ส่วนที่ 5 ตอนที่ 53 งานแต่งงานของหลีสือ

เจาะเวลาสู่ต้าถัง

เจ้าหลีสือคนเลวถึงกับกล้าขอสินสอดทองหมั้น โดยบอกว่ายิ่งมากยิ่งดี ทั้งยังบอกอีกว่าอาคารหลังเล็กของเขาทรุดโทรมเกินไป หน้าบ้านและหลังบ้านไม่มีลานบ้าน จะปลูกหญ้าหรือต้นไม้อะไรก็ไม่มีสถานที่ที่เพียงพอ ภายหน้าหากมีบุตรแล้ว ทั้งครอบครัวจะเบียดเสียดกันอยู่ในอาคารหลังเล็กนี้ก็จะแลดูเบียดเสียดยิ่งนัก

 

 

ในเมื่อหลานชายเป็นเศรษฐีมั่งคั่ง เช่นนั้นก็ไม่ต้องเกรงใจแล้ว ได้ยินมาว่าหลานชายมีอาคารพร้อมลานบ้านหลังเล็กๆ อยู่ใกล้กับเชิงเขาซึ่งตกแต่งไว้อย่างวิจิตรสวยงามมาก เมื่อเปิดประตูออกก็เห็นภูเขา แม่น้ำตงหยางก็ไหลผ่านลานหลังบ้าน ทั้งยังมีท่าเรือเล็กส่วนตัวด้วย ในเมื่อยังปล่อยว่างอยู่เช่นนั้นก็ย้ายเข้าอยู่ถือเป็นเรือนหอไปเสียเลย ยามว่างก็ล่องแพไปตามสายน้ำ ช่างเป็นสุขเสียนี่กระไร

 

 

อวิ๋นเยี่ยถึงกับเลือดขึ้นหน้า โกรธเป็นฟืนเป็นไฟจะไปเอาเรื่องกับหลีสือ ใครจะรู้ว่ากลับถูกท่านย่าและป้าบังคับดึงตัวเข้าไปในห้อง ท่านป้าลูบหน้าอกให้เขาใจเย็นลงเพราะเกรงว่าเขาจะโกรธจนคลุ้มคลั่ง

 

 

ท่านย่าพูดราวกับไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรว่า “หลานชายที่น่ารัก ก็เพียงแค่อาคารหลังเล็กๆ เท่านั้น หากเขาต้องการก็ให้เขา ในฐานะที่เป็นอาจารย์แห่งยุค ไม่ว่าจะไปถึงที่ใดก็ยังคงเป็นคนเหนือคนอยู่ เพียงแค่อาคารหนึ่งหลังก็ไม่ได้มากมายอะไร มีคนอีกตั้งมากมายที่อยากจะมอบให้เขา ย่ารู้ว่าเจ้ารังเกียจที่หลีสือนั้นสูงวัยแล้วไม่คู่ควรกับอาหญิงเจ้า แต่ทว่าอาหญิงเจ้านั้นเต็มใจ ปีนี้หลีสืออายุห้าสิบเก้าปีแล้วทั้งยังเป็นคนที่เคยฝึกยุทธ์ มีสุขภาพร่างกายที่แข็งแรง ในตอนนั้นอาหญิงเจ้าต้องทนทุกข์ทรมานเป็นอย่างมากจึงต้องการคนสูงวัยมารักและเอ็นดูนาง เจ้าฟังคำของย่า อย่าได้ก่อเรื่องอะไร ตั้งใจส่งอาหญิงเจ้าออกเรือนไปให้ดีก็พอ นี่เป็นงานมงคลที่ดีงานหนึ่ง”

 

 

หลีสือชอบพิธีแบบโบราณสินสอดทองหมั้น แม่สื่อไม่มีขาดตกบกพร่อง ถึงแม้ว่าจะมีเงินน้อยไปเสียหน่อย หลังจากที่เขาส่งกำไลข้อมือนากประจำตระกูลเป็นสินสอด อาจารย์หลี่กัง อาจารย์อวี้ซันและอาจารย์หยวนจางต่างก็พากันกล่าวว่าเป็นของหมั้นที่ล้ำค่ายิ่งนัก

 

 

ครอบครัวของเขายากจนมาหลายชั่วอายุคน จนมาถึงรุ่นเขาจึงได้กินอิ่มท้อง การทำไร่ไถนาจากรุ่นสู่รุ่นนั้นฟังดูดี แต่ในความเป็นจริงแล้วล้วนแล้วแต่เลือดตาแทบกระเด็น หากชาวนาได้กินอาหารอิ่มท้องตลอดทั้งปีก็ถือว่าสวรรค์เมตตาแล้ว ทั้งยังต้องส่งให้บุตรเรียนหนังสืออีก เปลวไฟสงครามตั้งแต่ราชวงศ์สุยยังคงอยู่ไม่หมดสิ้นไป

 

 

กำไลข้อมือนากอันนี้เป็นของมารดาหลีสือที่เสียชีวิตไปแล้วซึ่งนำเข้าออกจากโรงรับจำนำไม่ต่ำกว่าสิบครั้ง หากมื้ออาหารของที่บ้านขัดสนเมื่อใด มารดาของเขาก็จำนำกำไลข้อมือไปที่โรงรับจำนำ ส่วนบิดาของเขาจะโหมทำงานอย่างไม่คิดชีวิตเพื่อไถ่ถอนกำไลข้อมือออกมา หลังจากการที่บิดาเขาเสียชีวิต ภาระอันหนักอึ้งในการไถ่ถอนกำไลข้อมือก็ตกอยู่ที่หลีสือแล้ว เพื่อกำไลข้อมืออันนี้ หลีสือเคยไปเลี้ยงวัวที่ทุ่งหญ้า ทำงานเป็นกุลีและเป็นแม้แต่เด็กส่งหนังสือในบ้านผู้มีฐานะ กล่าวได้ว่าเขาผ่านความขมขื่นมาทุกอย่างแล้วจริงๆ

 

 

ก่อนที่มารดาจะเสียชีวิต นางได้ถอดกำไลข้อมือจากข้อมือนางด้วยตนเองโดยไม่ยอมให้หลีสือฝังเป็นสมบัติพร้อมคนตาย โดยบอกว่าเพื่อเก็บไว้เป็นที่ระลึกสำหรับลูกสะใภ้ในวันหน้าของนาง จึงได้แต่ส่งมารดาจากไปพร้อมกับโลงศพธรรมดาๆ ที่ด้านในนั้นไม่มีสมบัติอะไรเลย

 

 

หลีสือเห็นกำไลข้อมือนากอันนี้ประหนึ่งคือชีวิต ไม่เคยให้ห่างกายและมักจะหยิบมันออกมาจากอกเสื้อเช็ดถูอยู่เป็นประจำ แต่ไม่ว่าจะเช็ดอย่างไร หยาดเหงื่อและน้ำตาของทั้งครอบครัวก็ไม่มีวันเช็ดถูออกไปได้

 

 

ในวันแต่งงาน หลีสือสวมชุดเกษตรกรและขับเกวียนเทียมวัวมา ซึ่งวัวนั้นผอมมาก อีกทั้งบนตัวยังเป็นโรคเรื้อนอีกด้วย อยากเห็นสภาพยากจนข้นแค้นมากเพียงไหนก็สามารถเห็นได้จากชายผู้นี้ ท่าทีที่แสดงออกถึงความจริงใจถึงเพียงนี้จริงๆ ที่อาจารย์หลายๆ ท่านแสดงออกมาทำให้อวิ๋นเยี่ยค่อนข้างโกรธเคือง ต่างก็ไม่ใช่คนดีเสียหน่อย งานแต่งงานที่สำคัญเช่นนี้ เจ้ากับขับรถเทียมวัวที่ใกล้ตายอันน่ารังเกียจมาเพื่อที่จะทำให้ตระกูลอวิ๋นต้องเสียหน้า

 

 

หลีสือดูราวกับว่ามองไม่เห็นสีหน้าที่ถมึงทึงของอวิ๋นเยี่ยและไม่สนใจอาการตกตะลึงของผู้คน เดินเข้าไปในสวนหลังบ้านของตระกูลอวิ๋นด้วยตนเอง มองหาอาหญิงที่ประดับประดาด้วยไข่มุกไปทั้งตัวแล้วจับมือนาง จากนั้นสวมกำไลข้อมือนากให้และพูดกับนางว่า “ข้ามีฐานะค่อนข้างต่ำต้อย วันนี้ข้าสามารถได้แต่งงานกับคุณหนูผู้มั่งมีนับเป็นวาสนาของข้า เพียงแต่ครอบครัวข้าไม่มีสิ่งของล้ำค่าใดๆ มีเพียงสิ่งนี้เท่านั้นที่มอบเป็นของขวัญให้ได้ ท่านแม่เคยมองมันล้ำค่าดั่งชีวิต ท่านพ่อเองก็เช่นกัน ของสิ่งนี้ก็เสมือนหนึ่งเป็นชีวิตข้าเช่นกัน บัดนี้ข้ามอบให้เจ้านั้น หวังเพียงว่าเราสองคนจะไม่พรากจากกัน ร่วมทุกข์ร่วมสุขกันชั่วชีวิต”

 

 

อาหญิงอวิ๋นน้อมกายคารวะอย่างอ่อนช้อย ร้องไห้กระซิกขอบคุณในความรักที่ลึกซึ้งของสามี ขณะที่หลีสือกำลังยืนยิ้มอย่างเบิกบาน นางก็ถอดเครื่องประดับล้ำค่าทั้งหมดออกจากร่างนางและสวมไว้เพียงกำไลนากอันนั้น แล้วจึงล้างเครื่องสำอางออก สวมไว้เพียงชุดแต่งงานที่นางตัดเย็บทีละเข็มด้วยตัวเองและไม่นำสิ่งของใดๆ ติดตัวไปเลย จึงยอมให้หลีสือผู้ซึ่งสวมเพียงเสื้อผ้าธรรมดาอุ้มขึ้นเกวียนเทียมวัว ยอมละทิ้งรถม้าหรูของตระกูลอวิ๋นราวกับไม่มีอะไร ก่อนออกเดินทาง หลีสือพูดกับอวิ๋นเยี่ยว่า “อีกสองสามวันเจ้ามาที่บ้านข้า ข้าจะจัดงานเลี้ยงฉลอง” เมื่อกล่าวจบก็ร้องเพลงราวกับแม่ทัพที่ได้รับชัยชนะกลับบ้านไปอย่างภาคภูมิใจ

 

 

ซินเย่ว์นั้นซาบซึ้งจนน้ำตาไหลรินดั่งสายน้ำ จับอกเสื้อของอวิ๋นเยี่ยไว้ไม่ยอมปล่อย เมื่อมองดูซินเย่ว์ที่ร้องไห้เหมือนแมวน้อย อวิ๋นเยี่ยจึงพูดอย่างดุดันว่า

 

 

“อีกครึ่งเดือนข้างหน้าข้าจะเลียนแบบหลีสือ หากำไลข้อมือนากมาสู่ขอเจ้าเช่นนี้บ้าง ดีหรือไม่”

 

 

ซินเย่ว์ร้องด้วยความตกใจ “ไม่ได้ ต้องถูกคนอื่นมองเป็นเรื่องตลก”

 

 

“ทำไมไม่มีใครหัวเราะเยาะหลีสือ แต่ต่างพากันหัวเราะเยาะตระกูลอวิ๋น”

 

 

“เพราะนั่นคืออาจารย์หลีสืออย่างไรล่ะ เขาสามารถทำได้ แต่เจ้าไม่ได้”

 

 

“ข้าเห็นเจ้าร้องไห้ฟูมฟายจึงคิดว่าเจ้าเองก็ชอบเช่นเดียวกัน ชวนให้ข้าโกรธมากจริงๆ”

 

 

อวิ๋นเยี่ยไม่ได้รู้สึกสนใจที่จะเฝ้าอยู่ที่ประตูเพื่อดูความคึกคัก ดึงซินเย่ว์กลับจวน เพิ่งจะเดินไม่ถึงสองก้าวก็ได้ยินหลี่กังถามขึ้นจากด้านหลังว่า “งานเลี้ยงตระกูลอวิ๋นจัดอยู่ที่ไหนกัน ข้าเตรียมพร้อมจะดื่มสามร้อยจอกให้สะใจอยู่”

 

 

อวิ๋นเยี่ยมือสั่นเทาสั่งให้คนรับใช้ที่บ้านเตรียมโต๊ะอาหาร ไม่มีเจ้าบ่าว ไม่มีเจ้าสาว มีเพียงเฒ่าผีสุรากลุ่มหนึ่งฉลองกันเองเท่านั้น เมื่อดื่มเหล้ามากเกินไปจึงเริ่มแต่งบทกวี ซึ่งร่ายบทกวียาวๆ ทั้งยังร่ายบทกวีกันมากมาย ซินเย่ว์อยู่ในตระกูลอวิ๋นยังจู้จี้มากกว่าอยู่ในบ้านของตนเองอีก กำกับดูแลแม่บ้านและคนรับใช้ใหญ่น้อยของตระกูลอวิ๋น สั่งให้ดูแลแขกที่มาอวยพรได้อย่างเรียบร้อย เมื่อได้รับคำชมจากเฉิงฮูหยินและหนิวฮูหยินอย่างอ้อมค้อมแล้ว ใบหน้าน้อยๆ ก็แดงระเรื่อขึ้นและภาคภูมิใจมาก

 

 

เมื่อแขกทยอยกลับไปจนหมด ซินเย่ว์ถือถาดไม้สักสีแดงนำอาหารมาส่งให้อวิ๋นเยี่ย ก็เห็นอวิ๋นเยี่ยยืนกำกับสาวใช้ที่คอยปรนนิบัติดูแลอาหญิง ให้เก็บข้าวของเครื่องประดับที่อาหญิงโยนระเกะระกะเต็มพื้นลงในกล่องและห่อให้เรียบร้อย จึงถามขึ้นว่า “อาหญิงไม่ต้องการแล้วไม่ใช่หรือ”

 

 

อวิ๋นเยี่ยยังพูดด้วยอารมณ์ขุ่นเคืองว่า “ใครบอกว่านางไม่ต้องการแล้ว”

 

 

“ข้าเห็นอาหญิงโยนข้าวของทิ้งทุกอย่าง จึงคิดว่านางไม่ต้องการแล้ว”

 

 

“เจ้าจะไปรู้อะไร” ก่อนหลีสือจะจากไปบอกข้าว่าเขาจะจัดเลี้ยงและเชิญข้าไป นั่นก็หมายถึงเขากำลังรบเร้าให้ข้าส่งข้าวของของอาหญิงไปให้เขาโดยเร็วรวมถึงสาวใช้ด้วย ตาเฒ่าสารเลว ไม่เพียงต้องการชื่อเสียงทั้งยังต้องการผลประโยชน์อีกด้วย ขยับเข้ามาที ขอข้าเอนพิงสักครู่ โกรธจนจะคลั่งใจตายอยู่แล้ว”

 

 

ขอเพียงซินเย่ว์อยู่กับอวิ๋นเยี่ย ท่านย่าจะไม่ยอมปล่อยให้พวกเสี่ยวยาเข้ามารบกวนอย่างเด็ดขาด โดยพยายามจะเหลือพื้นที่ส่วนตัวให้กับพวกเขาสองคน แต่ตอนนี้ยังคงไม่มีความคิดพิเรนทร์เหล่านั้นอีกแล้ว ดูท่าแล้วท่านย่าก็มีความอดทนเพียงสิบกว่าวันเท่านั้นเอง

 

 

“พี่เยี่ย เจ้าจะพูดคำพูดที่อาจารย์หลีสือพูดกับอาหญิงหรือไม่ เมื่อคิดถึงคำพูดพวกนั้นแล้วในใจรู้สึกเจ็บปวดมาก” ซินเย่ว์แนบอิงอยู่ที่แผ่นหลังของอวิ๋นเยี่ย มองดูเขากินข้าว  

 

 

“แน่นอนว่าต้องพูด แต่จะพูดได้ดีกว่าเขาเป็นพันเท่า หากข้าสามารถใช้วัวแก่ปางตายมาสู่ขอเจ้าได้ ข้ารับรองว่าจะพูดจนเจ้าฟังแล้วอาเจียนเลย เพียงแค่ในใจรู้สึกเจ็บปวดนั้นแค่เล็กน้อย”

 

 

“อันที่จริงแล้วข้าก็ไม่ได้ยืนกรานว่าต้องการสมบัติเหล่านั้น เพียงแค่อยากให้คนอื่นเห็นว่าเจ้ารักข้ามากเพียงไหน ข้าเป็นผู้หญิงที่มีความสุขที่สุดในโลก ชายที่ข้ารักที่สุดได้จัดพิธีแต่งงานที่ดีที่สุดเพื่อสู่ขอข้า”

 

 

คำพูดเหล่านี้ทำให้อวิ๋นเยี่ยถึงกับสะอึกไป หันกลับมาพูดกับซินเย่ว์ว่า “เจ้าเป็นภรรยาข้า นี่คือเรื่องที่กำหนดไว้แน่นอนแล้ว สวรรค์มอบเจ้ามาให้ข้า ข้าก็รับประกันว่าจะให้เจ้ามีความสุขและความเป็นอยู่ที่ดีตลอดชีวิตของเจ้า ผู้ชายมักจะพูดคำหวานให้คู่รักฟัง แต่จะไม่พูดให้ภรรยาของตนฟัง เพราะเขาคิดว่ามันไม่จำเป็น คำหวานเหล่านั้นเลื่อนลอยเกินไป การมอบชีวิตตนเองไว้ในกำมือของภรรยาจึงจะเรียกว่ารักนางจริง เจ้าเคยเห็นผู้ชายสักกี่คนที่พาผู้หญิงนอกบ้านเข้ามาอาศัยในบ้าน แล้วหย่าร้างกับภรรยากัน”

 

 

“ฮึ นั่นเรียกว่าหลงอนุแล้วกำจัดภรรยา หากถูกทางการจับได้อนุภรรยาจะต้องถูกฆ่าทั้งเป็น ซึ่งนี่เป็นข้อดีของกฎหมาย” ซินเย่ว์เป็นคนหนึ่งที่สนับสนุนกฎหมายการแต่งงานต้าถังเป็นอย่างมาก คุ้นเคยกับข้อกฎหมายจนไม่รู้จะคุ้นเคยได้อย่างไรอีกแล้ว นางรู้ถึงเรื่องการคงอยู่ของหลี่อันหลานและก็รู้ถึงการคงอยู่ของน่ารื่อมู่ แต่นางก็ยังมีความมั่นใจมาก ถึงแม้ว่าจะเป็นองค์หญิง หากแต่งงานเข้าตระกูลก็เป็นได้แค่อนุภรรยา อีกทั้งจากเบื้องลึกของเรื่องเหล่านั้นที่นางได้รู้มา ก็รู้ว่าอวิ๋นเยี่ยไม่ได้ชอบองค์หญิงมากมายเสียเท่าไร ซึ่งทำให้นางดีใจอยู่ลึกๆ มาเป็นเวลานาน สำหรับน่ารื่อมู่นั้นซินเย่ว์ยังไม่ได้ใส่ใจ ชาวเผ่าทูเจวี๋ยคนหนึ่งถือดีอะไรมาต่อสู้กับนาง สาเหตุที่อวิ๋นเยี่ยเป็นห่วงเป็นใยน่ารื่อมู่นั้นก็เพียงเพราะเรื่องรากฐานของตระกูล เพื่อให้ในอนาคตลูกๆ ได้มีสถานที่ในการหลบหนีสงคราม ให้น่ารื่อมู่เป็นอนุภรรยา ซินเย่ว์จะยกสองมือสองเท้าสนับสนุนอย่างเต็มที่

 

 

ผู้ชายคนอื่นมักมีบุตรก่อนที่จะแต่งงาน ไม่รู้ว่ายุ่งเกี่ยวกับสาวใช้ส่วนตัวในเรือนไปมากเท่าไร แต่ผู้ชายของนางไม่เคยมีสาวใช้ส่วนตัวอะไรเลย เขาได้รับการดูแลจากผู้อาวุโสที่บ้านมาโดยตลอด ได้ยินท่านซุนบอกว่าจนถึงตอนนี้เสี่ยวเยี่ยก็ยังคงเป็นหนุ่มพรหมจรรย์ เขาไม่เคยทำตัวเหลวไหลก่อนแต่งงาน แม้แต่น่ารื่อมู่ก็ไม่ได้แตะต้องก็เพื่อรอที่จะแต่งงานกับตนเอง เพียงแค่ลองเปรียบเทียบดู ซินเย่ว์ก็รู้สึกพอใจอย่างหาที่สุดไม่ได้ อย่าเห็นว่าเขาชอบหาเศษหาเลยกับตนเองอยู่บ่อยครั้ง แต่กับคนอื่นกลับเป็นสุภาพชนมาก เพราะว่านางเป็นภรรยาของเขาจึงไม่จำเป็นต้องเสแสร้งแกล้งแสดงให้ผู้อื่นดู การใช้ชีวิตเช่นนี้จึงจะสามารถอยู่กันได้อย่างยาวนาน ท่านแม่เคยบอกเอาไว้แต่เนิ่นนานแล้ว “คิดอะไรอยู่หรือ น้ำลายไหลออกมาแล้ว ประเดี๋ยวไปช่วยท่านย่าจัดการเรื่องบัญชีของที่บ้านเสียหน่อย เมื่อคืนข้าอ่านแล้วมันช่างยุ่งเหยิงจริงๆ ท่านย่าอายุมากแล้ว คงไม่สามารถดูแลเรื่องเหล่านี้ได้อีกต่อไป ภายหน้าคงต้องฝากเอาไว้ในมือเจ้า ท่านเองก็ควรจะได้เวลาพักผ่อนและเสพสุขกับบั้นปลายชีวิตเสียที”

 

 

เสียงของอวิ๋นเยี่ยได้ดึงซินเย่ว์ออกมาจากความคิดที่เหลวไหลไร้สาระและจู่ๆ ก็จุมพิตที่ใบหน้าของอวิ๋นเยี่ยแล้วก็รีบวิ่งหนีจากไป ไม่ได้คิดที่จะไล่ตามไปเพราะเท้ายังเจ็บอยู่มาก ซินเย่ว์เป็นเด็กผู้หญิงที่เข้าใจเหตุผลมากคนหนึ่ง อวิ๋นเยี่ยรู้สึกโชคดีที่เลือกซินเย่ว์  ไม่เช่นนั้นเพียงแค่เรื่องวุ่นวายที่บ้านก็จัดการไม่เรียบร้อยแล้ว เมื่อคิดถึงนิสัยประหลาดของหลี่อันหลาน ในใจก็รู้สึกหวาดหวั่น หากแต่งงานกับนาง คนมากมายในตระกูลจะยังมีชีวิตรอดหรือไม่ จึงส่ายหัวละทิ้งความคิดเหล่านี้ออกไปให้หมด

 

 

อวิ๋นเยี่ยเดินกะโผลกกะเผลกถึงลานหน้าบ้าน ไม่รู้ว่าร่างกายของเหล่าจวงเป็นอย่างไรบ้าง ไม่รู้ว่าบริเวณแผลเน่าเฟะจะสมานตัวหรือยัง ภรรยาของเขาช่างทำให้รู้สึกเป็นกังวลยิ่งนัก ทำอะไรหยาบกระด้าง ไม่ฉลาดเอาเสียเลย เหล่าจวงนั้นเป็นเพราะเห็นว่านางเป็นคนแข็งแรงและให้กำเนิดบุตรง่าย จึงยอมทุ่มเงินเป็นจำนวนมากเพื่อแต่งงานกับนาง ใครจะรู้ว่าหนึ่งปีผ่านไปก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้น หวังว่าเหล่าจวงจะไม่ถูกนางทำให้คลั่งใจตายเสียก่อน

 

 

อวิ๋นเยี่ยนั้นคิดมากเกินไป เมื่อก้าวเข้าประตูก็เห็นเหล่าจวงกินโจ๊กที่ภรรยากำลังป้อนให้อยู่ เมื่อเห็นโหวเหยียเข้ามาก็รีบลุกขึ้นทำการคารวะ อวิ๋นเยี่ยพยุงเหล่าจวงไว้ไม่ให้เขาลุกขึ้นมา แล้วแสดงท่าทีให้ภรรยาเขาป้อนโจ๊กต่อไป หลายครั้งหลายคราที่ภรรยาเขาเกือบจะป้อนโจ๊กใส่จมูกของเหล่าจวง แววตาที่อวิ๋นเยี่ยมองมาที่ภรรยาเหล่าจวงนั้นสร้างแรงกดดันให้นางมากเกินไป เหล่าจวงจึงยิ้มอย่างน่าละอาย พร้อมเหยียดแขนอีกข้างที่ไม่มีบาดแผลออกมาจับชามโจ๊กไว้แล้วดื่มรวดเดียวจนหมด แล้วให้ภรรยาตนกลับไปที่ห้องด้านหลังห้ามออกมาเด็ดขาด

 

 

“ช่างขายหน้าโหวเหยียยิ่งนัก เป็นชาวบ้านตัวเล็กๆ ที่ไม่เคยเห็นโลกกว้างมาก่อน ทำอะไรก็เงอะงะ สอนอะไรก็ไม่จำเลย” เหล่าจวงพยายามแก้ต่างให้กับภรรยาตนเอง