ส่วนที่ 5 ตอนที่ 54 ลางบอกเหตุถึงสิ่งที่กำลังจะปะทุขึ้น

เจาะเวลาสู่ต้าถัง

อาการบาดเจ็บของเหล่าจวงฟื้นตัวดีขึ้นมาก บริเวณที่เป็นเนื้อเน่าเริ่มตกสะเก็ดสีดำหนาขึ้นมาหนึ่งชั้น หลังจากนั้นอีกไม่กี่วันสะเก็ดแผลก็จะหลุดออกเอง ชายผู้ดุดันปานพยัคฆ์เก่งกาจดุจมังกรก็จะปรากฏตัวขึ้นอีกครั้ง ตอนนี้ตระกูลอวิ๋นขาดเขาไม่ได้แล้ว

 

 

“ถือโอกาสที่กำลังรักษาตัวใช้เวลาอยู่กับภรรยาให้มากขึ้น ความอกตัญญูมีหลายอย่าง แต่การไม่ทำหน้าที่ของคนรุ่นหลังให้สมบูรณ์ถือว่าอกตัญญูอย่างที่สุด คนครอบครัวเจ้าต้องพลัดพรากจากกันในสงคราม ตอนนี้ก็เหลือเจ้าเพียงคนเดียว อย่างไรก็ควรจะต้องมีคนสืบทอดตระกูลต่อไป ข้าเองก็ใกล้จะแต่งงานแล้ว เราสองพี่น้องมาแข่งกันว่าใครจะได้อุ้มลูกคนแรกก่อน”

 

 

ความสัมพันธ์ที่มีต่อเหล่าจวงคือมิตรภาพที่แลกได้ด้วยชีวิต หากมีใครในโลกนี้ที่เต็มใจเสียสละชีวิตเพื่อตัวเอง คนคนนั้นจะต้องเป็นเหล่าจวงอย่างไม่ต้องสงสัย ไม่ว่าจะมองจากด้านใดเหล่าจวงในความรู้สึกของอวิ๋นเยี่ยนั้นได้ข้ามผ่านความสัมพันธ์ระหว่างนายกับบ่าวไปนานแล้ว จะยอมรับว่าเขาเป็นคนในครอบครัวจึงไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร

 

 

แต่คำพูดนั้นไม่จำเป็นต้องกล่าวออกมาอย่างชัดเจน ในใจเหล่าจวงก็เข้าใจดีว่า การที่ท่านย่าเรียกให้เขาย้ายครอบครัวมาอยู่ที่ลานหน้าบ้านก็เสมือนเป็นการบอกทุกอย่างอย่างชัดเจนแล้ว รอหลังจากงานแต่งงานของโหวเหยียเสร็จสิ้นแล้ว ก็จะสามารถเข้ารับใช้ตระกูลหลักได้อย่างเป็นทางการ เมื่อคิดถึงตรงนี้แล้ว จิตใจของเหล่าจวงก็รู้สึกอบอุ่นใจขึ้นมาในทันใด

 

 

นี่จะเป็นเรื่องดีต่อลูกหลานหลายชั่วอายุคน ไม่กล้าทำอะไรบุ่มบ่ามผลีผลาม

 

 

“ขอแสดงความยินดีกับโหวเหยียด้วย ข้าน้อยจะสามารถนำไปเปรียบเทียบกับท่านได้อย่างไร มีโอกาสได้พึ่งใบบุญของท่านเพียงเล็กน้อยข้าน้อยก็พึงพอใจเป็นที่สุดแล้ว”

 

 

“ระหว่างพวกเราจำเป็นต้องใช้คำพูดไร้สาระเช่นนี้ด้วยหรือ การรีบฟื้นฟูรักษาร่างกายจึงจะเป็นเรื่องที่ควรทำ เมื่อถึงคราวมีบุตรเขาจะได้แข็งแรง” อวิ๋นเยี่ยเหลือบมองไปที่เหล่าจวง คนคนนี้นี่นะ ห้ามให้เกี่ยวพันถึงผลประโยชน์ เมื่อเกี่ยวพันถึงผลประโยชน์ของตนเองก็จะกลายเป็นคนน่ารังเกียจขึ้นมาทันที ชายอกสามศอกที่ดีคนหนึ่งเพื่ออนาคตของภรรยาและลูกๆ ถึงกับยอมทำตัวเหมือนเต่าหดหัว

 

 

เขาไม่มีอารมณ์ที่จะพูดคุยกับเต่าหดหัว เพราะมันชวนให้เกิดอาการคลื่นไส้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งชายอกสามศอกที่แข็งแกร่งเสแสร้งเป็นเต่าหดหัวนั้น ยิ่งชวนให้รู้สึกสะอิดสะเอียนกว่าเดิม

 

 

แสงเทียนในห้องของท่านย่ายังคงสว่างอยู่ เห็นเพียงสาวใช้เดินเข้าๆ ออกๆ ไม่รู้ว่ากำลังวุ่นวายอะไรกันอยู่ อวิ๋นเยี่ยจึงเดินเข้าไป เห็นท่านย่าถือเทียนไขพลางค้นหาของใน**บด้วยความลำบาก ในขณะที่เหล่าสาวใช้ยืนดูข้างๆ โดยไม่ช่วยอะไรเลย

 

 

“พวกเจ้าตาบอดกันหมดหรืออย่างไร ปล่อยให้ท่านย่ายุ่งอยู่ลำพัง พวกเจ้าไม่รู้จักเข้าไปช่วยหรือ ตามใจจนกลายเป็นอะไรไปหมดแล้ว” อวิ๋นเยี่ยโกรธมาก เห็นทีว่ากฎบ้านคงต้องมีการปรับเปลี่ยนเสียแล้ว หากปล่อยให้เป็นเช่นนี้ต่อไปจะใช้ได้ที่ไหนกัน

 

 

บรรดาสาวใช้ตกใจกลัวอย่างมากจนคุกเข่าลง ก้มหน้าไม่กล้าพูดอะไรเลย ท่านย่าจึงพูดกับอวิ๋นเยี่ยว่า “เยี่ยเอ๋อร์ อย่าตำหนิพวกนางเลย ของเหล่านี้ย่าไม่อนุญาตให้พวกนางขยับเขยื้อนเอง” เมื่อพูดจบก็ไล่สาวใช้ทั้งหมดออกไป

 

 

อวิ๋นเยี่ยเดินเข้ามาดูจึงได้รู้ว่า ที่แท้เป็นภาพแบบก่อสร้างของเขาเอง และเอกสารร่างบางส่วนที่เกี่ยวกับแคลคูลัสล้วนแล้วแต่อยู่ใน**บนั้นทั้งหมด แม้แต่รูปวาดการ์ตูนหลายๆ รูปที่เขาวาดไปตามอารมณ์ก็ถูกท่านย่าใช้เชือกป่านเย็บเข้าเล่มแบ่งแยกประเภท วางเรียงไว้ใน**บอย่างเรียบร้อย

 

 

“ท่านย่า ท่านเข้านอนแต่หัวค่ำเถิด อย่าเอาแต่ค้นหาของเหล่านี้เลย ถ้ามันหายไป หลานวาดขึ้นใหม่ก็ได้ ไม่ต้องเห็นมันเป็นของล้ำค่าเช่นนี้” อวิ๋นเยี่ยหยิบภาพแบบก่อสร้างจากมือท่านย่าแล้วจับมันม้วนขึ้น ผูกด้วยเส้นผ้าแพร จากนั้นจึงวางกลับเข้าไปใน**บไม้

 

 

“ห้ามมองข้ามอย่างเด็ดขาด ของเหล่านี้ล้วนเป็นสมบัติอันล้ำค่า แม้แต่ภาพวาดที่เจ้าวาดก็แสดงออกถึงส่วนลึกในใจออกมาอย่างชัดเจน เจ้าดูหมูตัวนี้สิ อ้วนพีน่ารักชวนมอง น่ารักกว่าหมูที่ชื่อฮันฮันที่เสี่ยวยาเลี้ยงเป็นไหนๆ อาหญิงเจ้าออกเรือนไปแล้ว ยังอยากจะขอเลือกแบบไปทำลายปักผ้าจากที่นี่สักแบบหรือสองแบบ ย่ายังไม่อนุญาตเลย ออกเรือนเป็นคนของตระกูลอื่นแล้วยังจะคิดถึงของรักของหวงของที่บ้านอีก เลี้ยงลูกสาวนั้นไม่ดีเลยจริงๆ”

 

 

ท่านย่าบ่นกระปอดกระแปดกับเรื่องเล็กๆ น้อยๆ ในการใช้ชีวิตของที่บ้าน เห็นหลานชายจอมฟุ่มเฟือยจัดเรียงของใน**บก็บังเกิดความสุขจากก้นบึ้งของหัวใจ ไม่รู้ว่าตระกูลอวิ๋นต้องสั่งสมบุญมากี่ร้อยปีและไม่รู้ว่าต้องสวดมนต์เคาะปลาไม้แตกไปมากเท่าไร สวรรค์จึงได้ส่งเด็กดีเช่นนี้มาให้ตระกูลอวิ๋นพึ่งใบบุญ อย่าว่าแต่พรั่งพร้อมด้วยความรู้ ทั้งยังมีความฉลาดปราดเปรื่อง เพียงแค่จิตใจที่เป็นห่วงครอบครัวหากเด็กคนนี้จะเป็นเด็กจอมล้างผลาญจริงนางก็ยังยอมรับได้

 

 

“เยี่ยเอ๋อร์ ย่ารู้ว่าเจ้าไม่พอใจกับการแต่งงานของอาหญิงเจ้า คิดว่าย่าเห็นอาหญิงเป็นเสมือนสิ่งของมอบให้กับหลีสือ ในใจรู้สึกว่าย่าไร้หัวใจใช่หรือไม่”

 

 

อวิ๋นเยี่ยฝืนใจหันหลังกลับ คุกเข่าลงพูดกับท่านย่าว่า “หลานเป็นลูกผู้ชายอกสามศอก ยอมหักไม่ยอมงอ ในฐานะที่เป็นผู้นำตระกูลก็รู้ดีว่าไม่ควรทำอะไรตายตัวจนเกินไป หากตระกูลอวิ๋นต้องการบรรลุเป้าหมาย พวกเราสามารถวางแผนการหรือจะใช้เล่ห์เหลี่ยมเพื่อเป้าหมายก็ย่อมได้ มันไม่ใช่ประเด็นอะไร  แต่การนำคนในตระกูลไปแลกกับผลประโยชน์ แม้จะเป็นผลประโยชน์มากมายมหาศาล ข้าก็ยังรู้สึกอัปยศอดสูอยู่ดี ท่านย่า นี่คือความรู้สึกในใจของหลาน หากท่านโกรธจะตีหลานก็ได้ แต่อย่าอารมณ์เสียจนทำร้ายสุขภาพตนเองเด็ดขาด”

 

 

ท่านย่ายิ้มและเดินมาเบื้องหน้าอวิ๋นเยี่ย โน้มตัวลงกอดหลานชาย กอดศีรษะหลานชายแนบอกนางพลางลูบผมอวิ๋นเยี่ยพลางพูดว่า “ย่าไม่ได้โกรธ ย่าดีใจ นี่สิจึงจะเป็นคำพูดของผู้นำตระกูลอวิ๋น พวกผู้หญิงจะไม่มีความคิดเช่นนี้และไม่รู้จักใช้วิธีการเหล่านี้ด้วย มีแต่ลูกผู้ชายเท่านั้นที่จะคิดอย่างนี้ได้ ย่ามีความสุขมากจนแทบอยากจะตายไปในตอนนี้เลย จะได้ไปบอกบรรพชนเราเกี่ยวกับข่าวดีของหลานชายของตระกูลอวิ๋นเสียจริง

 

 

เพียงแต่หลานรัก เรื่องนี้เจ้าอาจจะคิดผิดไปหน่อยแล้ว ขณะที่แต่งงานไป เจ้าเห็นว่าอาหญิงเจ้าไม่เต็มใจแม้เพียงสักนิดอย่างนั้นหรือ”

 

 

อวิ๋นเยี่ยเอียงคอนั่งคิดอยู่เป็นนาน ก็ไม่เห็นว่าอาหญิงจะมีอาการโอดครวญเลยแม้แต่นิดเดียวจริงๆ จึงพูดว่า “นางอยากแต่งงานจนจะบ้าอยู่แล้ว เมื่อมีชายชรามาสู่ขอก็ดีใจจนทำอะไรไม่ถูก ที่จริงแล้วนางเพียงแค่อดทนรออีกสักระยะหนึ่ง ขอให้กองทหารเดินทางกลับมา หลานจะต้องช่วยเลือกหาชายชาตรีในกองทัพที่เพียบพร้อมกับนางทั้งอายุและฐานะที่เท่าเทียมกันให้นางอย่างแน่นอน จำเป็นต้องรีบร้อนออกเรือนด้วยอย่างนั้นหรือ”

 

 

ท่านย่าตบศีรษะอวิ๋นเยี่ยเบาๆ ด้วยความเอ็นดู “อยากจะพูดอะไรก็ตามใจ แต่เจ้าดูถูกอาหญิงของเจ้ามากเกินไป ในช่วงสองปีที่ผ่านมา เรื่องน้อยใหญ่ในบ้านก็ได้นางเป็นคนดูแลจัดการ ผู้คนรอบกายที่ติดต่อกับนางมีคนไหนบ้างที่ไม่ใช่ผู้ที่มีฐานะร่ำรวย ตอนนี้นางกลายเป็นคนหัวสูงไปแล้ว คนหยาบกระด้างในกองทัพไม่แน่ว่าจะอยู่ในสายตานาง นอกจากนี้บางที คนที่เหมาะสมกับนางตอนนี้ก็คงมีอนุภรรยานับไม่ถ้วนแล้ว พวกเขาไม่กล้าดูหมิ่นเหยียดหยามผู้หญิงตระกูลอวิ๋น ย่อมต้องยกให้เป็นภรรยาหลวง อาหญิงเจ้าเห็นการแก่งแย่งชิงดีชิงเด่นกันของเรือนหลังมานักต่อนักแล้ว ตอนนี้นางไร้สิ้นซึ่งความงามแล้ว จะให้ไปแข่งขันกับหญิงพราวเสน่ห์เหล่านั้นได้อย่างไรกัน เมื่อมีเจ้าอยู่จะไม่มีใครกล้ารังแกนาง ข้อนี้นางรู้ดี แต่เรื่องสกปรกของเรือนหลัง นางจะมาขอให้เจ้าช่วยเหลือได้หรือ

 

 

แต่การแต่งงานกับหลีสือนั้นต่างกัน เขามีทั้งฐานะและตำแหน่งอีกทั้งยังเป็นโสด ถึงแม้ว่าอาจจะอายุมากไปสักนิดแต่เขาก็ยังสุขภาพแข็งแรงดีให้มีชีวิตอยู่อีกยี่สิบปีก็ยังไม่เป็นปัญหา อาหญิงเมื่ออยู่ต่อหน้าเจ้านั้นยิ่งใหญ่แต่เมื่ออยู่ต่อหน้าหลีสือนางก็เป็นหญิงตัวเล็กๆ ย่อมต้องได้รับการโปรดปราน ถึงแม้ว่าพวกเขาจะยากจนไปเสียหน่อย แล้วเป็นเช่นไร ตระกูลอวิ๋นมีหรือจะปล่อยให้พวกเขาใช้ชีวิตอย่างยากลำบาก อาหญิงของเจ้ามีสมบัติส่วนตัวอยู่จำนวนหนึ่ง เพียงแค่ส่งไปให้พวกเขา ก็เพียงพอที่จะให้ใช้กันไม่หมดไม่สิ้น ดังนั้นหลานชาย นี่จึงถือเป็นเรื่องมงคลที่ดีมาก”

 

 

หลังจากฟังคำพูดของท่านย่าก็พบว่าตัวเองค่อนข้างจะเห็นด้วยแล้ว ในยุคสมัยที่ฐานะอยู่เหนือทุกอย่างเรื่องการแต่งงานของชายชรากับหญิงอ่อนวัยนั้นมีให้เห็นกันอยู่ร่ำไป แม้แต่องค์หญิงยังแต่งงานกับลิงป่าได้ อาหญิงพึงพอใจกับการแต่งงานของตนเองก็ไม่น่าแปลกใจอะไรเลย เรือนหลังของตระกูลอวิ๋นเงียบสงบไม่มีความยุ่งเหยิง แต่ไหนแต่ไรมาไม่เคยมีความวุ่นวายเกิดขึ้น แน่นอนว่าหวังเป็นอย่างยิ่งว่าอนาคตภายหน้าตนเองก็จะได้มีชีวิตที่สงบสุขเช่นนี้ต่อไป

 

 

ฟ้ามืดแล้ว อวิ๋นเยี่ยจึงพยุงท่านย่าให้เข้านอนพักผ่อนบนเตียงและพับมุมผ้าห่มให้ แล้วสั่งสาวใช้ให้คอยดูแลให้ดี จากนั้นก็เดินกลับห้องไปภายใต้แสงจันทร์ เมื่อแก้ปมในใจได้แล้ว จึงเดินอย่างสบายอกสบายใจมีความสุข

 

 

เมื่อได้ใช้ชีวิตที่สุขสบายย่อมต้องมีความสุขเป็นอย่างมาก เช้าวันใหม่มาเยือนอีกครั้ง บรรดาคนรับใช้น้อยใหญ่ในบ้านตระกูลอวิ๋นต่างก็วุ่นวายกันยกใหญ่ พวกเขาทั้งหมดกำลังยุ่งอยู่กับการเตรียมงานแต่งงานของโหวเหยียที่จะมาถึงในอีกสามวันให้หลัง พ่อบ้านใหญ่เฉียนทงยุ่งมากจนเท้าแทบไม่ติดพื้น เขานั่งรถม้าอย่างง่ายของตระกูลอวิ๋นเข้าออกคฤหาสน์ของหลายๆ แห่งไม่ว่างเว้น เดิมทีเทียบเชิญควรจะให้ผู้อาวุโสในตระกูลนำมามอบให้ด้วยตนเองจึงจะเหมาะสม แต่ตระกูลอวิ๋นมีผู้ชายเพียงคนเดียวเท่านั้น ผู้อาวุโสทั้งหมดบ้านล้วนเป็นผู้หญิง มีหรือจะสะดวกมาแจกเทียบด้วยตนเอง โชคดีที่เฉียนทงเป็นคนที่พูดจานอบน้อม ทุกคนจึงเข้าใจถึงความยากลำบากและให้อภัยเรื่องที่ตระกูลอวิ๋นนั้นมีผู้ชายน้อยและรับเทียบเชิญอย่างยินดี

 

 

หลี่ซื่อหมินส่งคนนำภาพอักษรมาให้โดยเขียนว่า “แม่ศรีเรือน” ซึ่งเป็นการชื่นชมซินเย่ว์อย่างชัดเจน ไม่กล่าววิพากษ์วิจารณ์อะไรอวิ๋นเยี่ยเลย แต่จั่งซุนนั้นกลับให้มามากมาย เครื่องประดับศีรษะหนึ่งชุดที่ราชนิกุลใช้โดยเฉพาะ เดิมนั้นตระกูลอวิ๋นไม่มีคุณสมบัติที่จะสวมใส่สิ่งเหล่านี้ แต่หากเป็นการพระราชทานนั้นก็ต่างกัน ซึ่งถือเป็นเกียรติอย่างยิ่ง หลี่เฉิงเฉียนรู้ว่าจะทำให้อวิ๋นเยี่ยมีความสุขได้อย่างไร จึงได้ส่งอาหารคาวมาอย่างเปิดเผย ทองก้อนหนึ่งถาดได้ชวนให้ผู้ที่พบเห็นตาลาย ด้านบนประทับตราราชสำนักอย่างชัดเจน ซึ่งสิ่งนี้ไม่ได้มีไว้เพื่อใช้จ่ายแต่ให้เพื่อเป็นเงินขวัญถุง แม้แต่หลี่หยวนก็มอบหยกให้หนึ่งคู่

 

 

ผู้ที่นำของขวัญจากราชนิกุลมามอบให้คือขันทีอู๋เสอแห่งเยี่ยถิงจวี๋ ตาเฒ่าผู้นี้ทำให้อวิ๋นเยี่ยรู้สึกว่าเขาเป็นเหมือนอรสพิษที่ไหลลื่นพันอยู่รอบคอดึงอย่างไรก็ดึงไม่พ้นคอ รอยยิ้มก็แฝงไว้ด้วยเลศนัย ประสานมือกล่าวคำอวยพรอันเป็นมงคลดังเสมือนหนึ่งท่องจำมา “อวิ๋นโหวอายุเพียงน้อยนิดก็มีตำแหน่งใหญ่โต  เข้ารับราชการทั้งยังได้เป็นถึงโหวเหยียอีก ทั้งตอนนี้ก็ยังจะจัดงานมงคลสมรส ความโปรดปรานของราชนิกุลก็ยิ่งไม่เคยมีมาก่อน ไท่ซั่งหวงไม่ยุ่งเกี่ยวกับเรื่องราวของโลกภายนอกมานานยังส่งของขวัญชิ้นใหญ่ให้ด้วย ช่างเป็นเรื่องที่น่ายินดีจริงๆ”

 

 

ตาเฒ่านั่นไม่ได้มีเจตนาดี เขากล้าพูดต่อหน้าสาธารณชนว่าไท่ซั่งหวงจะตัดสัมพันธ์กับอวิ๋นเยี่ยแล้วแต่ก็ยังไปมาหาสู่กันอีก แม้แต่ผียังรู้ว่าหลี่หยวนถูกลูกชายของเขาบีบให้ลงจากบัลลังก์ กล่าวเช่นนี้ก็เหมือนกับอวิ๋นเยี่ยตั้งใจที่จะช่วยหลี่หยวนฟื้นฟูบัลลังก์

 

 

เหล่าขุนนางที่สร้างความดีความชอบที่อยู่ในเหตุการณ์ต่างก็พากันดูผิดแผกไป ฐานันดรศักดิ์ของพวกเขาล้วนแล้วแต่ได้รับมาจากการโค่นหลี่หยวนลงจากบัลลังก์ จึงมีความอ่อนไหวต่อคำพูดเหล่านี้มากที่สุด พร้อมใจกันหยุดพูดทักทาย รอฟังว่าอวิ๋นเยี่ยจะตอบว่าอย่างไร อู๋เสอก็สอดมือในแขนเสื้อรออวิ๋นเยี่ยตอบคำ

 

 

อวิ๋นเยี่ยเก็บรอยยิ้ม มองดูจนอู๋เสอรู้สึกค่อนข้างเก้ๆ กังๆ จึงพูดขึ้นว่า “ฝ่าบาททรงสั่งให้เจ้านำของขวัญมาให้ หรือว่าทรงมีพระดำรัสที่แปลกประหลาดเหล่านี้มาถึงข้าด้วย ขันทีสามารถพูดกล่าวแทนฝ่าบาทได้ตั้งแต่เมื่อไหร่กัน เจ้าเห็นพระราชโองการเป็นอะไรกัน หากวันนี้ข้าตัดศีรษะเจ้าที่นี่ อยากจะดูว่ามีใครกล้ามาเอาเรื่องกับข้าบ้าง แม้แต่ฝ่าบาทก็ต้องทรงชมว่าข้าทำได้ดี ยังไม่ถอยกลับไปอีก”

 

 

สีหน้าของอู๋เสอนั้นน่าตลกมาก ประเดี๋ยวดีประเดี๋ยวร้าย สองมือสั่นเทาอยู่ในแขนเสื้อไม่ยอมหยุด เพราะรู้ว่าเขาเป็นยอดฝีมือท่านหนึ่ง อาจารย์หลีสือที่ได้รับราชโองการมาพร้อมกันจึงเดินเบี่ยงตัวขึ้นมาป้องกันอวิ๋นเยี่ยไว้ด้านหลังโดยไม่ได้พูดอะไร

 

 

อวิ๋นเยี่ยพูดอย่างดุดัน แต่เขาไม่มีความกล้าที่จะจัดการอู๋เสอจริงๆ อู๋เสอกลับยื่นมือออกจากแขนเสื้อโดยถือผ้าเช็ดหน้าไว้ในมือ ยิ้มตาหยีพูดกับอวิ๋นเยี่ยว่า “นี่เป็นผ้าเช็ดหน้าปักที่องค์หญิงใหญ่สั่งให้ข้าน้อยนำมามอบให้ท่านขณะที่กำลังจะออกจากวัง ขอให้อวิ๋นโหวรับไว้ด้วย” เมื่อพูดจบก็มือสั่นเทาแล้วจากไป

 

 

สีหน้าของทุกคนจึงยิ่งดูแปลกไปกว่าเดิม ความหมายที่ผู้หญิงมอบผ้าเช็ดหน้าให้กับผู้ชายนั้นไม่ต้องกล่าวก็เป็นที่รู้กันอย่างชัดเจน เมื่อไม่นานมานี้ องค์หญิงอันหลานได้รับพระราชทานสมรสกับคนป่าเถื่อนในหลิ่งหนานจนกลายเป็นที่ขบขันกันอยู่ระยะหนึ่ง ต่อมาไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น ราชาแห่งแดนเถื่อนกลับถูกจับขังคุกหลวง ได้ยินว่าถูกทรมานต่อเนื่องทุกวันไม่หยุดหย่อน การอภิเษกขององค์หญิงจึงล่าช้าออกไป ทุกคนต่างก็บอกว่าองค์หญิงนั้นทรงโชคดีที่สามารถหลุดพ้นจากการแต่งงานไปยังดินแดนรกร้างอันห่างไกล

 

 

เรื่องที่น่าแปลกอีกเรื่องหนึ่งคือถังเจี่ยนที่กำลังเป็นที่โปรดปรานก็รีบถวายฎีกาขอรับโทษในทันทีทันใด ซึ่งโทษที่ระบุไว้ข้างต้นนั้นไม่ชัดเจน แต่จิตใจที่รู้สึกผิดนั้นกลับจริงใจอย่างยิ่ง ทุกคนต่างมองออกว่านี่ไม่ใช่การเล่นละคร แต่กำลังเป็นการขอรับโทษจริงๆ

 

 

ตระกูลใหญ่ตระกูลไหนบ้างที่ไม่มีหูตาคอยสอดส่ง ใช้เวลาไม่ถึงหนึ่งวันก็รู้ถึงต้นสายปลายเหตุของเหตุการณ์ว่าเกิดขึ้นหลังจากอวิ๋นเยี่ยได้รับของขวัญมากมายจากหงหลูซื่อ แม้จะไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นแต่ก็รู้ว่าต้องเป็นเรื่องใหญ่อย่างแน่นอน สภาพน่าอนาถของราชาแดนเถื่อนที่ถูกคุมขังอยู่อาจเรียกได้ว่าเป็นเรื่องน่าอเนจอนาถที่สุดในใต้หล้านี้เลยก็ว่าได้

 

 

โอรสสวรรค์กำลังโกรธา นี่เป็นข้อสรุปเดียวที่ทุกคนสรุปได้ ในช่วงหลายวันนี้เมืองฉางอันสามารถกล่าวได้ว่าเต็มไปด้วยเมฆหมอกแห่งความเศร้าโศกปกคลุมเต็มไปหมด ทุกคนระมัดระวังตัวไม่ให้ขัดแย้งกับผู้อื่นแม้เพียงเล็กน้อย สำหรับคุณชายเสเพลของครอบครัวก็ถูกนำตัวไปที่สำนักศึกษาตั้งแต่เนิ่นๆ แล้วแม้แต่วันอาทิตย์ก็ไม่อนุญาตให้กลับบ้าน

 

 

งานมงคลของตระกูลอวิ๋นเป็นโอกาสการคบค้าสมาคมทางสังคมเพียงสิ่งเดียวในระยะนี้ที่ทำได้ในเมืองฉางอัน