เทพสงครามพิทักษ์โลก บทที่ 669
หลังจากนั้นเพียงชั่วครู่

มันก็ลุกยืนขึ้นมา

ดีที่กูฉลาดหลักแหลม หมอบลงนอนได้ก่อนทันกาล

“โอย เล่นทำกูเจ็บจนได้”

หลี่ซู่ใช้มือปิดกุมแผลตรงท้องน้อย หน้าตาบิดเบี้ยวไปด้วยความเจ็บปวดระทม

ครั้งที่กัสสปะสั่งการให้ลั่นไก

หลี่ซู่ไม่รีรอ ถือโอกาสหมอบลงนอนกับพื้น

แต่กลับกลายเป็นเช่นนี้ไปเสียได้

เขาก็โดนลูกหลงของกระสุนไปด้วยเช่นกัน

แม้ไม่ร้ายแรงถึงชีวิต

แต่ก็ทำให้เขาตกอยู่ในสภาพที่บาดเจ็บสาหัสได้เช่นกัน

“ไป รีบไป”

“อย่าอยู่ที่นี้ ไม่เช่นนั้นมีหวังได้ตายสถานเดียว”

หลี่ซู่กัดฟันกรอด

การเดินทางไปยังหมู่บ้านตระกูลเย่ครั้งนี้ คือฝันร้ายสำหรับเขา

ไม่เพียงแต่แย่งภาพมกุฎมังกรมาไม่ได้

ปรมาจารย์สามพันคนแห่งศูนย์พันธมิตรบู๊ทั้งหมด ก็ถูกจำกัดจนไม่เหลือซาก

เขายังไม่อาจรู้ได้ว่าเมื่อกลับไปแล้วจะต้องเจอกับบทลงโทษเช่นไร

ไม่ได้การเสียแล้ว……

ให้กลับไปเพียงคนเดียวรึ?

เมื่อนึกถึงจุดนี้

ความคิดซับซ้อนมากมายพลันก่อตัวของในหัวของหลี่ซู่……

ในขณะเดียวกัน

ณ หุบเขาเล็กๆ ที่ตั้งอยู่ไม่ไกลจากหมู่บ้านตระกูลเย่

ผู้คุมกฎสิบนั่งขัดสมาธิหลับตารักษาบาดแผลอยู่บนหินก้อนใหญ่

ทันใดนั้น

เขาก็ลืมตาขึ้น พลางหายใจออกช้าๆ

หลังจากพักฟื้นบาดแผลอยู่นานกว่าสิบนาที อาการบาดเจ็บภายในของเขาก็ดีขึ้นมาก

แต่สภาพร่างกายของเขา กลับดูราวกับชายแก่ผู้ผ่านอายุขัยมานับไม่ถ้วน

ทั้งหมดเป็นเพราะหยางเฟิง!

ผู้คุมกฎสิบกัดฟันพูดกับตนเอง “หยางเฟิง ที่ทำไปทั้งหมดก็เพื่อแก ความแค้นนี้หากไม่ได้ชำระ ข้าขอสาบานว่าจะไม่ขอเป็นคน! ”

แค่นึกถึงหยางเฟิง

ความเคียดแค้นชิงชังภายในใจของเขา พลันราวกับคลื่นยักษ์ที่ทำให้ผู้คนตกใจหวาดกลัวก็มิปาน

การมายังหมู่บ้านตระกูลเย่ครั้งนี้

เขาคงพอที่จะพูดได้ว่าเป็นการพ่ายแพ้อย่างย่อยยับป่นปี้

ไม่เพียงแต่ลูกสมุนที่พามาจะถูกกำจัดทั้งหมด

แม้แต่วงศ์ตระกูลของตน ก็ล้วนถูกหยางเฟิงขุดหลุมฝังไปจนหมดสิ้น

ทั้งหมดล้วนคือการที่ฉวยโอกาสไม่สำเร็จ แถมยังขาดทุนอีกต่างหาก

“ เดินทัพ!”

ผู้คุมกฎสิบไม่กล้าหยุดพักนานเกินไป

แท้จริงแล้วที่นี้คือสถานที่ของปัญหาและความขัดแย้ง

เขากัดฟันกรอด พลางรีบกุมบาดแผลจากไป……

เวลาผ่านไปเพียงไม่ถึงวัน

นักบู๊นับหมื่นที่รวมตัวอยู่ ณ หมู่บ้านตระกูลเย่ก่อนหน้านั้น

กลับหายไปแล้วทั้งหมด

มีผู้อยากรู้อยากเห็นมุ่งหน้าไปยังภูเขาจินเฟิง เมื่อพบซากศพที่พื้น ก็ตกใจผวาดผวาทันที

ข่าวสารได้ส่งต่อมาจนถึงหมู่บ้านตระกูลเย่

ผู้คนทั้งหมู่บ้านรับรู้เพียงว่า นักบู๊เหล่านั้นล้วนสิ้นใจไปหมดแล้ว

เย่หลงออกคำสั่งไม่ให้แพร่งพรายข้อมูลด้วยตนเอง

ผู้คนในหมู่บ้านจึงไม่สามารถเปิดเผยข้อมูลออกไปได้

เรื่องนี้กลายเป็นข้อห้ามประจำหมู่บ้านตระกูลเย่ทันที

สำหรับซากศพนับพันใต้ฝ่าเท้า ณ ภูเขาจินเฟิง

หยางเฟิงก็ออกคำสั่งให้กัสสปะนำสำนักเทพมรณะไปเก็บกวดทำความสะอาดในชั่วข้ามคืน

เมื่อเวลากลางคืนค่อยๆ คืบคลานเข้ามา

ณ ห้วงกาลนี้

ทั้งหมู่บ้านตระกูลเย่ พลันถูกปกคลุมไปด้วยความมืดมิด

ทั่วทุกที่ล้วนเป็นสีดำสนิท

แต่ ณ เวลานี้ หอบรรพบุรุษของหมู่บ้านตระกูลเย่กลับสว่างไสวไปด้วยแสงเทียน

หยางเฟิงนั่งอยู่ที่โต๊ะน้ำชากับเย่หลง

บนกาน้ำชา มีไอความร้อนระเหยออกมาอยู่ไม่ขาดสาย

หยางเฟิงมีท่าทีที่เปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว หลังจากดื่มชาไปเพียงอึกเดียว เขาก็พูดว่า “นายท่าน พรุ่งนี้ข้าจะเตรียมตัวกลับตงไห่แล้ว!”

ตอนนี้ได้ภาพมกุฎมังกรมาอยู่ในกำมือแล้ว

การที่หยางเฟิงจะพำนักอยู่ที่หมู่บ้านตระกูลเย่ต่อไป หาได้มีความหมายอะไรไม่

หนิงชิงเฉิงเอง ก็ต้องเตรียมพร้อมสำหรับการเปิดบริษัทที่ตงไห่

ไม่รู้ว่าต้องเผชิญกับคลื่นลมอะไรอีก

เขาจึงจำเป็นต้องรีบกลับไป

เย่หลงพยักหน้าพลางพูด “อืม เจ้าควรกลับไปเถิด”

การที่หยางเฟิงจะอยู่หรือจะไป เย่หลงไม่ได้แยแสเลยสักนิด

ราวกับเขาเรียกหยางเฟิงมาเพื่อให้จัดการกับเรื่องเล็กน้อยที่ไม่สลักสำคัญ

“แต่นายท่าน ก่อนที่ข้าจะกลับไป ข้ามีเรื่องสงสัยที่จำเป็นต้องถามไถ่จากท่าน”

เมื่อพูดจบ

หยางเฟิงก็หยิบภาพมกุฎมังกรออกมาจากอ้อมกอด

เขาถามด้วยหดหู่ว่า “เพราะเหตุใดภาพมกุฎมังกรนี้จึงว่างเปล่า?”

ณ เวลานั้น

หากไม่ใช่เพราะหยางเฟิงเป็นผู้นำภาพมกุฎมังกรออกมาจากในหลุมศพของเย่เวิ่นด้วยตนเอง

เขาถึงขั้นกับคาดคะเนไปเอง

สิ่งที่ตนเองแย่งชิงมาจะเป็นของปลอม!

เมื่อต้องเผชิญหน้ากับข้อสงสัยของหยางเฟิง

เย่หลงดื่มชาหนึ่งอึกพลางยิ้มตอบเล็กน้อย “เจ้าลืมจี้หยกรูปมังกรที่อยู่บนตัวของเจ้าไปเสียแล้วงั้นรึ? ”