บทที่ 2164+2165

ลำนำบุปผาพิษ

บทที่ 2164 ร่วมมือ

ตี้ฝูอีเห็นมากับตา ต้นหลิวต้นหนึ่งกิ่งก้านชูสูงขึ้นฟ้าดูราวกับเส้นผมของหญิงสาวที่ปลิวไสวไปตามสายลม…

ด้วยเหตุนี้เอง ทัศนียภาพบนพื้นจึงไม่มีร่มไม้บดบัง คนที่ยืนอยู่บนพื้น ยังมองเห็นดวงเดือนดวงดาวบนฟากฟ้าได้

ในที่สุดทั้งสองคนก็พบสิ่งที่เรียกว่าถนนสายหลักแล้ว ตัวถนนสร้างขึ้นจากศิลาหน้าตัด ราบเรียบแข็งแรง รถม้าสามคันวิ่งเคียงกันก็ยังไม่มีปัญหาเลย แต่ตอนนี้กลับถูกพุ่มหนามและวัชพืชขึ้นปกคลุม ผสมกลมกลืนเข้ากับป่าไปแล้ว กู้ซีจิ่วต้องกระชากลากดึงวัชพืชอยู่พักหนึ่งถึงจะค้นหาถนนสายหลักเส้นนั้นออกมาได้

แน่นอนว่าในหว่างที่ลากดึงอยู่ พวกเขายังได้พบเสือดาวสามตัว เสือสองตัว หมีอีกหนึ่งตัวด้วย…

ถึงแม้สัตว์เหล่านี้จะดุร้ายยิ่งนัก แต่ในสายตาของตี้ฝูอีกับกู้ซีจิ่วแล้วไม่ควรค่าให้แหลือบแลเลย เพียงครู่เดียวก็กำจัดทิ้งได้แล้ว

ตี้ฝูอีลากเสือตัวหนึ่งมาตรวจสอบดู เม้มริมฝีปากบางนิดๆ

“มีอะไรหรือ?”

กู้ซีจิ่วเขยิบไปอยู่ใกล้ๆ เขา

ตี้ฝูอีสูดหายใจเบาๆ

“ในร่างของพวกมันไม่มีพลังวิญญาณอยู่เลย”

“ในร่างพวกมันควรมีอยู่หรือ?”

ตี้ฝูอีเอ่ยตอบ

“สรรพสิ่งล้วนมีจิตวิญญาณ ว่ากันตามเหตุผลแล้ว บนร่างพวกมันล้วนสมควรจะมีพลังวิญญาณอยู่บ้างไม่มากก็น้อย”

กู้ซีจิ่วขมวดคิ้ว

“ข้าฟังมาจากหัวหน้าเผ่า บนโลกนี้มีพลังวิญญาณอยู่ ข้าคิดมาตลอดว่าโลกภายนอกจะมี กลับนึกไม่ถึงเลยว่าไม่มีเหมือนกัน หรือจะมีตัวอันใดดูดกลืนพลังวิญญาณของโลกนี้ไปหมดแล้ว?”

ตี้ฝูอีใคร่ครวญอยู่ครู่หนึ่งแล้วเอ่ยตอบ

“ฟ้าดินมีพลังวิญญาณก่อเกิดขึ้นตามธรรมชาติ หากว่าถูกดูดกลืนไปครึ่งหนึ่ง ก็กำเนิดใหม่ได้อีก แต่ตอนนี้กลับสัมผัสถึงไม่ได้เลยสักนิด น่าจะมีกลไกหรือเขตแดนอันใดที่คอยดูดซับพลังวิญญาณทั้งหมดของโลกใบนี้เอาไว้เรื่อยๆ”

ระหว่างที่ทั้งสองพูดคุยกันอยู่ มีงูเหลือมยักษ์ตัวหนึ่งเลื้อยออกมาจากทางด้านซ้ายของป่า พุ่งเข้าใส่คนทั้งสองประหนึ่งพายุหมุน

ดวงตาของงูเหลือมยักษ์ตัวนั้นแดงก่ำลุกโชนดุจโคม พุ่งเข้าจู่โจมคนทั้งสองราวกับมีความแค้นฝังลึกอันใดมาก่อน…

ตี้ฝูอีขมวดคิ้ว ลากกู้ซีจิ่วให้หลบ เอ่ยกระซิบประโยคหนึ่ง

“ไว้ชีวิตมันก่อนนะ!”

“ได้!”

กู้ซีจิ่วก็ชักกระบี่ออกจากฝักแล้ว…

งูเหลือมยักษ์ตัวนั้นถึงแม้จะดุร้าย แต่ก็ไม่ใช่คู่ต่อสู้ของสองคนนี้เลย

ผ่านไปครู่หนึ่ง ร่างงูเหลือมยักษ์ตัวนั้นก็ถูกคนทั้งสองแทงจนเป็นแผลโชกเลือดเจ็ดแปดแผลแล้ว

งูเหลือมตัวนี้มีความยามราวเจ็ดแปดจั้ง งูเหลือมที่มีความยาวขนาดนี้อย่างน้อยก็ต้องอยู่มาห้าร้อยปีแล้ว หากว่าสามารถฝึกฝนได้ คงอยู่ในสภาพกึ่งภูตไปแล้ว

ว่ากันตามเหตุผลแล้ว งูเหลือมประเภทนี้น่าจะมีสำนึกรู้ยิ่งนักแล้ว เมื่อเห็นว่าสู้ไม่ไหว ก็น่าจะหลบหนีไปเสีย มิใช่ต่อสู้ไม่ยอมเลิกราเช่นนี้

แต่งูเหลือมตัวนี้ราวกับบ้าคลั่งไปแล้ว พัวพันอย่างไม่ตายไม่เลิกรา ไม่มีทีท่าว่าจะถอยหนีเลย

ตี้ฝูอีรู้สึกว่าพอประมาณแล้ว ในที่สุดก็ตวัดกระบี่จบชีวิตมัน

ทั้งสองเหนื่อยหอบอยู่บ้าง ตี้ฝูอีเอ่ยถามกู้ซีจิ่ว

“มองอะไรออกไหม?”

กู้ซีจิ่วตอบ

“สัตว์เหล่านี้คลุ้มคลั่งยิ่ง และไร้เหตุผลนัก พอเห็นคนก็พุ่งเข้าใส่ ไม่ตายไม่เลิกรา”

สรุปผลได้ถูกต้องยิ่ง!

ตี้ฝูอีนั่งเคียงข้างนางบนกิ่งไม้ใหญ่ต้นหนึ่ง

“ถูกต้อง พวกมันคลุ้มคลั่งยิ่ง เมื่อกี้พวกเราก็เห็นกันแล้ว พวกมันก็กัดกันเองอย่างดุเดือดยิ่งนักเช่นกัน…”

กู้ซีจิ่งเงยหน้ามองดวงจันทร์บนฟากฟ้า

“ไม่รู้ว่าพวกมันเป็นแบบนี้ทั้งวันทั้งคืน หรือว่ามีเพียงยามราตรีที่เป็นเช่นนี้ ข้ารู้สึกอยู่เสมอว่าดวงจันทร์ของที่นี่ค่อนข้างพิกล…”

ดวงจันทร์พิกลรึ?

ตี้ฝูอีมองจันทราดวงนั้น จันทรากลมโตดั่งแผ่นจานทองอร่ามกลมเกลี้ยง รอบข้างมีเมฆาขาวล่องลอยเลือนราง

เป็นดวงจันทร์ที่ปกติยิ่งนัก ไม่รู้สึกถึงความผิดปกติใดเลย…

จู่ๆ เขาก็คล้ายจะนึกอะไรขึ้นได้ พลันกุมกระบี่ล้ำค่าในมือแน่น!

————————————————————————————-

บทที่ 2165 ร่วมมือ 2

เขานึกออกแล้วว่าผิดปกติตรงไหน!

คืนก่อนที่พวกเขาจะออกมา พระจันทร์ไม่ได้เต็มดวง เป็นพระจันทร์ครึ่งเสี้ยว! แต่ในคืนนี้ ทำไมพระจันทร์ถึงกลายเป็นจันทร์เพ็ญเช่นนี้เล่า?!

ยามที่พระจันทร์เต็มดวง จะกระตุ้นให้สัตว์คลุ้มคลั่งขึ้นมาได้ง่ายๆ ถึงขั้นที่เผ่าภูตบางเผ่าก็ไม่รอดพ้นจากคำสาปนี้เช่นกัน อย่างเช่นเผ่ามนุษย์หมาป่า ปกติแล้วพวกมันจะคงร่างมนุษย์ไว้แล้วปะปนอยู่ท่ามกลางผู้คน แต่ในคืนจันทร์เพ็ญกลับดุร้ายกระหายเลือดขึ้นมา กลายร่างเป็นหมาป่า…

เขาหันไปถามกู้ซีจิ่ว

“คืนนี้ใช่คืนจันทร์เพ็ญหรือไม่?”

กู้ซีจิ่วส่ายหน้า

“ไม่ใช่! วันนี้เป็นวันแรมเก้าค่ำ มิใช่คืนจันทร์เพ็ญ”

“หัวหน้าเผ่าเคยบอกหรือไม่ว่าการจับเวลาของด้านอกกับด้านในแตกต่างกัน?”

“ไม่เคย ตอนนั้นที่พวกหัวหน้าเผ่าออกมาล่าสัตว์ก็เอานาฬิกาทรายมาด้วย จับเวลาเช่นเดียวกับด้านนอกมาโดยตลอด”

ตี้ฝูอีขมวดคิ้วนิดๆ เขามีความรู้เกี่ยวกับแดนอสุราอยู่บ้าง รู้ว่าข้างขึ้นข้างแรมของที่นี่เป็นเช่นเดียวกับแดนมนุษย์ทั่วไป

“ดูเหมือนพระจันทร์ของที่นี่จะมีปัญหาแล้ว!”

กู้ซีจิ่วนิ่งงัน ถ้าเป็นสิ่งอื่นที่มีปัญหายังพอจัดการได้ หากว่าพระจันทร์มีปัญหา แล้วจะแก้ไขได้อย่างไร?

“ยังไม่แน่ว่าจะมีสาเหตุมาจากพระจันทร์จริงๆบางทีอาจมีสนามพลังทรงอานุภาพอันใดที่เปลี่ยนแปลงแดนอสุราก็ได้ หลังจากพวกเราออกไปแล้วค่อยตรวจสอบอีกครั้งเถิด”

ตี้ฝูอีจับมือนางไว้

“ไม่ต้องกลัวนะ ทุกอย่างล้วนมีข้าอยู่!”

หัวใจกู้ซีจิ่วอุ่นวาบ ถอนหายใจเบาๆ

“ข้าไม่กลัวหรอก ข้ากำลังคิดอยู่ว่าขั้นต่อไปพวกเราควรทำอย่างไรดี พวกเราประสบกับสัตว์ร้ายเหล่านี้ไม่นับว่าอันตรายนักหนา บางทีสภาพแวดล้อมภายนอกอาจจะไม่เลวร้ายอย่างที่พวกเราคิดไว้ก็ได้ เมืองลั่วฮวาก็ยังอยู่”

ตี้ฝูอีกวาดตามองรอบข้างเล็กน้อย ต้นไม้ใหญ่ที่พวกเขายืนอยู่ต้นนี้เป็นต้นที่สูงที่สุดในละแวกนี้ สามารถมองเห็นสภาพแวดล้อมในรัศมีหลายสิบลี้ได้

จากนั้นก็ได้เห็นว่าในพงหนาม ในป่าลึกเข้าไป จะมีสัตว์ร้ายสารพัดชนิดโผล่มาออกมาเป็นระยะๆ สัตว์ร้ายเหล่านี้พอพบหน้าก็เข้าโรมรันกัน กลายเป็นฉากนองเลือดฉากหนึ่ง

เสียงสัตว์ร้ายคำราม เสียงต้นไม้หักโค่น ดังก้องไปทั่ว

“จันทร์เพ็ญทำให้พวกมันตื่นตัว เจ้าดูสายตาของพวกมันสิ ล้วนแดงฉานทั้งสิ้น เพียงแต่สัตว์ร้ายเช่นนี้ไม่น่ากลัวสำหรับคนอย่างพวกเราเลย อ่อนแอกว่าสัตว์ร้ายมายาในหุบเขามากนัก หนึ่งคนสามารถรับมือได้สองถึงสามตัว กลัวก็แต่พวกมันจะรวมกลุ่มกันเข้ารุกราน…”

กู้ซีจิ่ววิเคราะห์

“ไม่เป็นไรหรอก ตอนกลางคืนสัตว์ร้ายเหล่านี้ตื่นตัวเกินไป ตอนกลางวันพวกมันจะเซื่องซึม ส่วนใหญ่จะหาสถานที่เพื่อพักผ่อน ต่อให้มีโผล่ออกมาบ้างก็ไม่กี่ตัว ก็น่าจะจัดการได้ คนของพวกเรารับมือได้ เพียงแต่ ข้ารู้สึกอยู่เสมอว่าเรื่องราวมิได้เรียบง่ายปานนี้…”

ตี้ฝูอีเพิ่งจะกล่าวมาถึงตรงนี้ จู่ๆ คล้ายจะสัมผัสถึงบางสิ่งได้ พานางแฝงกายหลบอยู่ในเงาไม้

ไอพิฆาต!

มีไอพิฆาตผุดขึ้นมาจากใต้พื้น บรรยากาศพลันแปรเปลี่ยนเป็นหนักอึ้งขึ้นมา

เดิมทีอากาศร้อนระอุ บนร่างกู้ซีจิ่วก็มีเหงื่อออกแล้ว แต่ทันทีที่ไอพิฆาตนี้ปรากฏขึ้น เธอก็หนาวสะท้านขึ้นมาอย่างไม่มีสาเหตุ รู้สึกเพียงว่าอุณหภูมิรอบข้างคล้ายลดต่ำลงกว่าสิบองศาแล้ว!

สิ่งที่ร้ายกาจอย่างยิ่งกำลังจะปรากฏขึ้น!

กู้ซีจิ่วกลั้นหายใจ มองไปยังทิศทางที่เริ่มมีไอหมอกระเหยขึ้นมาตามสัญชาตญาณ

สิ่งมีชีวิตสีโลหิตตัวหนึ่งปรากฏตัวขึ้นรางๆ ท่ามกลางไอหมอก

นั่นคืออะไร?

เนื่องจากอยู่ค่อนข้างไกล ซ้ำยังมีไอหมอกขวางกั้น กู้ซีจิ่วจึงมองไม่เห็นรูปร่างหน้าตาของสิ่งมีชีวิตสีแดงฉานตัวนั้น เพียงแต่สัญชาตญาณสัมผัสถึงอันตรายได้!

“วี๊ด…”

จู่ๆ สิ่งมีชีวิตสีแดงฉานตัวนั้นก็กรีดร้องเสียงแหลม ราวกับนางเอกงิ้วที่เปล่งเสียงก้องกังวาน

เสียงทั้งแหลมและคม ซ้ำยังแฝงน้ำเสียงสั่นพร่าอันพิสดารประการหนึ่งไว้ด้วย สั่นสะเทือนแก้วหูตน คล้ายจะเจาะทะลวงเข้าสู่หัวใจคนได้ เส้นขนของกู้ซีจิ่วลุกชันขึ้นมาหมดแล้ว!

ตี้ฝูอียกแขนเสื้อขึ้น อุดหูเธอไว้ ยับยั้งไม่ให้เสียงต้องสาปนั้นเข้าสู่สมอง

——————————————-