บทที่ 326
ปิดประตูตีแมว
หวังฉิงเป็นคนที่ฉลาดอย่างมาก เธอหวังว่าเสี่ยวไป๋จะไม่เผลอพูดอะไรออกไป
ที่อีกฝั่ง ไม่นานหวังฉิงและเสี่ยวไป๋ก็มาถึงร้านอาหารหมายเลขหนึ่ง ทันทีที่เขาก้าวเข้ามาในร้าน สีหน้าของหวังฉิงก็เข้มขึ้นมานิดหน่อย เขานึกถึงเรื่องที่มู่เทียนหนีไปได้จากที่นี่
หวังฉิงเดินเข้าไปขอห้องหมายเลขหนึ่ง พร้อมทั้งสั่งอาหารชั้นเลิศมากมาย
ทันทีที่เสี่ยวไป๋เห็นอาหาร ดวงตาของเขาก็เบิกกว้างขึ้นมาทันทีและจากการต่อสู้เมื่อกี้ ตอนนี้เขาเลยหิวขึ้นมานิดหน่อยแล้ว เขาได้กินอาหารและไวน์ชั้นเลิศ ตอนนี้เขาอารมณ์ดีขึ้นมาหน่อยแล้ว
“เอ้าดื่ม” ในตอนแรกหวังฉิงไม่ได้พูดอะไร เพียงแค่ยุให้เขาดื่มและกินมากขึ้นไปอีกและบางครั้งถึงจะพูดเรื่องอะไรที่น่าสนใจออกมาบ้าง พวกเขาได้คุยกันอย่างเพลิดเพลินจริงๆ
“ดื่ม ฮ่าฮ่า เจ้านี่ดีนะ ข้าชอบเจ้าจริงๆ” เสี่ยวไป๋หัวเราะอย่างหนัก
กินอีกแล้วเหรอ? นี่คิดถึงแต่เรื่องกินหรือไงกัน?! ไอ้โง่ ไอ้โง่เอ้ย! มู่หรงที่อยู่ในมิติลับอดไม่ได้ที่จะก่นด่าออกมา
“ฮ่าฮ่า ข้ายังไม่รู้จักชื่อของเจ้าเลย ข้ามีความสุขมากจนลืมที่จะถามชื่อของเจ้าไปเลย” หวังฉิงถามเสียงเรียบ
“ฮ่าฮ่าฮ่า ข้าชื่อว่า…เทียนมู่” โอ้ เขาเกือบที่จะบอกออกไปแล้วว่าชื่อเสี่ยวไป๋ แต่ก็ต้องหยุดความคิดนั้นไว้ เขาจึงรีบบอกชื่อที่สลับคำกับชื่อผู้ชายของมู่หรงเสวี่ยออกไปแทน
มือที่กำลังถือถ้วยอยู่ของหวังฉิงสั่นเล็กน้อยจนแทบมองไม่เห็น แล้วจึงหัวเราะออกมาและพูดว่า “แหม ชื่อของเจ้าคล้ายกับชื่อของเพื่อนสนิทที่ข้ารู้จักเลยนะ” หลังจากที่พูดจบ สายตาที่คมเข้มก็เปล่งประกายและจ้องตรง แสงในดวงตาเขาเปล่งประกายและดูเหมือนจะนึกถึงความทรงจำที่ไม่สิ้นสุด
“โอ้? ใครกันงั้นเหรอ? ถึงได้มาชื่อคล้ายกับข้าได้” เสี่ยวไป๋เองก็ใช้ตะเกียบคีบไปที่หมูต้มมาเข้าปากทำให้คำพูดของเขาฟังดูไม่ค่อยชัดเท่าไร
หัวใจของมู่หรงเสวี่ยที่อยู่ในมิติลับตอนนี้แทบจะกระโดดขึ้นมาอยู่ที่คอหอย สีหน้าของเธอเกร็งขึ้นมาทันที มือก็กำที่แขนเสื้อแน่น
เสี่ยวไป๋ เสี่ยวไป๋ ได้สติซะทีเถอะ!!!
“เขาชื่อมู่เทียน” หวังฉิงพูดออกมาเลยโดยไม่ได้ระวังอะไร
ไวน์ที่อยู่เต็มปากพุ่งออกมาทันที “แค่ก แค่ก แค่ก!” เสี่ยวไป๋ที่สำลักรีบตบไปที่หน้าอกของตัวเองทันที
สีหน้าของหวังฉิงเย็นชา และประกายในดวงตาเขาก็ยิ่งจริงจังมากขึ้นไปอีก “ทำไมท่านเทียนต้องตื่นเต้นขนาดนั้นด้วยล่ะ? เจ้ารู้จักเขาด้วยหรือไง?” ถึงแม้มันจะเป็นประโยคคำถามง่ายๆแต่ก็แฝงไว้ด้วยความหมายโดยนัยอะไรบางอย่าง
เสี่ยวไป๋รีบโบกมือทันที “ข้าไม่รู้จักหรอก ไม่รู้จักหรอก!”
พระเจ้า ชายคนนี้เป็นใครกันนะ?!
เสี่ยวไป๋รีบนึกถึงคำเตือนของมู่หรงเสวี่ยในใจซ้ำไปซ้ำมา พร้อมกันนั้นเขาเองก็เริ่มที่จะมองไปที่หวังฉิงและเปรียบเทียบกับลักษณะที่มู่หรงเสวี่ยบรรยายให้ฟัง
“ข้าขอทราบชื่อของเจ้าด้วยได้หรือไม่?” เสี่ยวไป๋ถามอย่างระวัง
หวังฉิงหัวเราะ “ข้าชื่อหวังฉิง”
เสี่ยวไป๋สำลักอีกครั้ง “เจ้าคือหวังฉิงงั้นเหรอ?”
สายตาที่เต็มไปด้วยรอยยิ้มของหวังฉิงยิ่งเข้มขึ้นไปอีก ที่มุมปากก็เผยรอยยิ้มที่ลึกมากขึ้น “อะไร เจ้ารู้จักองค์ชายอย่างข้าด้วยงั้นเหรอ?”
เสี่ยวไป๋รู้ว่าตัวเองขาดสติไปหน่อยจึงพูดออกมาอย่างใจเย็น “ข้าไม่รู้หรอกแต่ก็เคยได้ยินชื่อเสียงขององค์ชายมาบ้าง”
“โอ้ ข้าว่าไม่ใช่หรอก!”
“ฮ่าฮ่า ฝ่าบาทนี่ตลกจริงๆ มาเถอะมาดื่มกันต่อ”
เสี่ยวไป๋ปิดบังท่าทางตื่นตระหนกและทำเป็นเปลี่ยนเรื่องคุย
หวังฉิงแสยะยิ้ม เขาเพียงแค่พูดไปลอยๆแต่เขากลับรีบตะครุบเหยื่อทันที
เขามั่นใจได้เลยว่าผู้ชายที่อยู่เบื้องหน้าเขาจะต้องเกี่ยวข้องกับมู่เทียนแน่ๆ สวรรค์เข้าข้างเขาจริงๆด้วย
ถึงแม้จะไม่ใช่เรื่องสำคัญอะไรแต่เขาก็น่าจะรู้เรื่องอะไรบ้าง
หลายวันที่ผ่านมานี้ยังไม่มีใครได้ออกไปจากเมือง เขาจึงมั่นใจมากว่ามู่เทียนจะต้องยังอยู่ในเมือง เพียงแค่ว่าเมืองหลวงไม่ใช่พื้นที่เล็กๆ จึงเป็นเรื่องยากที่จะตามหาคนที่สามารถหายตัวได้
เสี่ยวไป๋มองไปที่เขาแล้วจึงวางแก้วลง “ขอบคุณสำหรับการดูแลของท่านะ ข้ามีธุระที่จะต้องไปจัดการ งั้นข้าคงต้องขอตัวก่อน” เขาอยากที่จะรีบออกไปจากที่นี่
พระเจ้า มู่หรงเสวี่ยจะต้องฆ่าเขาแน่ๆ ดูเหมือนเขาจะสร้างเรื่องขึ้นมาอีกแล้ว ในตอนนี้เขารู้สึกได้ถึงเงามืดของมู่หรงเลย
เสี่ยวไป๋รู้จักเธอดี มู่หรงเสวี่ยอยากที่จะจัดการเขาจริงๆ ไอ้หัวหมูนี่โง่สิ้นดี
มู่หรงที่อยู่ในมิติลับเห็นได้อย่างชัดเจน ท่าทางสงสัยของหวังฉิงมองเห็นได้อย่างชัดเจน
เสี่ยวไป๋นึกขึ้นได้ว่าตัวเองต้องออกจากเมืองให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้ ตอนที่เขาออกมา เขานึกถึงแต่เรื่องดื่มและกิน เขามัวแต่ออกไปดื่มกินแถมยังสร้างปัญหาอีก เขาไม่ได้นึกถึงเรื่องนี้จนเดินเข้ามาในปากเสือ
การที่เธอจะหนีให้พ้นน้ำมือของหวังฉิงไม่ใช่เรื่องง่ายเลย ถ้าเธอถูกจับได้อีกครั้ง ก็นึกภาพได้เลยว่าครั้งหน้าเธอคงไม่มีโอกาสที่จะได้หนีอีกแล้วแน่ๆ
“เดี๋ยวก่อน เรายังคุยกันไม่จบเลย ทำไมเจ้าต้องรีบร้อนขนาดนี้ด้วยล่ะ? เจ้าทำอะไรผิดมาหรือเปล่า?” หวังฉิงถามเสียงเรียบ
ฝีเท้าของเสี่ยวไป๋หยุดไปชั่วขณะ “ตลกแล้ว ข้ามีมนุษยธรรมและข้าก็ไม่ได้ทำอะไรที่ผิดด้วย”
“ในเมื่อเจ้าไม่ได้ทำอะไรผิด งั้นก็นั่งลงแล้วคุยกันก่อน” หวังฉิงเขย่าแก้วในมือและพูดออกมาเสียงเรียบ
เสี่ยวไป๋หันกลับมาและพูดว่า “ข้าเองก็อยากที่จะคุยกับเจ้าต่อนะ อย่างไรก็ตามข้าบังเอิญมีเรื่องที่ต้องจัดการ ข้าขอตัวก่อนแล้วค่อยคุยกันอีกทีวันหลังนะ”
น้ำเสียงที่พูดออกไปดูปกติ เสี่ยวไป๋รีบเร่งฝีเท้าและเดินออกไป
หลังจากที่ผ่านไปนาน เสี่ยวไป๋มองกลับไปและเห็นว่าหวังฉิงไม่ได้ตามเขามา เขาจึงรู้สึกโล่งอกเล็กน้อย
หวังฉิงตามเสี่ยวไป๋มาตั้งแต่ที่เขาก้าวเท้าออกมาจากประตูแล้ว เป็นเรื่องยากกว่าที่จะเจอเบาะแส แล้วแบบนี้เขาจะปล่อยไปง่ายๆได้ยังไง
มู่เทียน มู่เทียน เจ้าควรจะร้องขอไม่ให้ข้าหาตัวเจ้าเจอเถอะ
หวังฉิงดื่มไวน์ที่เหลืออยู่ในแก้วจนหมดอย่างเย็นชาแล้วจึงลุกขึ้นและเดินออกมา
เสี่ยวไป๋ที่เดินออกมาถึงประตูร้านอาหารหมายเลขหนึ่ง รีบขึ้นไปในรถม้าทันที “ไปที่ประตูเมือง”
“ขอรับ!”
“ไป!” รถม้าเร่งออกไปตามถนน
เบื้องหลังคือเงามืดที่รีบกระโดดมาที่หลังคา ความเร็วไม่ได้ลดลงเลยแต่กลับติดตามมาได้โดยตลอด
จนกระทั่งถึงประตูเมือง เสี่ยวไป๋จ่ายค่ารถและลงจากรถม้า แล้วก็ต้องพบว่ามีกลุ่มคนยืนเรียงแถวรอเป็นทางเดินยาว
ชายชุดดำไม่เข้าใจแต่ก็ไม่กล้าที่จะผ่อนปรนให้เสี่ยวไป๋
เงามืดอีกเงาพยักหน้าแล้วรีบวิ่งกลับมา “ฝ่าบาท ชายคนนี้กำลังจะออกนอกเมือง” ชายชุดดำคุกเข่าลงเบื้องหน้าหวังฉิง
สีหน้าของหวังฉิงเคร่งเครียดและเข้าใจถึงปัญหา เธอหนีไปและอยากที่จะออกจากเมือง เขาเดินไปรอบๆและรีบตัดสินใจในทันที
“ปล่อยให้เขาออกนอกเมืองแล้วตามเขาไป” หวังฉิงสั่ง
“ขอรับฝ่าบาท”
ชายชุดดำกลับไปที่ประตูเมืองอย่างเร็วที่สุดและพร้อมด้วยเหรียญตราของหวังฉิง เขาพึมพำกับทหารของเมืองแล้วก็รีบหายตัวไปอย่างเร็ว
แน่นอนว่ามันใช้เวลาไม่นาน เมื่อเสี่ยวไป๋มาถึง เขาก็เพียงแค่ถูกตรวจร่างกายและถูกปล่อยตัวไป เมื่อเทียบกับการตรวจที่เข้มงวดก่อนหน้านี้ มีถือเป็นเรื่องที่แตกต่างอย่างมาก
มุมมองของมู่หรงที่อยู่ในมิติลับเองก็จำกัดเช่นกัน จึงไม่เห็นทหารชุดดำสองคนที่กำลังตามมา แต่เห็นเพียงแค่ประตูเมืองจึงถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก
เสี่ยวไป๋ซื้อม้ามาและเมื่อออกมานอกประตูเมืองเขาก็รีบวิ่งไปตามถนนด้วยความเร็ว ไม่รู้เลยว่าเดินทางมานานแค่ไหน เขาเข้าไปในป่า รอบๆตัวเขามีเพียงต้นไม้สีเขียวเต็มไปหมดและบางครั้งเขาก็ได้ยินเสียงนกร้อง
ท้องฟ้าเริ่มที่จะมืดแล้ว “วู่!” เสี่ยวไป๋ดึงบังเหียนเพื่อหยุดม้าที่วิ่งมาตลอดทั้งวัน
เสี่ยวไป๋ผูกม้าไว้กับต้นไม้ข้างๆเขาแล้วเขาก็เดินไปที่ต้นไม้เพื่อนั่งลง เขาแตะไปที่ก้นของตัวเองที่ค่อนข้างบวมขึ้นมานิดหน่อย
“บ้าจริง ขี่ม้านี่ไม่ใช่เรื่องง่ายเลยจริงๆ ไม่ง่ายเหมือนกับสัตว์แห่งจิตวิญญาณเลย” เสี่ยวไป๋ก่นด่าออกมาเบาๆ
ชายชุดดำที่กำลังมองไปที่ปากของเขารู้สึกสับสนไปหมด อะไรคือสัตว์แห่งจิตวิญญาณกัน?!
เสี่ยวไป๋แตะไปที่ท้องที่ร้องด้วยความหิวของตัวเองพร้อมทั้งพูดกับกำไลที่ข้อมือ “มู่หรง ข้าหิว”
มู่หรงเสวี่ยกลอกตาอยู่ในมิติลับ
แต่ก็ยังรีบออกมาจากมิติลับทันทีพร้อมกำไลที่อยู่ในมือ วินาทีที่กำไลล่องหนไปพร้อมทั้งจับมือเสี่ยวไป๋และม้าให้เข้าไปในมิติลับพร้อมๆกัน
ถ้าพวกเธออยู่ในนี้ ม้าก็คงจะถูกขโมยไปแน่ๆ
ชายชุดดำที่อยู่ห่างออกไปเบิกตากว้างพร้อมทั้งขยี้ตาอย่างไม่อยากจะเชื่อ เขาเห็นว่าคนที่พวกเขาตามมาตลอดทั้งวันหายไปต่อหน้าต่อตา สีหน้าของพวกเขาเปลี่ยนไปในทันที
“เจ้าควรที่จะกลับไปรายงานฝ่าบาท ข้าจะเฝ้าอยู่ที่นี่” หนึ่งในชายชุดดำพูดออกมา
ในความมืด ร่างชุดดำอีกคนหายไปในความมืดด้วยความรวดเร็ว
ในตอนนี้มู่หรงเสวี่ยและเสี่ยวไป๋กำลังย่างเนื้อกันอยู่ พร้อมทั้งเสี่ยวไป๋ที่พร่ำบ่นว่าวันนี้เขาเหนื่อยมากแค่ไหน พร้อมทั้งบอกให้มู่หรงเสวี่ยย่างเนื้อให้เขาด้วย
ถึงแม้มู่หรงเสวี่ยอยากที่จะกระทืบเจ้าลูกบอลขาวนี้ แต่เธอก็ไม่ได้รู้สึกโกรธขนาดนั้นกับครอบครัวของตัวเอง อีกอย่างเสี่ยวไป๋ก็พยายามอย่างหนักจริงๆ
ดังนั้นปาร์ตี้บาร์บีคิวจึงเริ่มขึ้นในทันที ไม่ห่างไปไกลคือม้าที่กำลังกินหญ้าที่บรรจุไปด้วยแสงออร่าอยู่ข้างๆ เพียงมองด้วยตาเปล่าก็เห็นได้ว่าขนม้าเริ่มที่จะเปล่งประกาย ม้าดูเหมือนจะร้องออกมาอย่างมีความสุข พร้อมทั้งควบไปสองสามก้าวแต่เพราะถูกผูกอยู่กับต้นไม้จึงควบไปได้ไม่ไกลนัก
ในตอนนี้มู่หรงและคนอื่นๆไม่รู้เลยว่ามีอะไรที่กำลังรอพวกเขาอยู่!
เมื่อได้ฟังรายงานจากสายลับ หวังฉิงก็รีบเรียกกองกำลังทหารกลุ่มใหญ่และรีบพุ่งออกไปนอกเมืองทันที
จนกระทั่งดึกมู่หรงเตรียมที่จะส่งเสี่ยวไป๋ออกไปนอกมิติลับจึงมองออกไปนอกมิติลับ แต่เหตุการณ์ด้านนอกที่เห็นทำให้สีหน้าของเธอเปลี่ยนไป
สิ่งแรกที่เธอเห็นคือใบหน้าที่หล่อเหลาราวแกะสลักของหวังฉิงซึ่งดูสวยงามอย่างมาก
สีหน้าของมู่หรงเปลี่ยนไปทันที “มันเป็นแบบนี้ไปได้ยังไงกัน?”
ความคิดมากมายแวบเข้ามาในหัว เธอรู้สึกแปลกใจที่ทุกอย่างมันดูง่ายเกินไป หวังฉิงไม่ใช่คนที่จะถูกหลอกได้ง่ายๆ กลายเป็นว่าเขากำลังรอกระต่ายน้อยอย่างเธออยู่
“มีอะไรงั้นเหรอ?” เฟิงจือหลิงถาม
“หวังฉิงอยู่ข้างนอกและเราถูกล้อมไว้แล้ว” เป็นไปไม่ได้เลยที่จะแหวกกลุ่มทหารแล้วหนีออกไป
“อะไรนะ เป็นไปได้ยังไง? เมื่อคืนข้าก็ดูดีแล้วว่าเขาไม่ได้ตามมา” เสี่ยวไป๋พูด
มู่หรงตบไปที่หัวเขา “ยังกล้ามาพูดอีก ทั้งหมดก็เพราะเจ้ามัวแต่กินน่ะแหละ”
“ไม่ใช่ความผิดข้าซะหน่อย” น้ำเสียงของเสี่ยวไป๋เบาลงเรื่อยๆด้วยความรู้สึกผิด