บทที่ 2162+2163

ลำนำบุปผาพิษ

บทที่ 2162 คงมิใช่ว่าเด็กสาวผู้นี้คิดจะปลอบเขาเหมือนเด็กน้อยกระมัง?!

เธอนึกว่าความเย็นชาของเธอเป็นเพียงความเย็นชาเล็กๆ น้อยๆ ตี้ฝูอีอาจมองไม่ออกก็ได้ กลับไม่นึกเลยว่า…

คนผู้นี้ช่างมีสัมผัสเฉียบไวเหนือธรรมดาโดยแท้!

และค่อนข้างตีมึนเช่นกัน…

กู้ซีจิ่วยิ้มไม่ได้ร้องไห้ไม่ออกแล้ว

“ข้าไม่ได้ว่าอะไรเจ้านี่ แค่รู้สึกว่าเจ้าน่าจะนั่งสมาธิพักผ่อนต่ออีกหน่อย…”

“เป็นห่วงข้าหรือ?”

ตี้ฝูอีเม้มริมฝีปากบางนิดๆ คล้ายว่าไม่ค่อยเชื่อ

“แน่นอนสิ”

ก่อนหน้านี้เธอเย็นชาไปบ้าง แต่ส่วนใหญ่ก็คิดตกแล้ว ความขุ่นเคืองในใจแทบจะสลายไปจนสิ้นแล้ว

ตี้ฝูอียื่นมือไปจับมือนางไว้ รั้งนางเข้ามาข้างกาย

“พักเป็นเพื่อนข้าหน่อยสิ”

กู้ซีจิ่วมองใบหน้าหล่อเหลาที่ดูซีดเซียวเล็กน้อยของเขา ปวดใจอยู่บ้าง และนึกขันอยู่บ้าง

“พักผ่อนยังต้องให้คนอยู่เป็นเพื่อนอีกหรือ? เจ้าเป็นเด็กรึไง?”

ตี้ฝูอีตอบไปว่า

“ก็ได้ งั้นข้าจะพักคนเดียว เจ้าทำธุระของเจ้าไปเถอะ”

แล้วปล่อยมือเธอทันที หันหลังเดินจากไปเลย

กู้ซีจิ่วนิ่งงัน เธอแค่หยอกเล่นประโยคเดียวนะ ทำไมถึงรู้สึกว่าไปจี้จุดเขาเข้าล่ะ?

เงยหน้ามองดูแผ่นหลังเขา ดูเหมือน…จะหว้าเหว่อยู่บ้าง…

พลันปวดใจขึ้นมาอย่างน่าประหลาด ศีรษะร้อนผ่านในทันใด สาวเท้าก้าวไปหา

“เอาล่ะๆ ข้าจะไปพักเป็นเพื่อนเจ้า”

ฉวยมือเขามาตบเบาๆ เพื่อปลอบโยน

“ไม่โกรธแล้วใช่ไหม? หืม?”

ตี้ฝูอีพูดไม่ออกเลย

คงมิใช่ว่าเด็กสาวผู้นี้คิดจะปลอบเขาเหมือนเด็กน้อยกระมัง?!

เขาหันไปมองนางแวบหนึ่ง สีหน้ากู้ซีจิ่วเสมือนปลอบโยนศรีภรรยาก็มิปาน…

ดูเหมือนนางจะเล่นเป็นบุรุษจนความเป็นบุรุษฝังรากลึกลงไปแล้ว…

นัยน์ตาตี้ฝูอีโชนแสงแวบหนึ่ง แขนข้างหนึ่งโอบเอวนางไว้ กึ่งๆ โอบนางไว้ในอ้อมแขน

“ไปเถอะ!”

หัวหน้าเผ่ามองตี้ฝูอีอย่างงุนงงปานน้ำเข้าสมอง เขานึกว่าพออีกฝ่ายถามคำถามเหล่านั้นจบแล้ว จะไปสำรวจดูรอบๆ เพื่อหาเบาะแสร่องรอยเสียอีก หลังจากสำรวจกลับมาจะต้องมาคุยกับเขาแน่นอน บอกว่าเกิดอะไรขึ้น

นึกไม่ถึงเลยว่าอีกฝ่ายจะไปจู๋จี๋เคล้าคลอกับว่าที่ภรรยาเสียแล้ว!

เขาเบิกตามองตี้ฝูอีโอบกู้ซีจิ่วไปนั่งลงบนแท่นศิลาเขียวทอดยาวก้อนหนึ่ง จากนั้นก็รั้งนางเข้ามาซบลงบนไหล่ตน

 “มาเถอะ หลับซักงีบ ดูเจ้าสิหน้าเล็กๆ ของเจ้าเหนื่อยล้าจนดูเหมือนผีน้อยแล้ว เรื่องเข้ายามปล่อยให้เป็นหน้าที่พวกเขาเถอะ ต่อให้เจ้าเป็นหัวหน้าของพวกเขาก็ไม่จำเป็นต้องลงไปจัดการเองทุกเรื่อง!”

กู้ซีจิ่วก็เหนื่อยล้ายิ่งนักเช่นกัน ยามนี้พอได้ซบลงบนร่างเขาเข้าก็รู้สึกอบอุ่นใจยิ่ง เพียงแต่เธอยังฉงนอยู่บ้าง

“ข้านึกว่าเจ้าจะหยิบตั่งนุ่มสักหลังออกมานอนพักเสียอีก”

ตี้ฝูอีนิ่งไปเล็กน้อย ยกมือลูบศีรษะนางเบาๆ

“เด็กโง่ ต่อหน้าคนมากมายเช่นนี้ พวกเราควรจะรักษากริยาบ้าง เลี่ยงไม่ให้เจ้าดูหัวสูงเกินไป หากเจ้ารังเกียจว่าหินก้อนนี้หยาบกระด้าง เช่นนั้นก็มานั่งตักข้าเถอะ ข้าจะโอบเจ้าไว้”

กู้ซีจิ่วพูดไม่ออกเลย

เธอปฏิเสธอย่างหนักแน่น

“ไม่ พวกเราพิงซบกันเช่นนี้ก็พอแล้ว”

ด้วยเหตุนี้ พวกเขาจึงซบกันเช่นนี้แล้วพักผ่อน

หัวหน้าเผ่าถูกพวกเขาแสดงความรักหวานซึ้งใส่อย่างกะทันหัน จึงอดไม่ได้ที่จะนั่งนวดหว่างคิ้วอยู่ไม่ไกลนัก

เขาอยากเข้าไปคุยกับตี้ฝูอีต่อ แต่ก็ไม่อยากรบกวนยวนยางน้อยคู่นั้น จึงยุ่งเหยิงว้าวุ่นอยู่บ้าง

กู้ซีจิ่วเหนื่อยล้าจริงๆ ก่อนหน้านี้ฝืนจัดการเรื่องราวมาโดยตลอด ยามนี้พอได้พิงร่างตี้ฝูอี กินผลไม้ที่เขามอบให้เข้าไปลูกหนึ่ง ก็ผล็อยหลับไปโดยไม่รู้เนื้อรู้ตัว

คนอื่นๆ หลังจากกินอิ่มแล้ว นอกจากผู้ที่รับหน้าที่เฝ้ายาม ทั้งหมดก็แยกย้ายกันไปพักผ่อนคนละทิศละทาง ในช่วงเวลานี้ บนเนินเขาค่อนข้างเงียบสงัด

ผ่านไปประมาณครึ่งชั่วยาม หัวหน้าหมู่บ้านที่ร้อนใจอยากรีบกลับสู่บ้านเกิด ได้ลุกขึ้นมาคิดจะปลุกทุกคนขึ้นลุกขึ้นมาเดินทางต่อ

ทันใดนั้นเองตี้ฝูอีได้ลืมตาขึ้นมา กวักมือเรียกเขา หัวหน้าเผ่าจึงเดินเข้าไปหา

วาจาสองประโยคที่ตี้ฝูอีเอ่ยออกมาหลังจากนั้นได้ทำให้หัวใจของหัวหน้าเผ่าแทบจะจมดิ่งลงไป

————————————————————————————-

บทที่ 2163 ข้าจะไปกับเจ้าด้วย!

“ด้านนอกก็มิใช่ดินแดนอันผาสุกเช่นกัน เกิดความเปลี่ยนแปลงแล้ว ส่วนที่นี่ก็เป็นเขตกันชน[1] ให้ทุกคนพักผ่อนกันให้มากหน่อยเถอะ ฟ้าสางแล้วค่อยออกเดินทาง”

หัวหน้าเผ่าทึ่มทื่อไปครู่หนึ่ง

“คะ…คุณชายตี้มองออกได้อย่างไร?”

ตี้ฝูอีเอ่ยอย่างเฉยชา

“ในเมื่อหุบเขาแห่งนี้จะเคยเป็นจุดล่าสัตว์ของชนชั้นสูง ดังนั้นน่าจะมีคนคอยดูแลรักษาอยู่เสมอ ส่วนเจ้าในปีนั้นเป็นถึงบุตรชายของท่านเจ้าเมือง หายตัวไปกะทันหัน เจ้าเมืองจะต้องส่งคนมาค้นหาแน่นอน ต่อให้ฝ่าเข้าไปในพื้นที่ที่มีหมอกแดงปิดกั้นไม่ได้ อย่างน้อยพวกเขาก็น่าจะปักหลักอยู่ที่ไหล่เขาแห่งนี้ แต่เมื่อครู่ข้าตรวจดูโดยรอบแล้ว มีร่องรอยการทำกิจกรรมของมนุษย์แต่เมื่อร้อยกว่าปีก่อนเท่านั้น แต่ร้อยกว่าปีมานี้ไม่มีผู้ใดมาอีกเลย ในสถานการณ์เช่นนี้มีความเป็นได้เพียงสองกรณีเท่านั้น หนึ่งคือ การเปลี่ยนแปลงของด้านนอกร้ายแรงยิ่งกว่าในเขตปิดกั้นของหมอกแดงเสียอีก มนุษยชาติสูญสิ้นเผ่าพันธุ์แล้ว สองคือ มนุษชาติยังคงอยู่ แต่ขอบเขตการเคลื่อนไหวของพวกเขามาไม่ถึงที่นี่แล้ว”

เขาวิเคราะห์ออกมาเป็นข้อๆ หัวหน้าเผ่าพูดไม่ออกสักนิด

ที่ตี้ฝูอีกล่าวมาไม่ผิดเลย ที่นี่เคยเจริญยิ่งนัก ระหว่างทางจะมีจุดพักม้าที่เมืองลั่วฮวาสร้างเอาไว้ ลูกหลานตะกูลขุนนางต่างมาล่าสัตว์ที่นี่เป็นประจำ สถานที่แห่งนี้สมควรจะมีร่องรอยการใช่ชีวิตของผู้อื่นด้วย

ปีนั้นพวกเขาถูกขังไว้ที่นี่ และเคยวาดหวังว่าเจ้าเมืองจะส่งคนมาช่วยเหลือพวกเขา ผลคือพวกเขารอแล้วรอเล่าก็ไม่เคยได้รับความช่วยเหลือจากภายนอกเลย…

เขาหลงนึกว่าคนที่ถูกส่งมาเหล่านั้นถูกหมอกแดงขวางกั้นไว้ ไม่อาจเข้าไปในหุบเขาได้

กลับคาดไม่ถึงว่าแม้แต่เนินเขาแห่งนี้พวกเขาก็ยังมาไม่ถึงเลย…

เห็นทีว่าโลกภายนอกจะไม่ได้งดงามเหมือนที่พวกเขาจินตนาการเอาไว้เสียแล้ว เกิดความเปลี่ยนแปลงอย่างมหันต์เช่นกัน!

เป็นความเปลี่ยนแปลงมหันต์อันใด?

หัวหน้าเผ่ากำมือแน่น มองไปที่ตี้ฝูอี

“แล้วตอนนี้จะทำอย่างไรดี?”

“ทุกคนเหนื่อยล้าจากการเดินทาง พวกเจ้าพักอยู่ที่นี่ชั่วคราวก่อน ข้าจะออกไปสำรวจดู ไปดูเมืองลั่วฮวาที่เจ้าว่ามาก่อน จากนั้นค่อยตัดสินใจอีกที”

“ข้าจะไปกับเจ้าด้วย!”

กู้ซีจิ่วที่ซบหลับอยู่บนตัวตี้ฝูอีมาตลอดลืมตาขึ้นมาทันที ที่แท้เธอก็ตื่นนานแล้ว

ตี้ฝูอีปฏิเสธ

“ไม่ต้องหรอก ข้าออกไปสำรวจคนเดียวจะดีกว่า เจ้ารั้งอยู่ที่นี่คอยดูแลชาวบ้านเถอะ ตอนนี้สถานการณ์ไม่แน่ชัด ไม่แน่ว่าในระหว่างนี้อาจมีสัตว์ร้ายตัวประหลาดอันใดบุกมารุกราน”

หัวหน้าเผ่าก็เอ่ยขึ้นเช่นกัน

“ซีจิ่ว ที่คุณชายตี้พูดมามีเหตุผล เจ้ารั้งอยู่ก่อนเถิด คอยรับมือกับสถานการณ์ไม่คาดฝัน”

กู้ซีจิ่วลุกขึ้นมาแล้ว

“ที่นี่ไม่มีสถานการณ์ไม่คาดฝันอันใดหรอก ก่อนหน้านี้ข้าตรวจสอบรอบๆ ดูแล้ว ในละแวกนี้ไม่มีร่องรอยความเคลื่อนไหวของสัตว์ร้ายอันใดเลย แน่นอน ไม่มีร่องรอยความเคลื่อนไหวของมนุษย์เช่นกัน สถานที่แห่งนี้น่าจะเป็นพื้นที่ปลอดภัยชั่วคราว มีพวกเถี่ยตั้นอยู่ที่นี่ก็เพียงพอแล้ว กลับกัน เกรงว่าด้านนอกจะอันตรายอย่างยิ่ง เขาออกไปคนเดียวเกรงว่าจะพลาดท่าเอาได้ ให้ข้าไปกับเขาด้วยเถอะ”

ในยามคับขันเธอสามารถใช้วิชาเคลื่อนย้ายพาเขาหลบหนีได้

ตี้ฝูอีมองนางแวบหนึ่งอย่างอดใจไม่อยู่ ไม่นึกเลยว่าที่นางดูคล้ายจะเดินเตร่ไปมาก่อนหน้านี้ ได้ตรวจดูสภาพแวดล้อมอย่างละเอียดไปด้วย

ถึงแม้นางสูญเสียความทรงจำและวรยุทธ์ที่เคยมีไป แต่สัมผัสที่หกยังคงเฉียบไวอยู่ พฤติกรรมไม่ต่างไปจากในอดีตมากนัก

….

กู้ซีจิ่วรู้สึกโชคดีมากที่ไม่ได้ ‘ทัพใหญ่’ ออกมาด้วยกันในยามนี้ มิเช่นนั้นเกรงว่าคงพินาศกันหมดแน่!

จันทราบนนภาทอแสงสลัว ดอกไม้ใบหญ้าบนพื้นเติบโตขึ้นอย่างบ้าคลั่ง สัตว์ร้ายอาละวาดแผลงฤทธิ์

วัชพืชสูงขึ้นเท่าตัวคน พุ่มไม้หนามที่ปกติแล้วเมื่อโตขึ้นจะเป็นพุ่ม เมื่ออยู่ที่นี่กลับยืนต้นตระหง่านเสียดนภา ต้นไม้ของที่นี่พิสดารนัก แขนงไม้ไม่ได้แผ่กิ่งก้านออกไปปกคลุมไปรอบด้านตามปกติ แต่กิ่งก้านทั้งหมดชูหงายขึ้นฟ้าดุจบ้าคลั่ง…

————————————————————————————-


[1] เขตกันชน เป็นพื้นที่ส่วนกลางที่คาบเกี่ยวระหว่างพื้นที่สองส่วน อาจจะเป็นเขตเซฟโซนจากการปะทะหรือเป็นเขตแนวหน้าที่ได้รับผลกระทบจากทั้งสองฝ่ายก็ได้ ขึ้นอยู่กับสถานการณ์