“อยู่นอกเมือง” นายทหารผู้นั้นรีบตอบ
เยี่ยเม่ยพยักหน้า “ข้าจะออกไปดูกับพวกเจ้า”
“ส่วนทางองค์ชายสี่นั้น…” นายทหารถามขึ้นด้วยความสงสัย
เยี่ยเม่ยมองด้วยแววตาแปลกใจ เอ่ยถามเสียงเย็นชา “เจ้าอยากไปรายงานนักหรือ”
นายทหารตัวสั่น เอ่ยตามตรงออกมา “ไม่อยาก”
ใครกินอิ่มนอนหลับแล้วไม่อยากมีชีวิตกัน ถึงอยากไปรายงานข่าวกับองค์ชายสี่ มีชีวิตอยู่ดีก็ดีแล้วไม่ใช่หรือไง ใครจะรู้ว่าไปรายงานข่าวเรื่องหนึ่งแล้วจะไม่เหลือชีวิตกลับมาหรือไม่ เขาแค่กังวลว่าแม่นางผู้นี้รับมือไม่ไหว อย่างไรเสียบุรุษหนุ่มผู้นั้นมีวิทยายุทธสูงส่งจริงๆ
เยี่ยเม่ยก็รู้สึกว่าคนของเป่ยเฉินทุกคนไม่กล้าไปหาเป่ยเฉินเสียเยี่ยนตามอำเภอใจ บุรุษผู้ที่ไม่มีอะไรน่ากลัวไปกว่าเขาในสายตาทุกคน
ระหว่างสนทนาไปนั้น ทั้งสองก็มาถึงหน้าประตู
เห็นบุรุษหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาจากไกลๆ ไม่ใช่จิ่วหุนแล้วจะเป็นใครได้
นางเห็นจิ่วหุน เขาก็เห็นนางเช่นกัน เยี่ยเม่ยรีบมองนายทหารข้างกาย “เขาเป็นคนสนิทของข้า ปล่อยเขาเข้ามา”
เหล่าทหารปาดเหงื่อ หลีกทางให้
พวกเขาหลายคนบาดเจ็บแล้ว ทว่านี่เป็นผลมาจากการยั้งมือของจิ่วหุนทั้งสิ้น พวกเขาดูออกว่าหากบุรุษหนุ่มผู้นี้คิดจะฆ่าคน พวกเขาต่างต้องตายอย่างอนาถ หากมิใช่เพราะมีหน้าที่พวกเขาก็ไม่อยากขวาง คำพูดของเยี่ยเม่ยนี้เท่ากับช่วยพวกเขาคลี่คลาย
จิ่วหุนเดินไปถึงหน้าเยี่ยเม่ย ยังคงมีท่าทางไม่ค่อยชอบพูดเหมือนเดิม แต่ว่าในแววตาปรากฏความน้อยเนื้อต่ำใจหลายส่วน “ข้าตามหาเจ้านานมาก”
เยี่ยเม่ยคำนวณดู พวกนางรู้จักกันนับรวมๆ แล้วยังไม่เกินสามวัน คงไม่เรียกว่าตามหานานหรอกมั้ง
แต่เมื่อคิดดู ให้นางตามหาคนผู้หนึ่ง ตามหาได้สิบนาทีนางคงสูญเสียความอดทนไปแล้ว อย่างนั้นสองสามวันนับว่าตามหายาวนานจริงๆ
ดังนั้นนางพยักหน้า น้ำเสียงเย็นชา “ก็หาพบแล้วมิใช่หรือ ลำบากเจ้าแล้ว ก่อนหน้านี้เจ้าไปทำอะไรมา”
เขาตอบว่า “จัดการธุระส่วนตัว ต่อไปก็ไม่มีอีกแล้ว”
ภายหน้าไม่มีธุระส่วนตัวอีกแล้ว เพราะว่าภายภาคหน้าสายตาข้า มีเพียงเจ้า
เขาไม่ได้เอ่ยประโยคหลังออกไป
เยี่ยเม่ยย่อมไม่รู้ว่าเขาซ่อนประโยคหลังไว้อีก นางผงะหัว มองกลุ่มควันที่ไกลออกไป เอ่ยปาก “ข้าเข้าสู่วังวนการศึกระหว่างเป่ยเฉินกับต้ามั่วแล้ว เจ้าคิดจะไปจัดการเรื่องของเจ้า หรือว่า…”
นางยังไม่ทันเอ่ยจบ จิ่วหุนก็รับคำต่อ “ข้าอยู่ช่วยเจ้า”
เยี่ยเม่ยมองเขาครู่หนึ่ง เห็นท่าทางหนักแน่นของเขา ก็ไม่โน้มน้าวให้เขาจากไปอีก เพียงเอ่ยว่า “อย่างนั้นก็ดี จิ่ว…”
“เรียกข้าว่าเสี่ยวจิ่ว” จิ่วหุนตัดบทนาง
เยี่ยเม่ยชะงักไป ไม่ค่อยเข้าใจว่าทำไมไม่ให้เรียกชื่อจริง ทว่านี่ก็มิใช่เรื่องสำคัญอันใด ดังนั้นจึงไม่ใส่ใจ “ได้ เสี่ยวจิ่ว”
สิ้นเสียงนาง ก็เห็นแม่ทัพหลูกลับมา
เขาเดินมาเบื้องหน้าเยี่ยเม่ย ประสานมือเอ่ยปากว่า “หลูเซียงฮั่วกลับมารายงาน ราชาต้ามั่วรับปากเรื่องการแลกเปลี่ยนเสบียงแล้ว กำหนดอีกสามวันข้างหน้า จั่วอี้อ๋องของพวกเขานำสตรีที่ชื่อว่าลู่หวานหว่านมาด้วยตนเอง เพื่อแลกเปลี่ยนกับเสบียงของพวกเรา”
เยี่ยเม่ยพยักหน้า น้ำเสียงเย็นชา “เข้าใจแล้ว อีกสามวัน ข้าจะพาพวกเข้าไปด้วยตนเอง กันไม่ให้เกิดความผิดพลาด”
จิ่วหุนก้มหน้า ยืนอยู่ด้านข้างเยี่ยเม่ย เอ่ยเสียงเบา “ข้าไปด้วย”
เยี่ยเม่ยหันกลับไปมองเขาอย่างประหลาดใจ เพียงเห็นเขาก้มหน้า มองสีหน้าไม่ออก นางยักไหล่ “ได้”
อย่างไรเสียในที่นี้เขาก็รู้จักนางคนเดียว ติดตามนางไปด้วยก็ปกติ
หลูเซียงฮั่วในยามนี้ กลับรู้สึกไม่ค่อยเข้าใจ จ้องเยี่ยเม่ยถามว่า “แม่นาง ข้าขอถามเจ้าสักคำถามได้หรือไม่”
เยี่ยเม่ยปรายตามองเขา “ว่ามา”
หลูเซียงฮั่วเอ่ยปาก “ท่านเกลียดลู่หวานหว่านผู้นั้นมากจนถึงขั้นต้องการชีวิตนางให้ได้จริงหรือ”
เยี่ยเม่ยเลิกคิ้ว ตอบเป็นจริงจังว่า “หากข้าต้องการชีวิตนางจริง ครั้งก่อนตอนอยู่ต้ามั่วไฉนปล่อยนางไป คนของต้ามั่วต่างโง่งม เจ้าเองก็โง่งมด้วยหรือ”
หลูเซียงฮั่วตกตะลึง “อย่างนั้นท่านบอกจะแลกลู่หวานหว่านกับเสบียง ความจริงแล้วก็เพื่อ…”
เยี่ยเม่ยเอ่ยเสริมต่อจากไปเขา น้ำเสียงเย็นชา “เสบียงของเป่ยเฉิน ย่อมต้องอยู่ในอาณาเขตของเป่ยเฉินเท่านั้น จู่ๆ จะไปอยู่นอกเมืองอย่างไร้สาเหตุหรือ นั่นไม่ใช่จงใจทำให้คนสงสัยหรืออย่างไร ในเมื่อเป็นเช่นนี้ก็ได้แต่หาเหตุผล เป็นต้นว่าข้าจะฆ่าลู่หวานหว่านให้ได้ อย่างไรเสียในสายตาคนโง่งมจำนวนมาก สตรีล้วนเป็นสิ่งมีชีวิตใจแคบ ขี้อิจฉา เอามาเป็นตัวหลอกพวกเขาได้พอดี”
บุรุษทั้งหลายในที่นี้ต่างมุมปากกระตุก
ความจริงพวกเขาคิดเช่นนี้มาโดยตลอด แต่ว่าแม่นางเยี่ยเม่ยท่านนี้ อาจจะไม่เหมือนกับสตรีทั่วไปกระมัง การแสดงออกของนางเด็ดเดี่ยวห้าวหาญห่างชั้นกับสตรีทั่วไปมาก
หลูเซียงฮั่วรีบปาดเหงื่อแห่งความละอายบนหน้าผากออก เอ่ยปากว่า “ข้าทราบแล้ว ข้าเข้าใจแม่นางผิด ขอให้แม่นางอภัยด้วย”
เยี่ยเม่ยพยักหน้า เอ่ยเสียงเย็น “อย่างนั้นก็กลับไปเตรียมตัวเถอะ สามวันให้หลัง เจ้าติดตามข้าออกไปด้วย”
หลูเซียงฮั่วพยักหน้า “ขอรับ”
สิ้นเสียงนี้ น้ำเสียงไพเราะสายหนึ่งพลันดังขึ้น “เช้าตรู่ขนาดนี้ คึกคักกันเหลือเกิน”
เหล่าทหารทั้งหมดล้วนนิ่งแข็ง หันกลับไปมองปีศาจตนนั้นเดินมาไม่ไกล
มองออกไปก็เห็นปีศาจท่าทางสง่างามเดินเข้ามา ใบหน้าหล่อเหลาชั่วร้ายมีความสนุกสนานอยู่หลายส่วน นั่นคือแววความสนุกสนานที่เป็นปรปักษ์ทุกสรรพบนโลก เผยกลิ่นอายความเป็นปีศาจและชั่วร้ายออกมา
คนเช่นนี้ แค่ดูบรรยากาศรอบเขาก็รู้ว่าเป็นปีศาจ
จิ่วหุนในเวลานี้กลับเงยหน้าขึ้น มองเป่ยเฉินเสียเยี่ยน นัยน์ตามีแววศัตรูอย่างเป็นธรรมชาติ ทำให้คนตกใจ
เป่ยเฉินเสียเยี่ยนย่อมสังเกตถึงสายตาเขาได้อย่างว่องไว ทั้งยังสังเกตว่าบุรุษหนุ่มหน้าตางดงามผู้นี้ ยืนอยู่ข้างกายเยี่ยเม่ยไม่ห่างมาก ดูท่าทั้งสองคนคงมีความสัมพันธ์ไม่ใช่น้อย
เขาครุ่นคิด นัยน์ตาชั่วร้ายมองเยี่ยเม่ย ถามเสียงน่าฟังว่า “นี่คือเด็กหนุ่มที่แม่นางเยี่ยเม่ยช่วยเอาไว้ตอนหนีออกจากชายแดนหรือ”
เยี่ยเม่ยอึ้งไป คิดไม่ถึงว่าอีกฝ่ายถึงกับรู้เรื่องที่นางช่วยจิ่วหุน
นางไม่ปิดบัง พยักหน้า “ไม่ผิด เด็กคนนี้ต้องการตอบแทนบุญคุณ ดังนั้นจึงติดตามข้า”
ถึงนางไม่รู้อายุที่แท้จริงของจิ่วหุน แต่ดูแล้วยังเด็ก นางจึงใช้คำว่าเด็กคนนี้
จิ่วหุนฟังแล้ว เลิกคิ้วสูง มองเยี่ยเม่ย เสียงเบาทว่าหนักแน่น “ข้าไม่ใช่เด็ก”
เยี่ยเม่ยกระตุกมุมปาก มองเขา “ก็ได้”
การตอบโต้กันระหว่างพวกเขาสองคน นำมาซึ่งความไม่พอใจขององค์ชายสี่
แต่ใบหน้าเขาไม่มีความโมโหเลยสักน้อย กลับยิ้มจาง เดินก้าวเข้ามาใกล้เยี่ยเม่ย
จิ่วหุนด้านข้างขยับตัว
เขาเคลื่อนมาอยู่ด้านหน้าเยี่ยเม่ยอย่างรวดเร็ว ล้วงมีดสั้นออกจากเอวสายตาคล้ายสัตว์ร้าย มีความกระหายเลือด เอ่ยเสียงเบา “ห้ามเข้าใกล้นาง”
เป่ยเฉินเสียเยี่ยนยิ้มยกมุมปาก กลับหัวเราะช้าๆ ดวงตาปรากฎแสงมารสีแดง เห็นได้ชัดว่าถึงจิตสังหาร
เป่ยเฉินเสียเยี่ยนยกมือขึ้น กำลังภายในสีแดงแปรเปลี่ยนเป็นกระบี่ยาวอยู่กลางมือเขา
บรรยากาศเริ่มตึงเครียด
เขามองจิ่วหุน หัวเราะเบาๆ เสียงน่าฟัง “หากเยี่ยนจะเข้าใกล้นางให้ได้เล่า เจ้าสามารถห้ามได้หรือ มั่นใจในตัวเองเป็นเรื่องดี เสียชีวิตคือไม่รู้จักประมาณตนแล้ว”