่ดูเก่งกาจนี่คือจอมขมังเวทอัญมณีงั้นเหรอเนี่ย อืม ยินดีที่ได้รู้จัก นายพาตัวนำโชคมาจากเผ่าสิงโตทองสินะ สุดยอดไปเลย”
“อ๊ะ คุณทราบเรื่องนั้นด้วยเหรอครับ”
“ฮึ!”
ท่านผู้เฒ่าพ่นลมหายใจแรงพลางจ้องผมเขม็ง
ความมืดมิดค่อยๆ คืบคลานเข้ามาจากปลายขอบฟ้าสีแดง ดวงอาทิตย์เคลื่อนคล้อยไปทางทิศตะวันตกและยามสนธยาก็มาเยือน เป็นเวลาเตรียมพร้อมสำหรับคืนมืดมิดที่กำลังจะมาถึง
ถนนที่เคยคึกคักไปด้วยผู้คนจนถึงเมื่อครู่เริ่มบางตา ผู้ที่ใช้เส้นทางในช่วงเย็นแบบนี้มุ่งหน้าไปสามที่เท่านั้น คือโรงเตี๊ยมสำหรับพักผ่อน ร้านขายเหล้า หรือไม่ก็พวกค้าประเวณี ถึงแม้ว่าไฟอาคารในย่านการค้าจะไม่ดับไปทั้งหมดแต่เมื่อเทียบกันแล้ว ผู้คนถือว่าน้อยลงมาก
“ซูฮยอน คิดอะไรอยู่เหรอคะ”
เมื่อหันไปตามเสียงที่จู่ๆ ก็ดังขึ้นก็เห็นโกยอนจูกำลังยืนพิงกำแพงร้านอัญมณีเช่นเดียวกับผม
ตอนนี้ผมและโกยอนจูออกมาจากร้านอัญมณีครู่หนึ่ง แน่นอนว่าอยู่ข้างในก็ได้แต่ผมคิดว่าท่านผู้เฒ่ากับคิมฮันบยอลน่าจะคุยกันได้สบายใจมากกว่า
แน่นอนว่าผมมีจุดประสงค์ จุดประสงค์นั้นก็เพื่อคุยกับโกยอนจูแค่สองคนเท่านั้น ดังนั้นตำแหน่ง(?)ของอันซลจึงเป็นปัญหา โชคดีที่ผมสามารถออกมาได้โดยอนุญาตให้เธอเดินดูในร้านที่เต็มไปด้วยอัญมณีเงียบๆ
“ผมมีเรื่องที่ต้องคิดสักหน่อยครับ”
“งั้นเหรอครับ ว่าแต่คุณรู้จักกับคุณตาคนนั้นได้ยังไงเหรอ”
“ผมรู้จักเขาตอนที่เราอยู่ที่มิวล์ เขาดีกับผมมากเลย”
“คุณก็มีมุมน่ารักๆ ต่างจากภายนอกที่เห็นนะคะเนี่ย โฮะๆ ฉันตกใจจริงๆ นะคะ ไม่คิดเลยว่าจะมีคลาสหายากที่ชื่อ ผู้ประเมินอัญมณีด้วย”
“จริงเหรอครับ”
หลังจากบอกไปว่าคิมฮันบยอลคือจอมขมังเวทอัญมณี ท่านผู้เฒ่าก็เปิดเผยคลาสของตัวเองทันที แน่นอนว่าผมทำเป็นประหลาดใจทั้งที่รู้อยู่แล้ว แต่สมาชิกเผ่าดูจะตกใจมากที่มีคลาสหายากซึ่งไม่ใช่คลาสต่อสู้ แม้แต่โกยอนจูก็ตกใจเช่นกัน
แต่ผมก็ไม่คิดว่าพวกทูตสวรรค์สร้างคลาสผู้ประเมินอัญมณีขึ้นมาเฉยๆ แน่ มันเป็นคลาสหายากที่สร้างขึ้นมาเพื่อใช้ประโยชน์บางอย่างไม่ใช่เหรอ
ถึงแม้จะรู้สึกแบบนั้น แต่ดูเหมือนจะสามารถจับคู่กับคลาสจอมขมังเวทอัญมณีได้เป็นอย่างดี และถึงแม้ว่าจะไม่ได้สร้างมาเพื่อการนั้น แต่ก็เห็นได้ชัดว่าการชวนท่านผู้เฒ่าเข้าร่วมเผ่าจะเป็นประโยชน์ต่อเผ่าในภายหลัง
อย่างไรก็ตามผมคิดว่ามีความเป็นไปได้สูง แต่การเข้าร่วมเผ่าของท่านผู้เฒ่าก็ยังไม่ได้รับการยืนยัน ยิ่งไปกว่านั้นขอบข่ายของเผ่าก็ยังไม่ใหญ่มากนัก การคิดจะดำเนินการตั้งแต่ตอนนี้ก็ดูเหมือนจะเป็นการคิดล่วงหน้ามากเกินไป
ผมจัดการความคิดคร่าวๆ และหันไปด้านข้างก็เห็นโกยอนจูกำลังก้มหน้าขยับเท้าไปมา ผมมองหล่อนครู่หนึ่งและพูดเสียงเบา
“โกยอนจู”
“คะ”
โกยอนจูตอบรับด้วยรอยยิ้มที่งดงาม ดวงตาสีเทาอ่อนจับจ้องมาที่ผม เมื่อสบตาคู่นั้นนิ่งๆ จากนั้นผมก็ก้มลง ผมไม่เห็นความผิดหวังในตัวผมในดวงตาคู่นั้นเลยสักนิด
“ที่จริง ผมไม่ได้คิดจะแทรกแซงเรื่องส่วนตัวของโกยอนจูเลยนะ”
“ซูฮยอนคะ”
“อีสตันเทลลอว์เป็นเผ่าที่สำคัญและผมก็ไม่อยากจะเสแสร้งมากนัก ผมพูดได้แค่นี้ครับ แล้วผมไม่คิดจะพูดอีกเป็นครั้งที่สอง โทษทีนะครับที่ผมพูดไร้สาระออกมา”
“…”
โกยอนจูดูงุนงงอยู่พักหนึ่ง แต่จากนั้นหล่อนก็ยิ้มบางๆ และขยับเข้าใกล้ผม
“ฉันจะพูดอะไรได้ล่ะคะ ไม่ใช่เรื่องใหญ่เลย ไม่ต้องขอโทษก็ได้ค่ะ”
โกยอนจูพูดด้วยแววตาลึกซึ้งและหัวเราะคิกคัก ดูเหมือนว่าสุดท้ายแล้วจะจบลงด้วยการล้อเล่น ท่าทางหล่อนต้องการให้พอเท่านี้ แต่ผมก็ค่อยๆ โอบกอดหญิงสาวเอาไว้
“เลิกพูดเรื่องนี้เถอะ ซูฮยอนอยากให้ฉันเห็นด้านที่ฉันยังไม่รู้จักของคุณจริงๆ เหรอคะ เอาแต่ทำแบบนั้นมันน่าอายนี่นา ฉันต้องเป็นฝ่ายยั่วยวนคุณก่อนสิ ใช่ไหม”
ผมเพียงแค่อยากจะแสดงความจริงใจเท่านั้น แต่โกยอนจูปิดปากผมเอาไว้ด้วยมือข้างหนึ่ง ส่วนอีกมือก็จิ้มลงบนแผ่นอกของผม จากนั้นหล่อนก็จับมือผมดึงไปทางประตูร้านอัญมณี
“แค่ทำดีกับฉัน ไม่ใช่คุณฮายอนก็พอค่ะ~ แต่ว่าตอนนี้พอเท่านี้แล้วเข้าไปข้างในกันเถอะค่ะ”
“เอ๊ะ พวกเขาอาจจะยังคุย…”
“คุยกันจบแล้วค่ะ ที่จริงฉันแอบฟังมาตั้งแต่เมื่อกี้แล้ว”
พลั่ก!
ในตอนนั้นเองเมื่อพวกเราเข้าใกล้ประตู บานประตูร้านก็ถูกเปิดออกมาโดยไม่คาดคิด คิมฮันบยอลยื่นหน้าออกมาเล็กน้อย
“พี่คะ คุยกันจบแล้ว…ค่ะ”
หล่อนขึ้นเสียงสูงที่ท้ายประโยคเมื่อเห็นพวกเรายืนอยู่หน้าประตู
* * *