เล่มที่ 15 ตอนที่ 16

Memorize

ชายคนหนึ่งวิ่งออกมาจากป่า เขามองไปรอบๆ ด้วยแววตาเฉียบคมและโบกมือเบาๆ 

 

 

ในไม่ช้าพวกผู้เล่นหลายร้อยคนก็ค่อยๆ ออกมาจากป่า 

 

 

ชายผู้นั้นหันไปทางผู้เล่นที่ยืนอยู่ด้านหลัง สายตาของชายหนุ่มที่มองพวกเขาเต็มไปด้วยความภาคภูมิใจ 

 

 

“คิมคับซู แพคซอยอน” 

 

 

เขาขานชื่อออกมาเบาๆ สองชื่อ จากนั้นชายหนุ่มกล้ามโตท่าทางดุดันกับหญิงสาวที่สวมกางเกงรัดรูปก็ค่อยๆ เดินออกมาด้านหน้า 

 

 

“เมื่อวานนี้ฉันได้รับการติดต่อจากกองทัพ ถึงจะแจ้งล่วงหน้ามาแล้ว แต่ต้องลงมือตามแผนก่อนจะพ้นคืนนี้ กระจายข่าวไปยังแต่ละกองทัพ แต่ละหน่วยที่รับผิดชอบทั้งหมดแล้วใช่ไหม” 

 

 

“เรียบร้อยครับ” 

 

 

“แน่นอน~” 

 

 

ชายหนุ่มซึ่งพยักหน้าให้กับคำตอบที่น่าพอใจหันไปทางชายผู้น่ากลัว คิมคับซู 

 

 

“คิมคับซู พวกพนักงานภายในเป็นยังไงบ้าง” 

 

 

“ตอนนี้ทุกคนกำลังรอคอยด้วยความตื่นเต้นอยู่ใกล้กับประตูทิศเหนือและวาร์ปเกต และเมื่อประตูทิศเหนือถูกเจาะทะลวง เราจะเปิดประตูแต่ละบานและเข้ายึดวาร์ปเกตครับ” 

 

 

“ดี ฉันจะนำกองทัพไปที่ประตูทิศเหนือก่อน ต้องพังประตูทิศเหนือและเข้าไปก่อกวนด้านในสักพัก ตอนที่เจาะประตูได้แล้ว นายก็เริ่มเข้ายึดประตูทิศตะวันตกได้เลย ส่วนวาร์ปเกต…บอกแล้วแน่นะ” 

 

 

“ครับ ผมบอกไปแล้วแน่นอน ไม่ต้องกังวลครับ” 

 

 

คราวนี้เขาหันไปทางหญิงสาวบ้าง 

 

 

“ซอยอน อันที่จริงฉันยังไม่แน่ใจว่าจะยกหน้าที่นี้ให้เธอดีหรือเปล่า” 

 

 

“แหม เสียใจนะเนี่ย ไม่เชื่อในความสามารถของฉันเหรอคะ” 

 

 

“ความสามารถไม่ใช่ปัญหาหรอก เธอน่ะใจดีเกินไป ไม่เหมือนพวกเร่ร่อนสักเท่าไหร่” 

 

 

“มั่นใจในผลลัพธ์ขนาดนั้นเลยเหรอ ไม่ต้องเป็นห่วงและยกให้เป็นหน้าที่ของฉันเถอะ เพราะฉันจะไปถึงวาร์ปเกตและพังประตูทิศตะวันออกก่อนฮยอนหรือคับซูแน่นอน” 

 

 

หญิงสาวที่ชื่อซอยอนพยักหน้าพลางหมุนมีดสั้นราวกับมั่นใจมาก คิมคับซูขมวดคิ้วเล็กน้อย แต่เมื่อเหลือบมองแววตาของฮยอนแล้ว เขาก็คลายสีหน้า 

 

 

“จำเอาไว้ให้ดี นี่คือสงคราม ตราบใดที่มันเป็นสงคราม เราไม่มีทางอื่นนอกจากความตาย ถ้าหากบุกไปมั่วๆ ไม่มีแผนรองรับเหมือนคราวนั้นอีก…” 

 

 

“ไม่ต้องกังวลหรอกค่ะ~” 

 

 

“…เข้าใจแล้ว แล้วก็หลังเปิดประตูทิศใต้เอาไว้ ฉันอยากจะฆ่าพวกมันทั้งหมดไม่ให้เหลือแม้แต่คนเดียว ถึงอย่างนั้นก็ต้องเหลือไว้เจาะเส้นทางให้ เหมือนที่พวกมันทำ” 

 

 

ฮยอนหยุดพูดและหันกลับมา จากนั้นก็พูดต่อด้วยน้ำเสียงเยือกเย็นราวกับใบมีด 

 

 

“คิมคับซู แพคซอยอน ตอนนี้พากองทัพแต่ละหน่วยของเราไปยังจุดหมาย ฉันจะให้สัญญาณ เพราะฉะนั้นระวังอย่าทำเกินกว่าคำสั่งเด็ดขาด” 

 

 

เมื่อพูดจบ คิมคับซูและแพคซอยอนก็แยกเป็นสองทางอย่างรวดเร็ว ในขณะเดียวกัน ความเคลื่อนไหวนับพันในป่าก็แยกออกเป็นสองทางเช่นเดียวกัน 

 

 

นี่กำลังจะเป็นจุดเริ่มต้นของการแก้แค้น 

 

 

 

 

 

* * * 

 

 

 

 

 

“คุยกันเป็นไงบ้างครับ” 

 

 

ทันทีที่เข้ามาด้านในร้านอัญมณีอีกครั้งจากการบอกเล่าของคิมฮันบยอล ผมก็ได้เห็นท่านผู้เฒ่ายิ้มบางๆ ดูจากที่เขาพยักหน้าแล้ว น่าจะพอใจมากทีเดียว 

 

 

ท่านผู้เฒ่ายิ้มอารมณ์ดีและพูดด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล 

 

 

“อืม เป็นช่วงเวลาที่ดีที่สุดในช่วงนี้เลยล่ะ โดยเฉพาะตอนที่ดึงพลังของอัญมณีออกมาน่ะ เป็นผลงานชิ้นเอกเลยทีเดียว” 

 

 

“ฉันได้รับการสั่งสอนมามากค่ะ คุณเองก็มีความรู้เกี่ยวกับอัญมณีเป็นอย่างดีเลยนี่คะ” 

 

 

ท่านผู้เฒ่าและคิมฮันบยอลต่างก็มีรอยยิ้มบนใบหน้า ที่จริงเวลาที่ผมออกไปข้างนอกไม่ถึงหนึ่งชั่วโมงด้วยซ้ำ แต่ดูเหมือนในเวลานั้นทั้งคู่จะเข้ากันได้ดี 

 

 

‘ดูท่าจะเข้ากันได้ดี’ 

 

 

มันไม่ใช่เรื่องไม่ดี ผมจึงสามารถยิ้มตอบอย่างอ่อนโยนได้ 

 

 

ผมนั่งลงบนเก้าอี้ที่ยังหลงเหลือความอบอุ่นอยู่และมองไปที่หน้าต่าง แสงเริ่มมืดลงเรื่อยๆ ใกล้จะมืดแล้ว ผมอยากไปจากที่นี่ภายในวันนี้ ดังนั้นการรีบการจัดการเรื่องนี้โดยเร็วน่าจะดีกว่า 

 

 

“ผมทำตามที่สัญญาแล้ว ถ้างั้น…ตอนนี้คิดยังไงเหรอครับ” 

 

 

“หือ นายพูดถึงอะไรเหรอ” 

 

 

“แกล้งทำเป็นไม่รู้สินะครับ ผมอยากฟังคำตอบในตอนนั้นอีกครั้งครับ” 

 

 

“อืม…” 

 

 

อาจจะดูหน้าทนไปบ้างแต่ผมก็ยังคิดอยู่และความคิดนั้นก็เปลี่ยนเป็นความมั่นใจเมื่อเห็นสมุดบันทึกที่ถูกวางไว้บนชั้นวางของบนตอนที่เข้ามาที่นี่ที่แรก เมื่อสัมผัสได้ถึงความจริงใจในคำพูดของผม สีหน้าของท่านผู้เฒ่าก็พลอยจริงจังไปด้วย 

 

 

เวลาผ่านไปเล็กน้อย ท่านผู้เฒ่าจึงค่อยๆ เปิดปากพูด 

 

 

“พูดตามตรงนะ ข้อเสนอของนายตอนนั้นมันสุดขั้วไปหน่อย” 

 

 

“แต่คุณบอกว่าอยากจะใช้ชีวิตที่เหลือเงียบๆ” 

 

 

“ใช่แล้ว และตอนนี้ฉันก็ยังไม่เปลี่ยนใจนะ แต่ว่า…” 

 

 

จนถึงตอนนี้ก็เป็นคำตอบเดียวกับตอนนั้น แต่ดูเหมือนเขาจะยังพูดไม่จบ ยังเร็วเกินไปที่จะผิดหวัง 

 

 

ผมรอฟังคำพูดต่อไปของเขาอย่างใจจดใจจ่อ 

 

 

“เป็น…เพราะนาย ฉันถึงได้คุยกับยายหนูอัญมณีและฉันก็รู้สึกดีที่ได้พูดคุยเกี่ยวกับอัญมณี” 

 

 

“คิมฮันบยอลก็คงได้เรียนรู้อะไรมากมายเหมือนกันครับ” 

 

 

“เฮ้อ ฉันก็ไม่รู้จะพูดยังไง เพราะไม่รู้ว่านายคิดยังไง ฉันขอบคุณที่นายให้ความสนใจกับคนเฒ่าคนแก่ แล้วก็เกรงใจด้วย…คือ…ดูเหมือนว่าจะมีสิ่งที่ฉันพอช่วยได้…แน่นอนว่าคราวที่แล้วฉันพูดไว้ว่าอยากจะใช้ชีวิตเงียบๆ แต่…” 

 

 

พูดวกวนมา 

 

 

แววตาเฉียบคมตอนที่พิจารณาอัญมณีแต่ก่อนนี้หายไปไหนแล้วนะ คำพูดสลับไปสลับมาจนมั่วไปหมด ผมเอียงคอมองโดยไม่ตอบอะไร แต่แล้วก็เข้าใจความนัยของท่านผู้เฒ่า 

 

 

ตอนนี้ท่านผู้เฒ่ากำลังรู้สึกผิด เผ่าเมอร์เซนต์นารี่ในตอนนั้นกับเผ่าเมอร์เซนต์นารี่ในตอนนี้แตกต่างกันมากจนไม่อาจจะเปรียบเทียบได้ หรืออีกอย่างก็คือ เขาคงรู้สึกอายที่จะยอมรับคำขอในตอนนี้ที่รากฐานของเรามั่นคงแล้ว ทั้งที่ตอนนั้นปฏิเสธไป 

 

 

‘ท่านผู้เฒ่าก็มีด้านที่ใสซื่อเหมือนกันแฮะ’ 

 

 

ผมยิ้มบางๆ และพูดเสียงเบา 

 

 

“โดยส่วนตัวแล้วผมเคารพความคิดเห็นของท่านผู้เฒ่าครับ คุณอยากจะใช้ชีวิตในสถานที่เงียบสงบ ผมก็ไม่สามารถบังคับให้คุณเปลี่ยนใจได้ แต่จะยอมละทิ้งไปแบบนั้นได้เหรอครับ” 

 

 

“ละทิ้งเหรอ หมายความว่ายังไง” 

 

 

“ผมไม่ได้ขอให้ท่านผู้เฒ่ามีส่วนร่วมในการเดินทางในอนาคต หรือการออกสำรวจ ถ้าพูดง่ายๆ ก็คือ แค่ย้ายที่อยู่เท่านั้นเองครับ เมื่อกี้คุณบอกว่าไม่ค่อยมีลูกค้าและรู้สึกเบื่อหน่าย แต่ถ้าคุณมาที่เมอร์เซนต์นารี่ คุณจะไม่เบื่ออีกต่อไปครับ ผมมีเรื่องที่ต้องใช้ฝีมือของท่านผู้เฒ่าเยอะแยะเลยครับ” 

 

 

“อะแฮ่ม” 

 

 

ผมพูดไปหมดแล้ว ปูทางไว้ขนาดนี้ ก็เหลือแค่คำตอบของท่านผู้เฒ่า 

 

 

“ถ้าอย่างนั้น…” 

 

 

“ครับ” 

 

 

“ก็ถ้านายพูดถึงขนาดนั้นแล้ว…อะแฮ่ม ที่แคลนเฮาส์ของนายมีห้องว่างสักห้องไหมล่ะ” 

 

 

แค่คำๆ เดียวยากอะไรขนาดนี้นะ ท่านผู้เฒ่าเหล่มองไปทางอื่นและกระแอมไอ แต่ผมตอบกลับไปด้วยความยินดีที่ในที่สุดก็สำเร็จสักที 

 

 

“มีห้องว่างเหลือแน่นอนครับ” 

 

 

“อะแฮ่ม! งั้นก็ได้” 

 

 

“ยินดีต้อนรับสู่เผ่าเมอร์เซนต์นารี่ครับ” 

 

 

ได้ยินเสียงสมาชิกเผ่าปรบมือเบาๆ จากด้านข้าง เมื่อยื่นมือขวาออกไป ท่านผู้เฒ่าก็หันมามองผม บนใบหน้าของท่านผู้เฒ่าที่สบตากับผมมีความเคอะเขิน 

 

 

“…ขอบใจนะ แล้วก็ขอโทษด้วย” 

 

 

ท่านผู้เฒ่าพึมพำเสียงเบาพลางจับมือผม แม้จะเป็นมือที่มีแต่รอยเ**่ยวย่น แต่ก็เป็นมือที่เต็มไปด้วยประสบการณ์ เมื่อจับเสร็จแล้ว ท่านผู้เฒ่าก็มองทั่วร้านอัญมณีอย่างเสียดาย 

 

 

“หึๆ ถ้าจะทำความสะอาดที่นี่ก็ไม่ใช่เรื่องง่าย แต่ร้านเล็กๆ ก็คงทำเสร็จแหละ ถ้างั้น….” 

 

 

“ท่านผู้เฒ่า พูดแล้วก็ทำเลยดีไหมครับ” 

 

 

“หือ” 

 

 

“ผมหมายถึงตอนนี้เลย ผมและสมาชิกเผ่าจะช่วยคุณเอง เราไปจากที่นี่และเก็บของที่จำเป็นเพื่อไปโมนิก้าดีไหมครับ” 

 

 

ท่านผู้เฒ่าเบิกตากว้างและจับจ้องผม เมื่อได้ยินคำขอร้องที่แสนกะทันหันของผม 

 

 

 

 

 

* * * 

 

 

 

 

 

ท้องฟ้ามืดลงแล้ว ลมหนาวพัดผ่านและรอบด้านค่อยๆ มืดลง ท้องฟ้าเต็มไปด้วยเมฆครึ้ม สภาพอากาศเหนียวเหนอะน่ารำคาญใจ ดูเหมือนว่าฝนกำลังจะตก 

 

 

เป็นไปตามคาด เม็ดฝนเริ่มโปรยปรายลงบนพื้นดินชื้นๆ หยดน้ำฝนกระหน่ำลงมา ทำให้พื้นดินชื้นแฉะกลายเป็นโคลนไปในพริบตา 

 

 

เปาะแปะ เปาะแปะ 

 

 

“ฮึ่ม ชิ” 

 

 

เสียงฝนตกค่อยๆ ดังขึ้น ตอนนั้นเองชายคนหนึ่งซึ่งคู้ตัวอยู่ที่มุมหนึ่งก็ลุกขึ้นมา เขาเงยหน้ามองท้องฟ้าด้วยความง่วงงุน จากนั้นก็ถอนหายใจ 

 

 

“เฮ้อ ฮยองชานเอ๊ย ฮยองชาน ทำไมนายถึงเจอแต่เรื่องแบบนี้นะ” 

 

 

ชายที่เรียกตัวเองว่าฮยองชานยืนเคว้งคว้างท่ามกลางสายฝนครู่หนึ่ง แต่เมื่อน้ำฝนทำให้เสื้อผ้าของเขาเป็นรอยและภายในเปียกชื้น เขาก็เริ่มออกเดินเงียบๆ 

 

 

เสื้อผ้าบนตัวฮยองชานขาดรุ่งริ่งและมีสภาพซอมซ่อมาก เขาเดินเรื่อยเปื่อยไร้จุดหมายเพื่อหาที่หลบฝน เขาแค่เดินวนไปวนมาราวกับยังไม่เจอสถานที่ที่เหมาะสม 

 

 

ในขณะที่สภาพของเขาเปียกปอนเหมือนลูกหมาตกน้ำเพราะฝนที่เทกระหน่ำลงมา ฮยองชานก็เดินผ่านถนนกลางคืนซึ่งเต็มไปด้วยร้านเหล้า แม้ว่าจะเป็นช่วงกลางคืนแต่ตามร้านรวงก็ยังเปิดไฟสว่างและมีเสียงเอะอะโวยวายดังมาจากด้านใน 

 

 

บนถนนร้านเหล้ามีกลิ่นอาหารเลิศรสโชยออกมา ฮยองชานสูดจมูกฟุดฟิดพลางลูบท้องที่กำลังส่งเสียงโครกคราก 

 

 

พลั่ก! 

 

 

เขาสูดจมูกอยู่หน้าร้านที่มีกลิ่นอาหารหอมน่ากินมากที่สุด จู่ๆ ประตูก็เปิดออกจนมองเห็นชายหญิงคู่หนึ่ง พวกเขามองฮยองชานแวบหนึ่ง จากนั้นก็เดินผ่านไปอย่างรวดเร็วพลางพูดคุยกันกระหนุงกระหนิง 

 

 

“พี่คะ เราจะไปไหนกันเหรอ” 

 

 

“ก็คราวก่อน มีที่ที่เธอบอกว่าอยากจะไปสักครั้งนี่นา” 

 

 

“ที่นั่นเหรอ จริงเหรอ แต่ว่ามันแพงมากเลยนะ” 

 

 

“ไม่ต้องห่วง วันนี้ฉันได้เงินมาเยอะเลย เรารีบไปก่อนที่จะเปียกฝนดีกว่า” 

 

 

ฮยองชานมองทั้งสองคนที่เดินหายวับไปด้วยแววตาอิจฉาพลางกัดริมฝีปาก 

 

 

“โชคดีจังนะ บางคนไม่มีเงินจะพักโรงแรมถูกๆ ด้วยซ้ำ บางคนก็เหมือนนัง…เฮ้อ” 

 

 

ฮยองชานแอบเมียงมองในร้านเหล้าและเส้นทางที่สองคนนั้นเดินหายไปอยู่พักหนึ่ง แต่เมื่อมองดูแล้วไม่พบอะไร เขาก็เริ่มเดินไปเรื่อยเปื่อยอีกครั้ง 

 

 

ต้องเดินแบบนี้ไปอีกนานเท่าไหร่ ฮยองชานหยุดเดินกะทันหันเพราะฝนที่ตกลงมาแรงขึ้นเรื่อยๆ เขาเงยหน้าขึ้นและมองไปข้างหน้า ด้านหน้ามีประตูเก่าๆ กับกำแพงโทรมๆ รอบบริเวณกำแพงมีคนที่มีสภาพไม่ต่างจากฮยองชานจำนวนหนึ่งนั่งขดตัวอยู่ 

 

 

คราวนี้ฮยองชานมองไปที่ประตู ทหารเวรยามสองคนกำลังเฝ้าสองฝั่งประตูท่ามกลางฝนที่ตกหนัก เขาจิ๊ปากรับรู้สถานการณ์ของตัวเองได้ทันทีจึงถอนหายใจออกมา 

 

 

ตอนนั้นเอง 

 

 

ฉึก! 

 

 

ทันใดนั้นก็มีเสียงแหวกผ่านอากาศรุนแรงมาจากที่ไหนสักที่ 

 

 

ฉึก! 

 

 

“อึ่ก!” 

 

 

“อึ่ก!” 

 

 

ฮยองชานขมวดคิ้วเล็กน้อยกับเสียงที่ดังอย่างต่อเนื่อง เมื่อได้ยินเสียงร้องออกมา เขาก็เงยหน้าขึ้น 

 

 

“อะ อะไรน่ะ เกิดอะไร…” 

 

 

แม้จะหันไปมองรอบๆ แต่ทุกอย่างก็เหมือนเดิม ทั้งสายฝนที่กระหน่ำลงมาอย่างแรง ทั้งพวกผู้เล่นที่หลบฝนริมกำแพงและทหารยามที่ยืนเฝ้าประตู… 

 

 

“หือ”