เล่มที่ 15 ตอนที่ 18

Memorize

หลังจากออกมานอกร้านอัญมณีแล้ว ผมก็วิ่งไปทางจัตุรัส ระหว่างทางก็ถูกพวกผู้เล่นบางคนที่ยังไม่เข้าใจสถานการณ์ยื้อเอาไว้ แต่ผมก็สะบัดออกอย่างแรงและวิ่งต่อ  

 

 

พวกมันบุกโจมตีที่ประตูเหนือก่อนและตามด้วยประตูตะวันออกกับประตูตะวันตก ถึงวาร์ปเกตจะไม่ได้ตั้งอยู่ใจกลางเมือง แต่ก็อยู่ใกล้กับจัตุรัสกลาง 

 

 

ถ้าดูจากเมื่อครู่แล้ว จะเห็นได้ว่าการจู่โจมของผู้บุกรุกประสบความสำเร็จ แต่ตอนนี้มีพวกผู้เล่นที่ต้านทานได้ส่วนหนึ่งทยอยออกมาแล้ว ไม่หรอก ไม่ถึงขนาดต้านทานได้ แต่ถึงจะเป็นการสังหารหมู่ฝ่ายเดียว การจะจัดการฆ่าคนเหล่านั้นก็ต้องใช้เวลา หากพิจารณาจากเรื่องทั้งหมดนี้แล้ว พวกเราก็สามารถไปถึงที่วาร์ปเกตได้ก่อนแน่ 

 

 

แต่เรื่องนั้นก็เป็นแค่ความคิดของผมคนเดียว การต่อสู้บนท้องถนนเป็นประสบการณ์ที่ผมเจอบ่อยจนเบื่อในรอบแรก หากผู้บัญชาการของพวกเร่ร่อนเป็นคนที่ฉลาดมากพอ ในอนาคตคงจะเกิดเรื่องยุ่งยากมากมาย แต่ตอนนี้พวกเราไม่มีทางเลือกนอกจากการใส่ความเป็นไปได้ลงในทางเลือกที่เป็นไปได้ที่สุดในการหลบหนี 

 

 

ในไม่ช้าพวกเราก็หลุดจากย่านร้านค้าและในระหว่างเข้าสู่เส้นทางไปจัตุรัสกลาง ผมก็ถอนหายใจออกมา สัมผัสรับรู้ทางกายถูกเปิดใช้สูงสุด เสียงดาบกระทบกันจากด้านหน้า, เสียงความร้อนที่ระเบิดรุนแรงและเสียงกรีดร้องปะปนไปกับเสียงเอะอะโวยวายลอยเข้าหูให้ได้ยิน พวกผู้บุกรุกที่มาทางประตูยังมาไม่ถึง ดังนั้นหมายความว่าต้องมีคนที่ช่วยเหลืออยู่ภายใน 

 

 

‘บางทีวาร์ปเกตอาจจะถูกยึดไปแล้วก็ได้’ 

 

 

แต่ผมไม่ถอยกลับ การหนีออกไปนอกประตูปราสาทเป็นทางเลือกสุดท้าย แต่ก็ต่อเมื่อการไปที่วาร์ปเกตล้มเหลว ถึงแม้ว่าวาร์ปเกตจะถูกยึดจากพนักงานภายใน แค่จัดการให้หมดและยึดกลับมาก็พอ ผมในตอนนี้มีความสามารถเพียงพอแล้ว 

 

 

ระหว่างที่กำลังวิ่ง ผมหันกลับไปมองด้านหลังเล็กน้อย ทั้งสี่คนที่อยู่ด้านหลัง รวมถึงโกยอนจูด้วยกำลังตามหลังผมมาโดยเว้นระยะพอประมาณ หน้าที่ของผมคือบุกให้มากที่สุดและกำจัดพวกที่โผล่ออกมาให้พ้นทาง ผมมองไปด้านหน้าอีกครั้ง 

 

 

เราค่อยๆ มองเห็นจัตุรัสกลางแล้ว 

 

 

ตู้ม! ตู้ม! 

 

 

“อั่ก! อ๊าก!” 

 

 

“กรี๊ด! วะ ไว้ชีวิตฉันเถอะ! ขอร้อง ขอร้องล่ะ!” 

 

 

จัตุรัสกลางกลายเป็นสนามรบไปแล้ว ไม่สิ ต้องเรียกว่าแดนนรกแห่งการสังหารโหดฝ่ายเดียวน่าจะถูกต้องกว่าหรือเปล่านะ แสงวูบวาบทุกทิศทางและทุกครั้งที่เกิดการระเบิดบนพื้น เสียงร้องดังขึ้นพร้อมกับน้ำพุเลือดที่ไหลทะลักไม่หยุดหย่อนทุกครั้งที่พื้นระเบิด 

 

 

พวกเร่ร่อนที่โจมตีอย่างหนักมีเพียงไม่กี่สิบคน แต่พวกผู้เล่นนับร้อยก็ยังไม่สามารถต้านทานได้และถูกฆ่าตายอยู่ฝ่ายเดียว เห็นได้ชัดว่าจำนวนของผู้เล่นได้เปรียบแต่พวกเร่ร่อนกลับมีทักษะที่ครอบคลุมและทำได้อย่างสมบูรณ์แบบ 

 

 

‘ที่คิดไว้ว่าต้องเป็นพวกทหารระดับแนวหน้าคงถูกสินะ’ 

 

 

ตราบใดที่เป็นเรื่องคอขาดบาดตาย ผมก็ไม่คิดจะทำอะไรชุ่ยๆ ตั้งแต่แรกอยู่แล้ว ผมดึงดาบเทพแห่งสุริยันจันทราซึ่งเหน็บไว้ที่เอวออกมาทันที คมดาบเรียบลื่นได้รับแสงจันทร์และส่องประกายสีน้ำเงินเข้มในขณะที่ยกมันขึ้นมา 

 

 

พรึ่บ! 

 

 

‘สี่สิบห้าองศาทางซ้ายมือบนอาคาร’ 

 

 

เสียงลูกธนูพุ่งมาอย่างแรง ผมใช้พลังเวทและดันมือซ้ายไปทางลูกธนูที่ถูกยิงมาอย่างรวดเร็ว  

 

 

หมับ! 

 

 

ถึงจะรู้สึกตกใจมากกับเวทมนตร์ที่มีอยู่ แต่ผมก็สามารถคว้ามันได้แบบสบายๆ แต่ถ้าจบลงด้วยการคว้าเอาไว้คงน่าเสียดายแย่ ผมจึงใช้หลักการสี่ตำลึงปาดพันช่างและเหวี่ยงลูกธนูกลับไปทางอาคารฝั่งตรงข้าม 

 

 

ในไม่ช้าก็มีเสียงร้องดังขึ้นพร้อมกับเสียงดังฉึก ฟังจากเสียงแล้วดูท่าจะเป็นนักแม่นปืนหญิง เมื่อเหลือบมองไปบนอาคารก็เห็นใครบางคนร่วงลงมาด้านล่างของอาคารโดยมีลูกธนูปักอยู่ที่หน้าผาก  

 

 

วี้ด! 

 

 

เมื่อมาถึงทางเข้าจัตุรัสกลางก็ได้ยินเสียงผิวปากเบาๆ จากนั้นพวกเร่ร่อนสองคนที่กำลังห้ำหั่นกันตรงหน้าก็หันมา เขากำดาบและหอกไว้ในมือและวิ่งเข้ามา ไม่เพียงเท่านั้นการตรวจจับด้วยเวทมนต์ที่แถมไปเป็นวงกลมทำให้รู้ว่ามีคนแอบอยู่ทั้งสองฝั่ง 

 

 

‘เริ่มจากเจ้าสองคนตรงหน้าก่อน’ 

 

 

ผมพุ่งตัวไปข้างหน้าทันที พลังของออร์โธรส ลอง บู๊ทส์น่าทึ่งมาก ถึงจะไม่ได้ใช้การเคลื่อนย้ายในพริบตา แต่ระยะห่างของผมกับพวกเขาก็ลดลงอย่างมาก พวกเขาเองก็มีสีหน้าตกใจเล็กน้อย ราวกับไม่คาดคิดว่าจะเข้าถึงตัวได้เร็วขนาดนี้ ผมปักหลักบนพื้นด้วยเท้าขวาและเว้นระยะไว้ประมาณสามเก้า ตวัดดาบที่อาบไล้แสงสีน้ำเงินของพลังเวทออกไปอย่างรวดเร็ว 

 

 

เห็นได้ชัดว่าผู้เล่นที่โจมตีมิวล์อยู่ในระดับสูง ก่อนที่ดาบของผมจะปะทะกับพวกเขา ในเวลาเดียวกันนั้นเองคนที่อยู่ทางซ้ายมือก็รีบยกหอกขึ้นมาตั้งรับ ส่วนคนที่อยู่ทางขวาตอบสนองค่อนข้างช้า แต่เขายื่นดาบออกมาด้านหน้าเล็กน้อยและบิดข้อมือดูเหมือนคิดจะแทงดาบมาทั้งแบบนั้น 

 

 

แต่ว่าดาบเทพแห่งสุริยันจันทราตัดผ่านหอกที่ตั้งท่าเบาๆ และผ่านไป 

 

 

ดาบเทพแห่งสุริยันจันทรา ‘พลังของผู้ชำนาญดาบ’ ทำให้ตัดผ่านออกไปอย่างง่ายดายราวกลับเป็นเรื่องกล้วยๆ ดาบที่ตัดผ่านหอกแทรกผ่านเสื้อเกราะและสัมผัสโดนผิวเนื้อที่อ่อนนุ่ม 

 

 

ดาบเทพแห่งสุริยันจันทราเฉือนพวกเร่ร่อนเหมือนผ่าเต้าหู้ ความรู้สึกน่าขนลุกส่งผ่านมาทางฝ่ามือที่กำดาบไว้แน่น 

 

 

เมื่อผ่าร่างของมือหอกออกเป็นสองส่วน พวกเร่ร่อนทางขวาก็ล้มเลิกที่จะแทงผม เขาชะงักพร้อมกับมีสีหน้าสับสนและมองดาบที่พุ่งมาทางตนเอง จากนั้นก็ถอยหลังไป แต่ดาบของผมตัดคอและร่างของคนที่เหลืออยู่อย่างง่ายดาย  

 

 

พรึ่บ! ตุ้บ! 

 

 

เลือดพุ่งกระฉูดจากบริเวณแผ่นอกที่ถูกแหวกออกและน้ำพุเลือดไหลทะลักจากลำคอที่ถูกขาด แต่มันยังไม่จบ 

 

 

“ตายซะเถอะ!” 

 

 

“เสร็จฉันละ!” 

 

 

พวกมันที่บุกเข้ามาจะทั้งสองด้านพุ่งเข้ามาประชิดตัวผม ดูจากการกระทำที่คล่องแคล่วแล้วเห็นได้ชัดว่าทั้งสองเป็นมือสังหาร ฟังจากเสียง คนที่อยู่ทางขวากระโดดขึ้นไปกลางอากาศ เขาถือมีดสั้นไว้ในมือทั้งสองข้างและเตรียมแทงลงมา ส่วนผู้หญิงทางซ้ายก้มตัวลงและเล็งที่ข้อเท้าของผม 

 

 

ได้เวลาโจมตี ผมคงจะสับสนมากถ้าไม่รู้มาก่อน แต่เพราะผมคาดการณ์ไว้แล้วว่าพวกเขาจะเข้ามาโจมตี 

 

 

ผมบิดมือขวาและแทงดาบออกไปยังจุดที่เขาเคลื่อนตัวเข้ามา แต่กลับใช้เท้าซ้ายเตะเข้าที่ใบหน้าของชายคนนั้นด้วยความมั่นใจในคะแนนความแข็งแกร่งเก้าสิบหกพอยต์ แน่นอนว่าเป็นการเตะโดยใช้ทฤษฎีสับขาหลอก 

 

 

ผมรู้สึกว่าแขนที่ถือดาบหนักขึ้นเล็กน้อย เมื่อหันไปมองก็เห็นเจ้าคนที่พูดว่า ‘ตายซะเถอะ!’ ห้อยต่องแต่งโดยมีดาบปักอยู่ที่คอ ส่วนทางซ้ายมือก็มีหญิงสาวที่พูดว่า ‘เสร็จฉันล่ะ!’ ล้มอยู่บนพื้นและใบหน้ายุบลงไป 

 

 

หลังเข้ามาในจัตุรัส ผมฆ่าไปทั้งหมดห้าคน ยังมีพวกมันเหลืออยู่อีกหลายสิบคน 

 

 

แต่นั่นไม่ใช่เรื่องสำคัญ พวกผู้เล่นที่ฆ่าคนอย่างโหดเ**้ยมในบริเวณนี้ก่อนที่ผมจะเข้ามา, พวกเร่ร่อนที่ทำการสังหารหมู่ และพวกนักเวทส่วนหนึ่งซึ่งกำลังแผ่เวทมนตร์ออกเป็นวงกว้างจากที่ไกลๆ หันมามองผมเป็นตาเดียว 

 

 

‘ต้องจัดการพวกนั้นก่อนสินะ’ 

 

 

ผมสะบัดดาบเบาๆ จนพวกเร่ร่อนที่เสียบคาอยู่ปลายดาบร่วงลงบนพื้น จากนั้นก็หันดาบเทพแห่งสุริยันจันทราที่มีเลือดหยดติ๋งๆ ไปทางพวกนักเวทบางคนที่เริ่มจับจ้องผม  

 

 

วินาทีที่สบตากับพวกเขาผมก็กระทืบเท้าลงบนพื้นด้วยแรงทั้งหมดที่มี 

 

 

* * * 

 

 

ตู้ม! 

 

 

เสียงระเบิดดังขึ้นพร้อมกับคิมซูฮยอนที่พุ่งออกไปด้านหน้า เท้าของเขาแตะพื้นเพียงครั้งเดียว แต่กลับเข้าใกล้พวกนักเวทซึ่งอยู่ฝั่งตรงข้ามได้ถึงหนึ่งในสาม เป็นการกระโดดที่มีความเร็วน่ากลัวมาก 

 

 

พวกเร่ร่อนคงจะรู้สึกถึงพลังของคิมซูฮยอนที่เข้ามาใกล้ตนเองและจัดการกับพรรคพวก แต่พวกเขาก็ไม่ได้นิ่งเฉย 

 

 

พวกเร่ร่อนที่อยู่ในจัตุรัสตอนนี้เป็น ‘พวกเร่ร่อนตัวจริง’ เป็นพวกพเนจรร่อนเร่จากตรงนั้นตรงนี้ไปเรื่อยเปื่อยเพราะถูกตามล่าเอาชีวิต เป็นพวกมีความสามารถที่ข้ามผ่านอันตรายมาหลายครั้งและเคยประเชิญหน้ากับศัตรูที่เหนือกว่าตนเอง 

 

 

“ระดมพล! เตรียมตัวยิง!” 

 

 

เมื่อนักเวทที่อยู่ตรงกลางชูไม้เท้าขึ้นสูงพลางตะโกน พวกนักเวทที่เตรียมรอรับคำสั่งก็หันมาโดยพร้อมเพรียงกัน จากนั้นพวกเขาก็พบคิมซูฮยอนที่บุกทะลวงเข้ามาด้วยความเร็วสูงและเล็งไม้เท้าไปทางนั้นพร้อมๆ กัน 

 

 

อัญมณีที่ส่วนปลายของไม้เท้าส่องแสงหลากหลายสี ถ้ารวมกระทั่งจำนวนของนักเวทที่เตรียมท่องคาถาทีหลังก็มีถึงยี่สิบคนที่เล็งไปยังคิมซูฮยอน 

 

 

แม้ว่าคิมซูฮยอนจะเข้ามาใกล้ขึ้นเรื่อยๆ แต่เหล่านักเวทของพวกเร่ร่อนก็ไม่ได้ยิงพลังเวทออกมาในทันที จัตุรัสเต็มไปด้วยเสียงเอะอะโวยวายแต่พวกเขายังคงหยุดนิ่งรอคำสั่งของใครบางคน 

 

 

นักเวทตรงกลางที่ตะโกนสั่งในทีแรกกำลังร่ายคาถาเสียงเบา เกิดแสงสีเขียวเหมือนคาถากักขังฉับพลันบริเวณปลายไม้เท้าที่เขาถือเอาไว้และมันก็ค่อยๆ ขยายใหญ่ขึ้น ในไม่ช้าเมื่อมันมีขนาดเท่ากับลูกฟุตบอล นักเวทก็ตะโกนเสียงดังก้อง 

 

 

“จับกุม!” 

 

 

แสงสีเขียวถูกยิงเป็นเส้นตรงจากไม้เท้าที่เล็งไปทางคิมซูฮยอน มันขยายเป็นวงกว้างเหมือนคลื่นและพุ่งไปราวกับจะคว้าร่างของคิมซูฮยอน ในขณะเดียวกันนั้นพวกนักเวทที่เตรียมพร้อมก็ยิงพลังเวทออกมาราวกับกำลังรอคอยคำสั่งอยู่ 

 

 

“วอเตอร์สเปียร์!” 

 

 

“ไอซ์แคนนอน!” 

 

 

“โซ่แห่งแสงสว่าง!” 

 

 

“ธันเดอร์โบลท์!” 

 

 

แสงไฟจำนวนมากส่องแสงวูบวาบ เวทมนตร์ที่หลั่งไหล พลังอันน่ากลัวพุ่งตรงไปที่คิมซูฮยอนซึ่งเป็นคู่ต่อสู้ โซ่เวทมนตร์ที่ยิงออกมาเหมือนสายฝน เป็นตาข่ายอันสมบูรณ์แบบคล้ายกับการทิ้งระเบิด 

 

 

จากนั้นเมื่อเวทมนตร์จับกุมระเบิดตรงหน้าและค่อยๆ ร่นระยะเข้ามาใกล้คิมซูฮยอน  

 

 

เปลวไฟก็ลุกโชนในชั่วพริบตาตรงบริเวณเข็มขัดสีแดงที่ผูกไว้บนเสื้อคลุมสีน้ำทะเล จากนั้นเปลวไฟก็กลายเป็นแสงสีน้ำเงิน เมื่อตาข่ายสีเขียวจะตะครุบตัวคิมซูฮยอน มันก็แปรเปลี่ยนเป็นโลกสีน้ำเงิน 

 

 

ชิ้ง! ชิ้ง! 

 

 

ดวงตาของนักเวทซึ่งร่ายคาถาจับกุมเบิกกว้าง เวทมนตร์ที่กระจายออกไปเหมือนคลื่นถูกขัดขวางด้วยเกียรติยศแห่งสวรรค์และเกียรติยศแห่งดวงตะวัน 

 

 

คาถาจับกุมกระจัดกระจายเหมือนสีที่ผสมกันในน้ำ มันลดขนาดลงอย่างรวดเร็วพร้อมเสียงเผาไหม้ จนกระทั่งละอองน้ำสีเขียวแตกกระจายและหายไปหมด 

 

 

คิมซูฮยอนถือดาบไว้ในมือทั้งสองข้าง ดาบที่อยู่ในมือซ้ายคือดาบเทพสุริยันจันทรา ส่วนดาบในมือขวานั้นมองไม่เห็นใบมีด เหลือแต่ด้ามจับให้เห็นเท่านั้น 

 

 

คิมซูฮยอนหยุดก้าวเดินที่เหมือนกับพายุและตั้งท่า จากนั้นก็ฟันดาบมาทางเวทมนตร์นับไม่ถ้วนที่กำลังโหมกระหน่ำโดยไม่ลังเล เป้าหมายแรกก็คือ วอเตอร์สเปียร์ซึ่งมีรูปร่างเป็นหอกแหลม 

 

 

ฉับ!  

 

 

ดาบที่มองไม่เห็นฟาดลงที่วอเตอร์สเปียร์อย่างสวยงามและน่าตกใจ เวทมนตร์ที่ฝืนดึงออกมาแตกสลายและหยดน้ำก็กระจายหายไปในอากาศ 

 

 

แต่ทว่าเวทมนตร์ที่ตามมายังเหลืออีกมากมาย 

 

 

การระดมยิงที่เต็มไปด้วยการป้องกันแน่นหนาทุกทิศทางยังคงพุ่งเข้าใส่อย่างรุนแรงราวกับจะทำลายคิมซูฮยอนให้แหลกเป็นจุณ และถ้ารวมเวทมนตร์ที่เตรียมพร้อมสำหรับการโจมตีครั้งที่สองในกรณีไม่คาดฝัน พลังการทำลายล้างนั้นก็มากพอที่จะพัดพาพื้นดินบางส่วนออกไปด้วยอย่างง่ายดาย 

 

 

ฉับ ตู้ม! ฉับ เพล้ง! 

 

 

ในไม่ช้าเวทมนตร์เหล่านั้นก็มาถึงตัวคิมซูฮยอน ความไม่ไว้วางใจในดวงตาของเหล่านักเวทและการยิงอย่างต่อเนื่องรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ ตั้งแต่ตอนที่ทำลายวอเตอร์สเปียร์ 

 

 

ตู้ม! ตู้ม! ตู้ม! ตู้ม! ตู้ม! ตู้ม! ตู้ม! ตู้ม! 

 

 

จะอธิบายเรื่องนี้อย่างไรดีล่ะ 

 

 

ในมือขวาคือดาบล่องหน ในมือซ้ายถือดาบเทพสุริยันจันทรา คิมซูฮยอนกวัดแกว่งดาบทั้งสองเหมือนกังหันลม ปัดป้องเวทมนตร์ที่โจมตีอย่างต่อเนื่องไปเรื่อยๆ ได้อย่างแม่นยำ คิมซูฮยอนไม่ลังเลเลยสักนิดเหมือนชาวสวนฝีมือดีที่ตัดแต่งกิ่งไม้ได้รวดเร็ว ทั้งที่เวทพวกนั้นเข้ามาพร้อมๆ กัน 

 

 

ดาบของคิมซูฮยอนเป็นประกายวูบวาบ ประกายคมดาบซึ่งหลงเหลือร่องรอยรุนแรงเอาไว้ทุกครั้งที่กวัดแกว่งนั้นเร็วมากจนมองไม่ทันทำให้เกิดภาพลวงเหมือนวิถีดาบไร้ช่องว่าง  

 

 

มีวิธีเข้าใกล้อยู่เหมือนกัน แต่คิมซูฮยอนไม่อนุญาตให้เข้าใกล้แม้แต่นิดเดียว รัศมีดาบที่คิมซูฮยอนกวัดแกว่งนั้นประณีตและถี่ยิบ เวทมนตร์ถูกทำลายสูญเสียทิศทางและหมุนคว้างกลางอากาศเหมือนเครื่องบินปีกหักทุกครั้งที่ดาบของคิมซูฮยอนฟันลงมาและหายไปในอากาศอย่างไร้ร่องรอย 

 

 

หลังจากการระดมยิงจบลง คิมซูฮยอนก็ปรากฏตัวท่ามกลางควันหนาทึบที่เกิดจากการระเบิด โล่สีน้ำเงินยังคงส่องประกายสีน้ำทะเลอ่อนๆ และไม่เห็นคราบเขม่าบนเสื้อผ้าแม้แต่น้อย คิมซูฮยอนไม่มีบาดแผลเลยสักนิด มีเพียงพื้นที่สึกหรอจากผลของการถูกโจมตีบริเวณพื้นที่ที่เขายืนอยู่เท่านั้น 

 

 

ทันใดนั้นจัตุรัสก็เงียบสนิท เสียงร่ำร้องว่าอยากมีชีวิตอยู่และความบ้าคลั่งที่สะท้อนความแค้นซึ่งกำลังลุกไหม้หายไปหมด เสียงกรีดร้องและความบ้าคลั่งที่กระจายทั่วจัตุรัสสงบลงแทนที่ด้วยความตกใจและไม่เชื่อสายตา ดวงตาของผู้เล่นและพวกเร่ร่อนไปรวมกันอยู่ที่ชายคนเดียวโดยสัญชาตญาณ 

 

 

สำหรับพวกผู้เล่น โดยเฉพาะในหมู่นักดาบทั่วไป การขัดขวางเวทมนตร์ด้วยดาบเป็นเรื่องน่าอัศจรรย์มาก เพราะมันยากที่จะจัดการกับระเบิดซึ่งเกิดจากการปะทะของพลังเวทกับพลังเวท แม้ว่าจะมีถุงมือหนาและมีดาบที่ฉาบด้วยเวทมนตร์ก็ตาม 

 

 

นอกจากนี้เพราะนักเวทส่วนใหญ่อยู่ในคลาสที่คะแนนเวทมนตร์สูงที่สุด ดังนั้นถ้าไม่มีความสามารถที่เกี่ยวกับพลังปีศาจ การปะทะกับเวทมนตร์ซึ่งๆ หน้าถือเป็นเรื่องต้องห้ามของพวกนักดาบ 

 

 

แต่ตอนนี้ผู้เล่นที่ทำลายข้อห้ามนั้นปรากฏตัวตรงหน้าแล้ว ไม่ใช่แค่ครั้งเดียว แต่เวทมนตร์มากมายถูกสกัดกั้นและทำลายจนหมดสิ้น สิ่งที่เกิดขึ้นจึงไม่ใช่เรื่องธรรมดาเลย 

 

 

เวลาผ่านไปเพียงหนึ่งวินาทีหลังจากคิมซูฮยอนขัดขวางการโจมตีทั้งหมดได้ แววตาที่เงยขึ้นมองของเขาเป็นประกาย จากนั้นเขาก็กระโดดไปด้านหน้าด้วยการรวมกันระหว่างพลังของออร์โธรส ลอง บู๊ทสและการเคลื่อนย้ายในพริบตา มันจึงเป็นความเร็วและการก้าวกระโดดที่ไม่อาจเทียบกับเมื่อก่อนได้ 

 

 

เพียงพริบตาเดียวคิมซูฮยอนก็เข้าสู่สถานที่ที่เหล่านักเวทเร่ร่อนกำลังรวมตัวกัน พวกเร่ร่อนเงยหน้ามองด้านบนด้วยความงุนงง ร่างของคิมซูฮยอนวาดเส้นโค้งเบาๆ ในตอนที่ค่อยๆ ลงมา 

 

 

ตอนนั้นเองที่พวกเขาตั้งสติได้ พวกเร่ร่อนหายใจเฮือกใหญ่ 

 

 

“ยะ ยิงเลย!” 

 

 

พรึ่บ! 

 

 

เหล่านักธนูยิงลูกศรออกไป