แม้แต่ลาเต้ในตอนนี้ก็อ้าปากค้าง แต่ก็พูดอะไรไม่ออกอีก ในใจรู้สึกอึดอัดมาก และไม่สามารถสงบลงได้
ที่รักไม่ใช่ลูกของคุณลุงไตรภูมิคู่สามีภรรยานั้น แต่เป็นคุณป้าเมธินีคู่สามีภรรยานี้ได้ไปรับเลี้ยงมาจากสถานเลี้ยงเด็กกำพร้า ทำไมถึงได้มีเรื่องดราม่าเช่นนี้!
ก่อนหน้านั้นที่รักก็เคยสงสัยเรื่องตัวตนของเธอ หลังจากนั้นก็ได้ไปที่เมืองน้ำรุ้งเพื่อทำการพิสูจน์ และที่รักเป็นลูกที่แท้จริงของคุณป้าเมธินีคู่สามีภรรยานั่นเอง ในตอนนั้นพวกเขายังดีใจกันมาก
แต่ตอนนี้……
ลาเต้ที่เห็นมายมิ้นท์ก้มศีรษะลง มีอารมณ์ตกต่ำนั้น ภายในใจรู้สึกเป็นห่วงเล็กน้อย“ที่รัก ……”
“คุณป้าคะ”มายมิ้นท์ลุกขึ้นในทันที จับกล่องที่ถืออยู่ในมือแน่นหนาพร้อมถามว่า:“ข้างในนี้ คืออะไรคะ?”
คุณนายราศรีพยักหน้า“หลักๆแล้ว ฉันก็ไม่รู้เลย ฉันไม่เคยเปิดออกมาดูเลยสักครั้ง เพราะนี่เป็นสิ่งที่คุณแม่ของคุณเป็นคนเก็บไว้ให้กับคุณ หากคุณอยากรู้ว่ามันคืออะไร อีกสักครู่กลับไปแล้วค่อยเปิดดูสิ”
มายมิ้นท์ไม่ได้พูดอะไรอีก
คุณนายราศรีจับมือของเธอ“เอาล่ะมิ้นท์ ไม่ต้องคิดมาก เรื่องมากมาย ที่คุณต้องเรียนรู้ที่จะยอมรับมัน ไปเถอะ จะทานข้าวกันแล้ว”
พอพูดจบ คุณนายราศรีก็พามายมิ้นท์ไปที่ห้องอาหาร
ลาเต้มองไปที่ด้านหลังของทั้งสอง จากนั้นมองไปที่กล่องที่มายมิ้นท์วางไว้ และในที่สุดก็กำหมัดแน่นแล้วตามไป
อาหารมื้อนี้ มายมิ้นท์กินอย่างไม่มีรสชาติเลย และคนทั้งคนไม่อยู่กับเนื้อกับตัว แม้แต่คุณนายราศรีกับลาเต้ก็เงียบกันหมด
จนทำให้ห้องอาหารที่กว้างใหญ่นั้น นอกจากการชนกันเล็กน้อยของภาชนะบนโต๊ะอาหาร ตะเกียบ และการเคี้ยวแล้ว ไม่มีเสียงอื่นใด และบรรยากาศก็ดูน่าหดหู่และเคร่งขรึมเป็นพิเศษ
คุณพ่อของลาเต้ม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น ไม่ชอบบรรยากาศนี้เลย วางตะเกียบลงและจะพูดออกมา
พอคุณนายราศรีสังเกตเห็นนั้น เธอก็หรี่ตา และมองด้วยสายตาที่เตือนเขา เพื่อส่งสัญญาณให้เขาหุบปาก
เดิมทีแล้วคุณพ่อของลาเต้ก็เป็นคนที่กลัวภรรยาตัวเองอยู่แล้ว ถูกคุณนายราศรีถลึงตาไปหนึ่งที ก้มศีรษะลง และจับตะเกียบขึ้นมาทานข้าวต่ออีกรอบ ไม่พูดอะไรมากไปอีก
ไม่รู้ว่าผ่านไปนานแค่ไหน อาหารเย็นก็ได้จบลง
มายมิ้นท์ได้หยิบกล่องมา และบอกลาคุณนายราศรีกับคุณพ่อของลาเต้จากนั้นได้เดินออกไปทางประตูของคฤหาสน์
คุณนายราศรีรีบส่งซิกให้กับลาเต้“รีบไปส่งมิ้นท์หน่อย สถานการณ์ของมิ้นท์ในตอนนี้ขับรถอันตรายมาก”
“คุณแม่ไม่ต้องพูดผมก็รู้อยู่แล้วครับ”ลาเต้พูดจบ ก็รีบวิ่งตามออกไป
พอตามไปถึงข้างนอกคฤหาสน์ ลาเต้ก็เห็นว่ามายมิ้นท์เดินไม่ดูทางเลย ตรงขานั้น เกือบจะสะดุดล้ม
สีหน้าของเขาตกตะลึง และเขาก้าวไปข้างหน้าอย่างรวดเร็ว คว้าแขนของเธอเอาไว้ ได้ดึงร่างกายที่จะล้มของเธอกลับมา และถามอย่างประหม่าว่า:“ที่รักคุณไม่เป็นอะไรใช่ไหมครับ?”
มายมิ้นท์กะพริบตาเล็กน้อย แววตาคู่นั้นมองดูเขาอย่างไร้ชีวิตชีวาเช่นเคย ท้ายสุดได้พยักหน้า ตอบกลับด้วยน้ำเสียงที่แหบว่า“ไม่เป็นอะไร ฉันขอตัวไปก่อนนะ”
เธอหยิบกุญแจรถออกมา และเสียบกุญแจประตูรถโดยตรง
ลาเต้ที่เห็นการกระทำของเธอ คิ้วทั้งสองข้างก็ได้เลิกคิ้วด้วยความประหลาดใจ“ที่รัก คุณรู้ตัวไหมว่าคุณกำลังทำอะไรอยู่?”
ราวกับว่ามายมิ้นท์ไม่ได้ยินเช่นนั้นแหละ ยังคงใช้กุญแจเสียบที่ประตูรถต่อไป
ลาเต้ทนดูไม่ไหวแล้ว จึงได้แย่งกุญแจตรงมือของเธอมา “เอาล่ะที่รักเดี๋ยวผมจัดการเองดีกว่า คุณในตอนนี้จิตใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัวเลย แยกไม่ออกแม้กระทั่งกุญแจรถกับกุญแจบ้าน หากปล่อยให้คุณขับรถ ผมไม่ไว้วางใจเลย ดังนั้นเดี๋ยวผมเป็นคนขับรถส่งคุณกลับดีกว่า เอาล่ะ ขึ้นรถเถอะครับ”
เขาได้กดที่กุญแจรถ และได้ปลดล็อกประตูรถ
มายมิ้นท์เม้มริมฝีปากสีแดงของเธอ แล้วไม่ได้พูดอะไร อ้อมไปทางหน้ารถและเดินไปที่นั่งข้างคนขับ
เพราะว่าตัวเธอเองก็รู้ ว่าตัวเองในสถานการณ์ตอนนี้ ขับรถไม่ไหวแน่นอน
รถออกจากบริเวณคฤหาสน์อย่างรวดเร็ว ขับเข้าสู่เมืองที่เจริญรุ่งเรือง และขับไปทางคอนโดพราวฟ้า
ในระหว่างทาง มายมิ้นท์ยังคงเงียบมาก ไม่พูดแม้แต่คำเดียว
ลาเต้มองดูเธอเป็นครั้งคราวจากหางตา และต้องการจะพูดอะไรในหลายๆ ครั้ง แต่ในท้ายที่สุดเขาก็ปิดปาก และไม่พูดอะไรสักอย่าง
จนกระทั่งถึงคอนโดพราวฟ้าแล้ว มายมิ้นท์ได้ลงจากรถ ในระหว่างที่ถือกล่องไว้และเดินตรงไปที่ตึกคอนโดนั้น ทันใดนั้นลาเต้ก็เปิดประตูรถลงมา ยืนอยู่ข้างรถ ตะโกนไปทางมายมิ้นท์ว่า:“เดี๋ยวก่อน”
มายมิ้นท์หยุดเดิน ไม่ได้หันกลับไป ถามด้วยเช่นนี้ว่า:“มีเรื่องอะไรหรือ?”
ลาเต้ได้เดินไปหา เดินไปอยู่ด้านหลังของเธอ และหยุดห่างออกไปสองก้าว“ที่รัก คืนนี้……”
มายมิ้นท์หันกลับมาในทันใด และได้ฝืนยิ้มกับเขาพร้อมพูดว่า“ฉันรู้ว่าคุณต้องการพูดอะไร คุณอยากเกลี้ยกล่อมให้ฉันยอมรับตัวตนของฉัน ไม่กระทบต่อความจริงนี้ จากนั้นทำเรื่องโง่เง่าออกมาใช่ไหม?”
“คุณทายถูกหมดเลย”ลาเต้เกาผมของเขาอย่างเขินอาย
มายมิ้นท์ตอบกลับ“ทายถูกแล้ว คุณแสดงออกชัดเกิน ยากที่จะทายไม่ถูก”
“ถ้างั้นที่รักคุณ……”
“ไว้ใจได้เลย ฉันไม่ทำเรื่องโง่เง่าแน่นอน ฉันแค่ต้องการเวลาสงบสติอารมณ์ เพราะไม่ว่ายังไงพอจู่ๆ รู้ว่าตัวเองไม่ใช่ลูกของตระกูลกิตติภัคโสภณ มันหนักเกินไปสำหรับฉัน ฉะนั้นแล้วเต้ คุณกลับไปก่อนเถอะ ฉันต้องการอยู่คนเดียวสักหน่อย”มายมิ้นท์หันกลับไป ปิดตาเล็กน้อย พูดด้วยน้ำเสียงที่เหนื่อยล้ามากมาย
ลาเต้ก็รู้ว่า ณ ตอนนี้เธอต้องการสงบสติอารมณ์ เพื่อปรับตัวให้เข้ากับการเปลี่ยนแปลงในตัวตนของเธอ และได้พยักหน้าตอบตกลง“ได้ครับ พรุ่งนี้เช้าผมจะมาหาคุณอีกครั้ง”
“อื้อ”มายมิ้นท์ตอบกลับ และได้ยกเท้าขึ้นเดินไปข้างหน้า
ลาเต้ได้ยืนอยู่ที่เดิมเพื่อยืนมองเธอ มองจนกระทั่งเธอได้เดินเข้าไปที่ลิฟต์ จึงจะหันกลับไปทางริมถนน
เขาพึ่งจะเดินไปถึงหน้ารถ จู่ๆ ก็มีร่างหนึ่งเดินมาใกล้ และได้หยุดเขาไว้“คุณลาเต้ครับ ประธานเปปเปอร์ของเราต้องการพูดคุยกับคุณหน่อยครับ ”ลาเต้ได้หยุดเดิน มองดูผู้ช่วยเหมันตร์ที่อยู่ตรงหน้า ขมวดคิ้ว“เป็นพวกคุณ?ดึกป่านนี้แล้ว พวกคุณมาอยู่ที่นี่ได้ยังไง?” “นี่คงจะไม่เกี่ยวกับคุณลาเต้แล้วครับ คุณลาเต้ไปกับผมก่อนดีกว่าครับ”ผู้ช่วยเหมันตร์ดันแว่นตาของเขา และตอบด้วยน้ำเสียงเบาๆ
ลาเต้เยาะเย้ย“คุณบอกให้ผมไปกับคุณผมก็ต้องไปกับคุณ ผมไม่รักศักดิ์ศรีเช่นนั้นหรือไง?”
ผู้ช่วยเหมันตร์หรี่ตาลง“ฉะนั้นคุณลาเต้คือไม่ยอมไปกับผมหรือครับ?”
“ใช่แล้ว”ลาเต้ยืดอก“เปปเปอร์อย่างเขาถ้ามีเรื่องจะคุยกับผม ก็ควรที่จะเป็นเขาที่เป็นคนมาหาผมด้วยตัวเองถึงจะถูก ไม่มีเหตุผลอะไรที่ให้ผมไปหาเขา ดังนั้นเขาไม่มา ผมก็ไม่ไป”
“ใช่หรือครับ ถ้าเช่นนั้นแล้ว งั้นผมคงต้องลงมือด้วยตัวเอง พาคุณลาเต้ปนะครับ”พอพูดจบ ผู้ช่วยเหมันตร์ถูมือของเขาอยู่ครั้งสองครั้ง และเดินเข้ามาใกล้ลาเต้
รูม่านตาของลาเต้หดตัวลง และสีหน้าของเขาเปลี่ยนไปอย่างกะทันหัน เขาก้าวถอยหลัง“คุณจะทำอะไรน่ะ?ผมเตือนคุณนะเหมันตร์ หากคุณกล้าใช้ความรุนแรงกับผม บ้า……บ้าเอ๊ย!”
เขาที่ยังพูดไม่จบ ผู้ช่วยเหมันตร์จู่ๆก็เดินมาข้างหลังของเขาราวกับผี แล้วรีบคว้ามือทั้งสองข้างของเขา แล้วจับมือทั้งสองข้างของเขาไว้ด้านหลัง
มันเจ็บจนสีหน้าของลาเต้เปลี่ยนไปหมด หันศีรษะกลับไปด่าผู้ช่วยเหมันตร์“บ้าเอ๊ยไอ้เหมันตร์ คุณจำเอาไว้เลยนะ รอให้ผมมีโอกาสเมื่อไหร่ ผมเอาเรื่องคุณอย่างหนักแน่”
“ด้วยร่างกายที่เล็กของคุณเหรอ?”ผู้ช่วยเหมันตร์ก้มหัวลง และมองดูลาเต้ด้วยสายตาที่ดูถูก
ลาเต้โกรธจนตัวสั่นไปหมด“คุณ……”
“พอเถอะครับคุณลาเต้ไม่ต้องตะโกนแล้ว ไปเจอประธานเปปเปอร์กับผมเถอะครับ”ผู้ช่วยเหมันตร์ขัดจังหวะพูดของเขา จากนั้นก็พาเขาไปทางริมถนนที่อยู่ไม่ไกล
ผู้ช่วยเหมันตร์พาลาเต้มาถึงเมอร์เซเดส-เบนซ์ที่เงาดำจอดอยู่ริมถนนนั้น
กระจกรถทางเบาะหลังของเมอร์เซเดส-เบนซ์ได้เลื่อนลง และปรากฏใบหน้าที่ซีดขาวของเปปเปอร์ กลับเป็นใบหน้าที่ดูสง่า
อาจจะเป็นเพราะว่าถ้าขับไมบัคมาล่ะก็ หากถูกมายมิ้นท์เห็นก็จะจำมันได้ ดังนั้นรอบนี้เขาจึงเปลี่ยนรถเพื่อไม่เป็นจุดสนใจโดยฉะเพราะ
เปปเปอร์เอียงศีรษะเล็กน้อยและมองออกไป ผู้ช่วยเหมันตร์ได้ปล่อยลาเต้“ประธานเปปเปอร์ครับ คนเราได้พามาแล้วครับ”
เปปเปอร์ตอบกลับไป จากนั้นสายตาคู่นั้นก็ได้ตกอยู่ที่ตัวของลาเต้
ลาเต้ที่กำลังสะบัดมือตัวเองที่ถูกทำให้เจ็บนั้น ได้สังเกตเห็นว่าเปปเปอร์กำลังมองตัวเองอยู่ และถลึงตาใส่กลับไปทันที“เปปเปอร์ คุณให้เหมันตร์พาผมมาที่นี่ ต้องการคุยอะไรกับผมกันแน่?”
“ผมถามคุณหน่อย มายมิ้นท์เป็นอะไรไป?”เปปเปอร์เม้มริมฝีปากอันบางของเขา ถามด้วยน้ำเสียงที่เคร่งขรึม