SD:บทที่ 48 : ความโกลาหล
ณ ห้องโถงในชั้นแรก เซี่ยว ซิวเหวิน ทันเห็น ซู ฉิวไป่ หลบเข้าไปในมุมห้อง และควักโทรศัพท์มือถือของตนออกมา
ความไม่สบายใจคืบคลานมาหาเขาอีกครั้ง ทั้งหมดนี่เป็นกองกำลังคนทั้งหมดของตระกูลเซี่ยวแล้วนะ หรือว่า…
พอดีกับที่เขาครุ่นคิด เสียงเคาะกัมปนาทอันหนักหน่วงดังลั่นขึ้นมา ไม่มีใครได้ยินเสียงทุบแรกในตอนแรก แต่ทันทีที่ทุกคนได้ยิน พวกเขาหันไปทางต้นกำเนิดเสียงพร้อมกัน
มันเป็นเสียงของเหล็กบานเลื่อนกั้นประตู!
เกิดอะไรขึ้นข้างนอกกัน ทำไมถึงมีคนมาเคาะประตูได้ล่ะ ไม่ใช่ว่าจะยังมีคนจะบุกเข้ามาอีกนะ
เซี่ยว ซิวเหวิน ยังไม่เข้าใจว่ากำลังเกิดอะไรขึ้น แต่ อู่ ซง และ หลิน ชง รู้ดีว่ามันหมายความว่าอย่างไร!
ชายคนอื่นจากรถบรรทุกกำลังจะบุกเข้ามาแล้ว!
ในขณะนั้นเอง นักรบทั้งสองจึงใช้เวลาที่เหลืออยู่ของตนให้คุ้มค่าที่สุด มิฉะนั้น พวกเขาจะไม่มีโอกาสได้ทันแตะต้องศัตรูแม้แต่เพียงปลายนิ้วอีก
ฝั่งของตระกูลเซี่ยวที่อยู่ในอาคารไม่รู้เลยว่ากำลังเกิดอะไรขึ้นข้างนอกนั่น ส่วนผู้เฝ้าสังเกตการณ์ที่หลบอยู่ในเงามืดนั้นเป็นอันต้องงงงวย ไม่มีใครอาจเชื่อสายตาของตนเองได้
คนพวกนี้เป็นใครกัน*!*
พวกนั้นมีอาวุธโบราณนานาชนิด มีดยาวของแต่ละคนเสียบเก็บไว้ในฝักบนหลัง ดาบไม้แบบนิกายเซนถูกกำแน่นในกำมือ บางคนมีลูกตุ้มเหล็กด้วยซ้ำ
ชายผู้มีอกขนดกพร้อมรูปร่างแข็งแรงกำยำยืนจังก้าอยู่หน้าที่กั้นเหล็ก ในมือถือขวานคู่ขนาดยักษ์ ผมของชายคนนั้นยาวเหยียดพอ ๆ กับเคราเขา หน้าของเขาแทบจะถูกปิดมิดด้วยผมอันรุงรัง
เขาตะโกนดังลั่นแล้วใช้ขวานตนทำลายประตูเหล็กบานเลื่อนมหึมาเสียสิ้น
นี่มุกใช้มั้ย บอกทีว่าทั้งหมดเป็นแค่เรื่องล้อเล่นกันขำ ๆ
ทุกคนต่างมึนงงเมื่อทอดสายตาไปยังสถานการณ์ตรงหน้าพวกเขา สันหลังของแต่ละคนต่างเสียววาบด้วยความหวาดกลัว!
จะอย่างไรก็เถอะ แต่ชายคนนั้นใช้ขวานทำลายเหล็กที่กั้นได้จริง ๆ !
ลูกพี่ใหญ่ นั่นมันประตูกั้นจากเหล็กเชียวนะ*! จินตนาการได้มั้ยว่าจะมีใครใช้ขวานทะลวงจนมันเปิดออกได้*
ตอนนั้นเองที่คนภายในอาคารสามารถได้ยินเสียงป่าวประกาศดังลั่น!
“เปิดประตูให้ท่านปู่คนนี้หน่อยเร็ว!”
ประตูกั้นถูกเปิดเสียแล้ว!
“แกนี่มันไร้ประโยชน์จริง ๆ ไอ้ดำเอ้ย หลบไปเลย ทำไมเจ้าถึงใช้เวลาเปิดไอ้ประตูเหล็กนี่นานนัก!”
ชายผิวเข้มที่ใช้ขวานทำลายบานเลื่อนเหล็กนั้นคือ หลี่ ขุยหรืออีกชื่อหนึ่งคือ อั๋น เถียหนิว แม้จะได้รับฉายาว่า ลมกรดทมิฬ แต่กลับมักถูกเรียกโดยเพื่อนพ้องว่าชายผิวดำเสียมากกว่า เนื่องจากสีผิวอันเข้มของตน
ส่วนชายอีกคนที่ผลัก หลี่ ขุยออกไปนั้น ได้ใช้สองมือนั้นจับเข้าที่ร่องเปิดขนาดเล็กอันเกิดจากการถูกทุบด้วยขวานก่อนหน้านี้ แล้วกระชากที่กั้นเหล็กออกเป็นสองฟาก
ตอนนี้ เซี่ยว ซิวเหวิน คิดอะไรไม่ออกเลย เขาไม่อาจทำความเข้าใจได้ว่ากำลังเกิดอะไรขึ้น มันมีใครในโลกนี้ด้วยเหรอที่ฉีกบานเลื่อนเหล็กได้น่ะ
หาก ซู ฉิวไป่ อ่านความคิดเขาได้ล่ะก็ ชายหนุ่มคงถามเขากลับว่า แล้วแกเคยเห็นใครใช้มือเปล่าดึงโค่นต้นหลิวทั้งต้นออกมายันรากมั้ยล่ะ
ชายผู้ที่กระชากประตูที่กั้นเหล็กคือ คือ หลู่ จื้อเชิน ผู้ได้รับการขนานนามว่า นักบวชดอกไม้ จากนวนิยายเรื่อง ซ้องกั๋ง เป็นที่เล่าขานกันมาว่าเขาสามารถดึงต้นหลิวทั้งรากออกมาจากพื้นดิน เพียงเพราะว่ามีอีกาซึ่งส่งเสียงดังหนวกหูที่ว่ากันว่านำโชคร้ายมาให้ตัวหนึ่งเกาะอยู่บนนั้น
หมอนี่ฆ่าชายคนหนึ่งด้วยหมัดเพียงสามหมัด คิดหรือว่านักบวชดอกไม้คนนี้จะมาเล่น ๆ
แน่นอน พร้อมกับที่เหล็กบานเลื่อนถูกทำลายเสียสิ้น หลู่ จื้อเชิน หัวเราะร่า แล้วรุดเข้ามาพร้อมดาบไม้คู่ใจ ศีรษะล้านเลี่ยนชองเขามีขนาดใหญ่ประมาณลูกบาสเกตบอล และสร้อยลูกประคำที่เขาสวมไว้แกว่งไกวไปตามการเคลื่อนไหวของชายผู้บุกรุก
เพียงแค่เห็นฉากตรงหน้า เซี่ยว ซิวเหวิน ก็ชะงักงันอยู่กับที่ เขาเฝ้าดูผู้คนเรียงรายบุกเข้ามาผ่านประตูเหล็กที่ตอนนี้พังยับเยิน
นักสู้จากฝ่ายเขาถอยหลังอย่างช้า ๆ และจ้องมองกันและกัน
“ไอ้โง่คนไหนมันอาจกล้าลักพาน้องสาวของสหายข้า แสดงตัวตนออกมาเสียเดี๋ยวนี้!”
เมื่อทุกคนดาหน้ากันเข้ามา หลู่ จื่อเชิน แกว่งดาบไม้ไปมา พร้อมสังหารใครก็ตามที่กล้าเข้ามา
อีกด้านหนึ่งนั้น เซี่ยว ซิวเหวิน ยังคงตกตะลึง แผนอะไรที่เขาเคยมี บัดนี้เขาลืมมันไปเสียสิ้น
“นี่แกเป็นใครเนี่ย”
แม้จะเข้าตาจน แต่ชายหัวหน้าใหญ่ก็ไม่อาจละทิ้งเศษเสี้ยวสุดท้ายของความหยิ่งผยองแบบตระกูลเซี่ยวลงได้ เซี่ยว ซิวเหวิน จ้องหน้าพวกเขาอย่างไม่วางตา แล้วเอ่ยถามขึ้น
ซู ฉิวไป่ พยายามคิดหาคำอธิบาย จะอย่างไรก็ดี ถ้าปล่อยให้อีกฝ่ายรู้ว่าชายพวกนี้มาจากภูเขาเหลียงซานล่ะก็ สถานการณ์ที่ยิ่งวุ่นวายอยู่แล้ว จะโกลาหลมากขึ้นไปอีก
อย่างไรก็ตาม ใครจะรู้เล่าว่าหลังจากที่ เซี่ยว ซิวเหวิน จะพูดไปไม่นาน หลี่ ขุยก็ชักขวานคู่ของตนออกมาแล้ว ชายผิวดำตะโกนขึ้น “ก็ปู่ของแกไง!” แล้วกระโจนเข้ามาทางเหล่านักสู้ ความกระหายในดวงตาทำให้ฝ่ายตรงข้ามอกสั่นขวัญหายโดยสมบูรณ์
เมื่อเห็น หลี่ ขุยเริ่มออกอาละวาด ผู้กล้าคนอื่นก็เริ่มทำเช่นเดียวกัน และง่าย ๆ เช่นนั้นเอง กลุ่มชายฉกรรจ์ก็ปรี่เข้ามาหาฝ่ายศัตรูไม่ต่างจากฝูงหมาป่าเข้าขย้ำเหยื่อ
สถานการณ์ทั้งหมดนั้นประหลาดดีแท้
แม้ว่าด้านของ ซู ฉิวไป่ จะมีเพียงยี่สิบกว่าคนเท่านั้น และฝ่ายของตระกูลเซี่ยวจะมีนักสู้ราวสองถึงสามร้ายคน ทว่าฝั่งของ ซู ฉิวไป่ กลับดูได้เปรียบกว่าเป็นอย่างมาก
หลังจากที่สังเกตการต่อสู้กันระหว่างทั้งสองฝ่ายแล้ว สถานการณ์ทั้งหมดช่างเต็มไปด้วยความรุนแรงยิ่งนัก
กองกำลังสูงสุด และไพ่ลับทั้งสิบใบของตระกูลเซี่ยว… สุดท้ายก็ไม่มีค่าอะไรเลย*!*
หากเพียงพยายามทำความเข้าใจถึงอานุภาพของเหล่าผู้กล้าพวกนี้แล้ว ทั้งหมดนี้กลับดูไร้ความหมาย ก็ในเมื่อแค่พวกนั้นกวัดไกวดาบไม้ธรรมดาก็ทำกำแพงยุบได้ การถูกต่อยครั้งหนึ่งไม่ต่างจากการถูกบดขยี้ด้วยก้อนหินขนาดมโหฬาร หรือการถูกตบเพียงครั้งเดียวก็ทำให้ฟันหน้าหลุดได้
ทั้งหมดนั่นเป็นสิ่งที่ฝ่ายของ เซี่ยว ซิวเหวิน กำลังเผชิญอยู่
หากจะกล่าวอย่างซื่อตรงแล้ว ก็ใช่ว่านักสู้เหล่านี้จะเป็นคนดีอะไรนัก พวกเขาสนุกกับการรังแกผู้อื่น สามารถหลอกลวงคนอื่นได้โดยไม่ต้องคิดซ้ำสอง และขโมยเงินผู้อื่นเป็นว่าเล่น
ดังนั้น เมื่อพิจารณาจากเรื่องทั้งหมด บ้างก็อาจจะมองว่าทั้งหมดเป็นเพียงกรรมตามสนอง ถึง เซี่ยว ซิวเหวิน มีกำลังพลมากกว่า ซู ฉิวไป่ อยู่หลายร้อยคน ทว่านักสู้ส่วนใหญ่ของตนกลับร้องไห้ เพียงแค่เห็นแววตากระหายเลือดของ หลี่ ขุยชายพวกนั้นก็หลบอยู่ที่มุมห้อง ขาอ่อนเปลี้ย กลัวเกินกว่าจะลุกขึ้นมาเข้าร่วมสมรภูมิย่อม ๆ ตรงหน้า!
พวกนี้มันไม่ใช่คนแล้ว สัตว์ประหลาด พวกมันเป็นสัตว์ประหลาดกันทั้งนั้น*! ที่จริง พวกมันทั้งหมดฆ่าคนได้โดยไม่กะพริบตาด้วยซ้ำ!*
โขคยังดี ก่อนที่ ซู ฉิวไป่ จะมาถึงนี่ เขาได้กล่าวเตือนเหล่าผู้กล้านี้เสียหลายครั้ง ซ่ง เจียง เองก็บ่นพวกเขาว่าอย่าให้ถึงชั้นต้องปลิดชีวิตอีกฝ่าย มิฉะนั้น คงมีการนองทะเลเลือดเกิดขึ้นที่ สระมังกร, แหล่งถ้ำเสือ ของตระกูลเซี่ยวเป็นแน่ และชัดเจนเลยว่าเลือดนั้นจะเป็นของฝ่ายตระกูลเซี่ยวอย่างแน่นอน
“หัวหน้า ไปเถอะครับ”
ขาของ หวัน ฉิวหยาง ก็อ่อนแรงเช่นกัน ยิ่งเมื่อเห็นว่าฝ่ายตนเหลือนักสู้ที่ยังยืนหยัดอยู่น้อยนัก เมื่อใดที่ อู่ ซง ปรากฏตัว ทุกคนก็พร้อมใจกันนอนบนพื้นแล้วแกล้งตาย
ไม่มีอะไรเป็นไปตามแผนที่หัวหน้าใหญ่วางไว้เลย เห็นได้ชัดว่าตอนนี้เป็นการสังหารหมู่รายตัวเท่านั้น!
ซู เซี่ยวเซี่ยว และ เฉา ตั้วเฟย เองก็สับสน ยามที่พวกเขาถูกลักพาตัวมา พวกเขาเป็นกังวลว่า ซู ฉิวไป่ จะต้องสูญเสียอย่างใหญ่หลวงเพื่อพยายามช่วยพวกเขา ชายหนุ่มเพียงคนเดียวจะปะทะกับตระกูลเซี่ยวทั้งตระกูลได้อย่างไร
เพียงหนึ่งชั่วโมงก่อน หนึ่งในกุ๊ยที่เฝ้าเหยื่อล่ออย่างพวกเขาบอกไว้ว่าหาก ซู ฉิวไป่ โง่พอจะเข้ามาในสระมังกร, แหล่งถ้ำเสือ ล่ะก็ เขาได้ตายแบบศพไม่สวยแน่!
แต่ในตอนนี้ พวกนั้นพากันนอนแน่นิ่งบนพื้น เปลือกตาปิดสนิท พยายามทำตัวให้เหมือนตาย!
ซู เซี่ยวเซี่ยว ไม่มาสะใจกับเรื่องหยุมหยิมอะไรแบบนั้น เด็กสาวแค่โล่งอกตราบใดที่พี่ชายของเธอปลอดภัย
ส่วน เฉา ตั้วเฟย นั้นตื่นเต้นอย่างยากจะพรรณนา แม้ตัวจะถูกมัดอยู่กับเสา แต่ใจของเขาคิดไปไหนต่อไหนแล้ว เด็กหนุ่มแทบทนรอไม่ไหวที่จะเข้าร่วมการต่อสู้นี้!
เขาตัดสินใจได้แล้ว หากเขาติดตามตัวหัวหน้าคนนี้ อนาคตเขาสดใสแน่!
เซี่ยว ซิวเหวิน ได้ยินคำพูดของ หวัน ฉิวหยาง และฟื้นจากความเฉื่อยชาและความสิ้นหวังอย่างเชื่องช้า เมื่อได้สติ เขาเร่งเร้าตัวเองให้ตาม หวัน ฉิวหยาง ไปเพื่อหลบหนีจากอดีตฐานทัพนี้ ก่อนไปตั้งหลักอีกที่หลัง
“บังอาจคิดหนีเหรอ อย่าขยับ!”
และเมื่อกล่าวเช่นนั้น ขวานด้ามหนึ่งปลิวผ่านข้ามห้อง และมาติดเสียบคาผนังตรงหน้าพวกเขา!
หาก หวัน ฉิวหยาง ก้มหลบไม่ทันล่ะก็ หัวเขาคงหลุดจากบ่าเรียบร้อย
เซี่ยว ซิวเหวิน และ หวัน ฉิวหยาง กลัวแทบตาย ในแวดวงธุรกิจขงพวกเขา การทำร้ายคนเป็นเรื่องที่หลีกเลี่ยงไม่ได้เลย ทว่านั่นเป็นเพราะพวกเขาไม่มีทางเลือกต่างหาก
อย่างไรก็ตาม มันเทียบไม่ได้เลยกับความอาฆาตแค้นของชายขนรุงรังตรงหน้า
ยามพิจารณาท่าทางของเขายามที่ขว้างขวานยักษ์นั่นมาแล้ว เป็นที่ประจักษ์ชัดเลยว่าชายคนนั้นต้องการฆ่าพวกเขาเป็นแน่แท้ แต่นัยน์ตาของมันกลับเป็นประกายด้วยความตื่นตาตื่นใจ!
เซี่ยว ซิวเหวิน และ หวัน ฉิวหยาง ตั้งมั่นไว้เลยว่าคนพวกนี้ หากไม่ใช่ปีศาจจากขุมนรกไหน ก็เป็นอะไรที่ใกล้เคียงกับปีศาจมากที่สุดที่พวกเขาเคยพบเจอ
ไม่มีใครอาจทราบได้ว่าตอนนี้สถานการณ์ภายใน สระมังกร, แหล่งถ้ำเสือ เป็นเช่นไร ทุกฝ่ายไม่อาจต้านทานได้อีก ยิ่งเมื่อพวกเขาเห็นชายคนสุดท้ายออกมาจากท้ายรถบรรทุกแล้ว
ในบาร์ที่ไม่ห่างจากอาคารเป้าหมายมากนัก กำลังพลหลายสิบคนยังเฝ้ารอคำสั่งของ กู่ เชียนชาน ทุกคนต่างเตรียมพร้อมที่จะบุกเข้าไปช่วยเหลือ ซู ฉิวไป่
กู่ เชียนชาน ขมวดคิ้วพลางที่เขารอเหตุการณ์ขึ้นต่อไป
จุดประสงค์ของแผนเขานั้นเรียบง่าย นั่นคือ เขาแค่ต้องการคุ้มครอง ซู ฉิวไป่ แต่จะใช้กระบวนการใดที่จะทำให้ ซู ฉิวไป่ ซาบซึ้งในบุญคุณนี้มากที่สุดล่ะ อย่างง่ายที่สุดเลย ก็ด้วยการเข้าไปช่วยในวินาทีสุดท้าย ตอนที่เขาเข้าตาจนจริง ๆ และต้องการความช่วยเหลือเป็นอย่างที่สุด!
จะอย่างไรก็ตามเถอะ ตระกูลเซี่ยวนั้นแข็งแกร่ง แทบจะแน่นอนเลยว่าเขาจะเสียคนของฝ่ายตนไปบ้างในแผนการช่วยเหลือนี้ ด้วยราคาที่สูงลิบลิ่ว ไม่ต้องสงสัยเลยว่าเขาต้องการผลตอบแทนที่คุ้มค่า
“หัวหน้า ผมเพิ่งได้ข่าวล่าสุดมา ฝ่ายตระกูลเซี่ยวส่งกองกำลังสูงสุดเข้าไปใน สระมังกร, แหล่งถ้ำเสือ แล้ว แม้แต่บุรุษทั้งสิบก็กลับมารวมตัวกันครับ!”
คู่สนทนาเขาเล่าจากปลายสาย
เมื่อรับทราบรายงานล่าสุด กู่ เชียนชาน ก็เริ่มวิตกขึ้นมา เขาไม่คาดหวังเลยว่าตระกูลเซี่ยวจะเตรียมพร้อมถึงขนาดนี้แล้ว ซู ฉิวไป่ จะตายไม่ได้*!*
เขาตึงเครียดขึ้นมาแล้ว จึงรีบสั่งทันใด
“ไป! ไปเดี๋ยวนี้เลย! ไม่ว่ายังไง เราต้องช่วย ซู ฉิวไป่ ให้ได้!”
เมื่อเอ่ยเช่นนั้น กลุ่มกำลังพลของฝ่ายตระกูลกู่ก็พลันวิ่งพรวดออกไปจากบาร์ และมุ่งตรงไปที่อาคารนั้น
ยามมาถึงหน้าประตู พวกเขาได้ยินเสียงกรีดร้องดังมาจากข้างใน กู่ เชียนชาน ยิ่งกระวนกระวายมากขึ้นไปอีก เขาได้แต่ภาวนาในใจว่าอย่าให้ ซู ฉิวไป่ เป็นอะไรเลย
หลังจากที่ตะเกียกตะกายผ่านประตูที่กั้นเหล็กที่พังยับเยินอย่างเป็นปริศนาไปได้ ก่อนที่จะทันทำความเข้าใจกับเหตุการณ์ตรงหน้า เซี่ยว ซิวเหวิน ที่หลบคุดคู้ในมุมหนึ่งกลับตะโกนมาทางเขา
“ท่านพี่ใหญ่กู่ ช่วยที!”
กู่ เชียนชาน เกือบจะหลุดตอบตกลงไปโดยสัญชาตญาณ ก่อนจะนึกขึ้นได้
ไอ้เวรนี้ ฉันไม่ได้มาเพื่อช่วยแกโว้ย*!*