บทที่ 327 เจ้าจะต้องเจอดีแน่

ย้อนเวลาแค้น (重生之千金有点狠)

บทที่ 327
เจ้าจะต้องเจอดีแน่

“ตอนนี้พูดอะไรไปก็ไม่มีประโยชน์หรอก เราควรจะทำยังไงดี?” เฟิงจือหลิงพูด

มู่หรงพยักหน้า “ตอนนี้พวกเขาเฝ้าอยู่ข้างนอก เราจะออกไปตอนนี้ไม่ได้ก็ทำได้แค่รอดูไปก่อน บางทีนี่อาจจะเป็นแค่การคาดเดาของเขา มันเป็นไปไม่ได้หรอกที่จะอยู่ที่นี่ไปตลอด”

“ใช่ เราจะรออยู่ในนี้” จู่ๆเสี่ยวไป๋ก็พูดขึ้นมา

มู่หรงไม่อยากที่จะมองเขาเท่าไร เธอขี้เกียจที่จะพูดอะไรกับเขาตอนนี้

พูดง่ายๆคือพวกเขาจะยอมให้หวังฉิงจับตัวอีกไม่ได้ มันจะกลายเป็นปัญหาใหญ่แน่
บนใบหน้าที่สง่าราวภาพวาดของหวังฉิง เส้นโครงของใบหน้าเด่นชัด สายตาของเขาเย็นชาจนแทบจะทำให้คนที่มองตัวแข็งเป็นหินได้เลยถ้าไม่ระวัง

“มู่เทียน ข้ารู้ว่าเจ้าอยู่ที่นี่ ออกมาหาข้าเดี๋ยวนี้!” หวังฉิงร้อง

มู่หรงเสวี่ยที่อยู่ในมิติลับเองก็ได้ยิน บ้าจริง เขานี่ดื้อด้านจริงๆ

โง่อะไรแบบนี้เนี่ย! โง่เหมือนกับตัวเธอเองในชีวิตที่แล้วเลย แต่ในที่สุดเธอก็ได้เข้าใจว่าความรู้สึกเป็นเรื่องที่บังคับกันไม่ได้ อีกอย่างเธอก็ปฏิเสธเขาไปแล้วด้วย

“มู่เทียน!”

“มู่เทียน ออกมาเจอข้าเดี๋ยวนี้เลยนะ”

หวังฉิงยังคงตะโกนต่อไปเรื่อยๆ อย่างไรก็ตามเวลาล่วงเลยมาครึ่งวันแต่ก็ยังไม่มีใครโผล่ออกมาเลย สีหน้าของหวังฉิงเริ่มที่จะเย็นชาขึ้นเรื่อยๆและน้ำเสียงก็เริ่มที่จะแหบพร่านิดหน่อย ดูเหมือนว่าเธอจะไม่ยอมออกมา เธออยากที่จะหนีไปจากเขา แต่ไม่สำคัญหรอกมันขึ้นอยู่ที่ว่าใครจะทนได้มากกว่ากัน ไม่ว่าเขาต้องอยู่ข้างนอกนี่นานแค่ไหน เขาก็จะรอ อีกสิบปีก็ไม่สายเกินไปหรอก นี่เป็นการพิสูจน์ว่าความอดทนเป็นหนทางของการเป็นราชา

จากเรื่องที่เสี่ยวไป๋บอก ที่ดินแดนมังกรคนแบบพวกเธอที่ไม่ได้อยู่ในระดับสูงสามารถถูกฆ่าตายได้แบบง่ายเหมือนปอกกล้วยเข้าปากเลย

เธอนึกภาพได้เลยว่าคนที่ดินแดนมังกรจะทรงพลังและทรงอำนาจมากแค่ไหน ถ้าเธออยากที่จะช่วยพ่อแม่ งั้นเธอก็ควรที่จะเพิ่มความแข็งแกร่งก่อน มันจำเป็นในการอยู่รอด

ความผันผวนของชีวิตไม่กี่ทศวรรษผ่านไป มู่หรงเสวี่ยเห็นความเปลี่ยนแปลงของพลังแห่งจิตวิญญาณเขาได้เลย ก่อนหน้านี้เธอมองไม่เห็นพลังแห่งจิตวิญญาณแต่ตอนนี้เธอเห็นแสงสีขาวได้เลย เธอลุกขึ้นและมองออกไปนอกมิติลับ

เธอไม่เห็นร่างของหวังฉิง เดาว่าเขาคงไม่ว่างที่จะมานั่งเฝ้าพวกเธอทั้งวัน อย่างไรก็ตามก็ยังมีทหารสองสามคนที่ยังล้อมรอบอยู่ พวกเธอเองก็ยังเห็นได้ว่ามีกองไฟอยู่ใกล้ๆ ดูเหมือนว่าพวกเขาคงจะไม่ยอมทิ้งหน้าที่เพื่อออกไปหาอะไรกินที่อื่นกันเลย และดูเหมือนว่าจะเฝ้ากันเป็นระบบกะด้วย สิ่งที่ทำให้มู่หรงเสวี่ยโกรธก็คือทุกคนต่างก็สวมหน้ากาก ซึ่งดูเหมือนหวังฉิงจะทำมาพิเศษเพื่อป้องกันผงยาของเธอ

“มีอะไรงั้นเหรอ?” เฟิงจือหลิงเองก็เดินออกมาด้วยเหมือนกันและถามออกมาด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน

มู่หรงเสวี่ยส่ายหัว สีหน้าของเธอไม่ค่อยจะดีเท่าไร “ดูเหมือนว่าหวังฉิงจะใช้เวลากับพวกเราเยอะเลยล่ะ” มู่หรงพูดพร้อมน้ำเสียงหนักใจ

“ถ้างั้นเราก็จะสู้!”

“คงยากหน่อย เรามีกันแค่สามคนคงสู้ไม่ได้หรอก” มู่หรงรีบปฏิเสธทันทีโดยไม่ลังเล
ในมิติลับ ไม่มีมีเครื่องมืออะไรเลยนอกจากสมุนไพร ไม่อย่างงั้นเธอคงจะหาอะไรอย่างอื่นมาใช้ได้ “รอดูก่อนเถอะ” มู่หรงพูดเสียงเรียบ

เสี่ยวไป๋ยังคงนอนอยู่ที่อีกฝั่ง มู่หรงเสวี่ยหงุดหงิดจนเตะเขาเข้าไปที เจ้าอ้วนนี่นอนสบายใจเลย

ช่วงบ่ายหวังฉิงเข้ามาดูสถานการณ์ “เป็นยังไงบ้าง?” เขาลงจากหลังม้าและถามออกมา

“ฝ่าบาท ยังไม่มีร่องรอยอะไรเลยขอรับ”

หวังฉิงขมวดคิ้วและโบกมือเบาๆ เป็นนัยๆว่าเขารู้แล้ว

ถ้าเขาไม่รู้มาตั้งนานแล้วว่ามู่เทียนสามารถที่จะหายตัวได้ เขาก็คงจะไม่ได้เฝ้าหนักขนาดนี้หรอก ถึงแม้เขาจะรู้ เขาก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกกังวล

มู่เทียนไปอยู่ที่ไหนและโลกที่เธอไปมันเป็นยังไง เขานึกภาพไม่ออกเลย ถ้าเธอไม่โผล่มาเลยตลอดชีวิต เขาจะทำยังไงล่ะ?!

ถึงแม้ทุกวันนี้เขาจะยุ่งอยู่กับเรื่องต่างๆมากมาย แต่เขาก็อดไม่ได้ที่จะนึกถึงภาพของเธอราวกับว่ามันเป็นยาพิษที่เขาไม่สามารถจะถอนพิษได้

“เฝ้าต่อไป เจ้าจะพลาดอะไรไปไม่ได้เลยรู้หรือเปล่า?”

หวังฉิงสั่งออกไปอีกครั้งแล้วจึงรีบขี่ม้าออกไป ตอนนี้เพราะความตึงเครียดของทั้งสามดินแดนและภัยคุกคามจากดินแดนเฮ่ยเฉิน ทำให้เขารู้สึกไม่พอใจกับอาวุธทางการทหารที่เขามีอยู่ในตอนนี้อีกแล้ว

ทุกวันนี้เขายุ่งอย่างมากเพียงเพราะการพัฒนาอาวุธทางการทหาร เขามีลางสังหรณ์ว่าถ้าอาวุธทางการทหารยังเป็นแบบในตอนนี้อยู่ พวกเขาก็คงไม่สามารถที่จะเอาชนะดินแดนเฮ่ยเฉินได้ ต่อให้มีคนมากกว่าก็ตาม
การระเบิดคืนนั้นยังตามหลอกหลอนเขาอยู่ เพียงแค่พริบตา ตึกทั้งหลังก็พังลงมาในทันที พลังแบบนั้นสามารถที่จะระเบิดดินแดนแห่งไฟให้เป็นเถ้าถ่านได้ในพริบตา

ก่อนหน้านี้เขาหยุดที่จะร่วมมือกับดินแดนลมเพราะเขากลัวดินแดนเฮ่ยเฉิน เขากลัวว่าดินแดนเฮ่ยเฉินจะพยายามเพื่อเก็บเกี่ยวผลประโยชน์

อย่างไรก็ตามเพราะเรื่องนี้ ดินแดนลมเองก็มีความคิดเห็นเรื่องดินแดนไฟเช่นกัน

เขาสนใจเรื่องที่ว่าทั้งสองดินแดนจะร่วมมือกันเพื่อมาโจมตีดินแดนแห่งไฟของพวกเขาหรือเปล่า ถึงแม้เขาจะอธิบายเรื่องความน่ากลัวของดินแดนแห่งไฟไปแล้วแต่มันก็ยังไม่น่าเชื่อ

ดินแดนลมดูเหมือนจะคิดว่าเขาแปลกไปหรือถึงขนาดสงสัยว่าในดินแดนแห่งไฟกำลังมีเรื่องอะไรบางอย่างอยู่

ไม่งั้นเขาก็คงไม่มาที่ดินแดนแห่งไฟโดยไม่แจ้งหรอก เขาคิดว่าองค์ชายทั้งสามแห่งดินแดนลมมาเพื่อตรวจดินแดนแห่งไฟของเขา

หนึ่งอาทิตย์ค่อยๆผ่านไปอย่างช้าๆ

พวกทหารก็ยังคงเฝ้าอยู่โดยไม่ล่าถอยไปไหน

มู่หรงเสวี่ยกัดริมฝีปากและไม่มีทางเลือกนอกจากจะต้องออกไป พวกเธอจะอยู่ในมิติลับตลอดไปไม่ได้ ยิ่งเวลาผ่านไปนานเท่าไร พวกเธอก็ยิ่งเสียเปรียบมากขึ้นเท่านั้น

ถ้าเธอออกไป เธอก็จะสามารถหาเส้นทางหนีอื่นๆได้

“จือหลิง เจ้าอยู่ที่นี่ ข้าจะออกไปข้างนอก” มู่หรงพูดกับพวกเขา

“ไม่ ไม่ได้ ข้าปล่อยให้เจ้าออกไปคนเดียวไม่ได้หรอกนะ” เฟิงจือหลิงพูดตอบออกไปโดยไม่ต้องคิดเลยด้วยซ้ำ
มู่หรงอดไม่ได้ที่จะส่ายหัว “เรื่องนี้ก็ไม่มีทางอื่นเหมือนกัน เราจะอยู่ในนี้ตลอดไปไม่ได้ ไม่ต้องห่วงนะ เขาไม่ทำร้ายข้าหรอก”

“เจ้ารู้ได้ยังไงว่าเขาจะไม่ทำร้ายเจ้า?” เพราะก่อนหน้านี้เฟิงจือหลิงถูกแยกออกจากมู่เทียนอย่างสิ้นเชิง เขาจึงไม่รู้ว่า มู่เทียนมีความหมายยังไงกับหวังฉิง

อันที่จริงถึงแม้ตอนนี้มู่เทียนจะอยู่ในชุดของผู้หญิง แต่เขาก็คิดอยู่เสมอว่ามู่เทียนเป็นผู้ชาย ยังไงซะมู่เทียนก็มีแหวนที่สามารถเปลี่ยนร่างผู้ชายให้เป็นผู้หญิงได้

“เพราะเขาอยากให้ข้าเป็นองค์หญิงของเขา ดังนั้นเขาจึงไม่ทำร้ายข้า ไม่ต้องห่วงนะ ข้าจะหาทางหนีออกมาให้เร็วที่สุด” มู่หรงพูดปลอบใจ

อย่างไรก็ตามหลังจากที่ได้ฟังเรื่องนี้ สีหน้าของ เฟิงจือหลิงก็เปลี่ยนไปทันที “เขาขอให้เจ้าเป็นองค์หญิงของเขางั้นเหรอ แต่เจ้าเป็นผู้ชายไม่ใช่เหรอ?”

เขารู้ว่าหวังฉิงมีเจตนาที่ไม่ดี อย่างที่คิดไว้เลยเขาเลวพอที่ขนาดผู้ชายด้วยกันก็ยังไม่เว้นเลย

เมื่อคิดถึงเรื่องนี้ สีหน้าของเฟิงจือหลิงก็เปลี่ยนไปอีกครั้งเพราะตัวเขาเองก็ไม่รู้ว่าจะช่วยยังไงเหมือนกัน?!!

“ใจเย็น ข้ามีวิธี” ปากของมู่หรงยกขึ้นเล็กน้อย เธอเกือบที่จะลืมไปแล้วว่าเฟิงจือหลิงไม่รู้เรื่องที่เธอเป็นผู้หญิง

“ไม่ ข้าไม่ได้พูดอะไรเลย” เฟิงจือหลิงไม่อยากที่จะนึกภาพมู่เทียนนอนอยู่เบื้องล่างชายคนอื่น มันจะทำเขาเป็นบ้า

มู่หรงไม่คิดเลยว่าเฟิงจือหลิงจะมีท่าทีใหญ่โตแบบนี้ แต่เธอรู้ว่าเขาเป็นห่วงเธอ

“ไม่เป็นไร ข้าเป็นหนุ่มแล้วและไม่มีอะไรที่จะเสียด้วย” มู่หรงหยักไหล่และพูดอย่างสบายใจ

“และอย่างที่เจ้ารู้ ถ้าสถานการณ์มันไม่ดีข้าก็เข้ามาซ่อนในมิติลับได้ แต่เจ้าจะออกไปข้างนอกไม่ได้ เจ้าไม่มีมิติลับ เจ้าจะตาย ข้าเป็นห่วงเจ้านะก็เลยไม่อยากให้เจ้าออกไปข้างนอก เจ้าเข้าใจหรือเปล่า?”

เฟิงจือหลิงขมวดคิ้วและสีหน้าของเขาก็ดูซีดเผือด

“เจ้า ระวังตัวด้วยนะ” สุดท้ายเฟิงจือหลิงก็กัดริมฝีปากและพูดประโยคนี้ออกไป

มู่หรงตบไปที่ไหล่ของเขา “ไม่ต้องห่วงนะ”

และวินาทีต่อมาเธอก็ออกมาจากมิติลับ

จู่ๆก็ปรากฏร่างของหญิงสาวสวยพร้อมด้วยใบหน้าที่งดงาม, คิ้วได้รูป, จมูกเป็นสันและริมฝีปากสีเชอร์รี่ เธอเปล่งประกายและให้ความรู้สึกที่ทรงเสน่ห์อย่างมาก

แต่ในสายตาของเหล่าทหารทำราวกับว่าเห็นศัตรูที่น่ากลัว พวกเขาต่างก็ยกหอกขึ้นมาและเล็งไปที่มู่หรงเสวี่ยที่ไม่รู้เรื่องอะไรด้วยเลย

มู่หรงหยักไหล่และเผยรอยยิ้มทรงเสน่ห์ เผยให้เห็นรอยยิ้มที่สวยงาม “ขอโทษนะ ข้าจะออกไปแล้ว”

จังหวะนี้ในสายตาของเหล่าทหารรู้สึกงุนงงไปหมด พวกเขาต่างก็เป็นกองทหารชุดแรกที่หวังฉิงเป็นคนฝึกดังนั้นจึงไม่สับสนกับอะไรง่ายๆ

“อย่าพยายามที่จะหนีเลย” ทหารคนหนึ่งร้องบอกขึ้นมา

มู่หรงยักไหล่อย่างไร้เดียงสา แล้วจึงกางมือออก “ข้าไม่ได้อยากที่จะหนี ข้าแค่อยากที่จะออกไป พวกเจ้าคงจะไม่รังแกเด็กสาวตัวเล็กๆหรอกนะ”

“ยืนอยู่ตรงนั้นและอย่าขยับ” มู่หรงเพียงแค่เดินไปก้าวเดียวก็ทำให้เหล่าทหารขนลุกขึ้นมาได้ทั่วทั้งตัว แต่ฝ่าบาทสั่งไว้ว่าห้ามทำอันตรายนางเด็ดขาด ดังนั้นพวกเขาจึงไม่กล้าที่จะทำอะไรทั้งนั้น

ทหารชุดดำรีบส่งคนไปแจ้งฝ่าบาทโดยเร็วที่สุด ในระหว่างนี้พวกเขาก็แค่ต้องเฝ้าเธอไว้
เมื่อได้รู้ว่าฝ่าบาทกำลังมา เขาจึงจะปล่อยให้มู่หรงเสวี่ยคลาดสายตาไม่ได้เลยแม้สักนิด

มู่หรงกลอกตา นี่ต้องใช้คนมาเฝ้าเธอเยอะขนาดนี้เลยงั้นเหรอ? ทหารนับร้อยคนกำลังจ้องมาที่เธออย่างไม่วางตา ราวกับว่าเธอมีสามหัวกับหกแขนงั้นแหละ

เธอเหนื่อยที่ต้องยืนอยู่ตลอดเวลา มู่หรงเสวี่ยจึงหยิบเก้าอี้นอนออกมาจากมิติลับโดยไม่สนใจสีหน้าบิดเบี้ยวของเหล่าทหาร เธอเอนนอนลงไปพร้อมทั้งหยิบผลไม้ออกมากัดกิน

แน่นอนว่าเพียงแค่ครึ่งชั่วโมงต่อมา เธอก็เห็นหวังฉิงที่กำลังเดินเข้ามา

“ออกไปให้พ้นทาง”

หวังฉิงแทบจะเดินมาหาเธอโดยไม่หยุด อย่างไรก็ตามเมื่อได้เห็นหน้าของมู่หรงในตอนนี้ เขาก็อดไม่ได้ที่จะเผยรอยยิ้มออกมาที่มุมปาก
“เจ้าจะต้องเจอดีแน่ๆ” หวังฉิงพูดออกมาด้วยน้ำเสียงเย็นชา

“กร๊อบ” มู่หรงเสวี่ยกัดผลไม้อีกคำแล้วจึงมองไปที่หวังฉิง

ท่าทางสบายๆราวกับว่าพวกเขาเป็นเพื่อนสนิทที่ไม่ได้เจอกันมานานมากแล้ว สุดท้ายหวังฉิงก็อดไม่ได้ เขาจับไปที่มือของมู่เทียนและดึงเข้ามาในอ้อมแขนเขาทันที กลิ่นที่คุ้นเคยทำให้ร่างกายของหวังฉิงผ่อนคลายไปได้อยู่สักพัก ยังไงซะเขาก็ชนะ ยังไงซะตอนนี้เธอก็มาอยู่ในอ้อมแขนเขาแล้ว