เล่มที่ 15 ตอนที่ 19

Memorize

“กัสท์ออฟวินด์!” 

 

 

“ไฟรเออร์ แรนซ์!” 

 

 

พวกนักเวทที่เตรียมโจมตีท่องคาถาออกมา 

 

 

ลูกธนูและพลังเวทพุ่งขึ้นไปบนอากาศอีกครั้ง พวกเขาเล็งไปตอนที่คิมซูฮยอนกระโดดขึ้นไปสู่จุดสูงสุดและกำลังจะลงมาจึงเป็นการโจมตีที่ไม่มีทางหลีกเลี่ยงได้ แต่กลับไม่มีความตื่นตระหนกใดๆ บนใบหน้าของคิมซูฮยอน ไม่สิ ดูจากรอยยิ้มที่มุมปากแล้ว เขาอาจจะคาดเดาไว้แต่แรกแล้วก็ได้ 

 

 

ฉึก! ฉึก! 

 

 

ตู้ม! ตู้ม! 

 

 

ลูกธนูและพลังเวทแทงทะลุผ่านคิมซูฮยอนชัดเต็มตา บนใบหน้าของพวกเร่ร่อนฉายแววยินดีเมื่อเห็นรูที่เจาะทะลุบนร่างของเขา แต่กระนั้นความยินดีบนใบหน้านั้นก็หายไปจนหมดเมื่อเห็นว่าเวทมนตร์ปะทะกับลูกศรซึ่งถูกยิงขึ้นฟ้าและเกิดการระเบิด แม้จะยิงเข้าเป้าไปที่คิมซูฮยอนก็ตาม 

 

 

หลังจากนั้นไม่นานภาพของคิมซูฮยอนที่ถูกฉีกเป็นชิ้นๆ ก็ค่อยๆ ละลายหายไปในอากาศ มันคือการเคลื่อนย้ายฉับพลัน 

 

 

“ขะ ข้างหลัง!” 

 

 

ใครบางคนตะโกนเสียงดัง พวกเร่ร่อนที่กำลังจ้องมองด้านบนด้วยความงุนงงรีบหันหน้ามาทันที นักเวทเร่ร่อนที่สั่งระดมยิงเมื่อครู่ก็หันหลังไปตามเสียงตะโกน แต่คิมซูฮยอนมายืนอยู่ด้านหลังของพวกเร่ร่อนซึ่งเป็นเป้าหมายแล้ว  

 

 

สิ่งสุดท้ายที่นักเวทเร่ร่อนผู้รีบหันมาได้เห็น มีเพียงแสงสีฟ้ามากมายในอากาศและคิมซูฮยอนที่ฟันดาบซึ่งมองไม่เห็นลงมา 

 

 

 

 

 

* * * 

 

 

 

 

 

ฉับ! 

 

 

ดาบล่องหนผ่าตั้งแต่ศีรษะลงไปถึงส่วนปากในแนวตั้งจนแยกออกเป็นสองส่วน เขาคือคนที่ใช้คาถาจับกุมกับผมเมื่อครู่นี้ ผมรู้สึกว่าเขาคือผู้บัญชาการ ดังนั้นเขาจึงเป็นเป้าหมายแรก 

 

 

ตุ้บ! 

 

 

นักเวทที่ถูกผ่าศีรษะล้มลง เลือดที่ทะลักจากลำคอไหลพรวดและทำให้พื้นของจัตุรัสเปียกชุ่ม 

 

 

ด้วยเหตุนี้จึงมาถึงใจกลางของพวกเร่ร่อนได้โดยสวัสดิภาพ ผมมองไปรอบบริเวณอย่างรวดเร็ว มีไม่กี่คนที่เป็นคลาสระยะประชิด แต่ส่วนใหญ่เป็นคลาสระยะไกลและแปดสิบเปอร์เซ็นต์ของพวกเขาเป็นนักเวท 

 

 

แม้ว่าจะเป็นพวกเร่ร่อนที่ผ่านร้อนผ่านหนาวมาโชกโชนแค่ไหน แต่ก็คงไม่คิดว่าผมจะเอาชนะได้ง่ายดายขนาดนี้ การเคลื่อนไหวทั้งหมดจึงหยุดชะงัก นี่คือโอกาส ผมเก็บดาบเทพสุริยันจันทราเข้าฝักและกำดาบล่องหนไว้แน่น ประสิทธิภาพของดาบเทพสุริยันจันทราไม่ได้แย่อะไร แต่ถ้าจะจัดการเจ้าพวกนี้ให้ได้มากที่สุด ดาบล่องหนที่สามารถเข้ากันได้ดีกับเวทมนตร์ของผมร้อยเปอร์เซ็นต์ย่อมดีกว่า 

 

 

หวืด! 

 

 

เมื่อค่อยๆ ปลุกพลังเวท ดาบล่องหนก็ส่งเสียงออกมา ถึงจะมองไม่เห็น แต่ถ้าไม่ได้ตาบอดก็ต้องรับรู้ได้ถึงความอันตรายอย่างแน่นอน ผมมองบางคนที่กำลังผงะเมื่อความเร็วของพลังเวทที่กำลังไหลเวียนเพิ่มขึ้นอีก 

 

 

การสั่นสะเทือนแปลกๆ รอบดาบล่องหนเริ่มขึ้นเมื่อเวทมนตร์จากมือขวาไหลไปตามทางผ่านของพลัง มันสั่นสะเทือนรุนแรงจนสะเทือนชั้นอากาศ เพราะมีคะแนนเวทมนตร์เก้าสิบหกพอยต์พอดี 

 

 

เมื่อเป็นเช่นนี้ผมมองดาบล่องหนอีกครั้ง พลังงานสีน้ำเงินไหลผ่านดาบเหมือนคลื่น ผมได้ยินเสียงท่องคาถาและเสียงสายธนูจากทุกทิศทาง ผมกระโดดไปด้านข้างและแกว่งดาบล่องหนไปทางที่พวกนักเวทอยู่ร่วมตัวกันมากที่สุดทันที 

 

 

ตู้ม! 

 

 

ชั้นบรรยากาศที่มองไม่เห็นขยายใหญ่ขึ้นเมื่อปะทะเข้ากับอากาศที่ว่างเปล่า และในขณะที่สัมผัสได้ถึงแรงต่อต้านหนักหน่วงที่มือขวา พลังเวทบนคมดาบก็กลายเป็นคลื่นก่อนจะโจมตีพวกนักเวท 

 

 

 ตู้ม! ตู้ม! ตู้ม! ตู้ม! 

 

 

“อะ ไอ้ x” 

 

 

“อย่าเข้าไป ถอยออกมา!” 

 

 

ยิ่งระยะห่างระหว่างพวกเขาลดลง คลื่นที่ฉีกกระชากชั้นบรรยากาศก็ขยายขอบเขตเป็นรูปพัด พวกนักเวทที่รวมอยู่ในขอบเขตนั้นรู้สึกได้ถึงแรงของคลื่นที่โถมเข้ามาจากด้านหน้า จึงส่งเสียงตะโกนพลางแยกออกเป็นสองทางอย่างรวดเร็ว แต่คนที่สามารถหลบได้ก็มีแค่พวกโชคดีที่อยู่ท้ายแถวในบริเวณนั้นเท่านั้นแหละ 

 

 

“อั่ก!” 

 

 

“อ๊าก!” 

 

 

คลื่นยักษ์ซัดเข้าหาบริเวณที่พวกนักเวทรวมตัวกัน ผมวิ่งตามหลังคลื่นนั้นไปจึงเห็นฉากที่พวกเขาถูกโจมตีได้ชัดเจน 

 

 

คลื่นที่ถูกยิงออกไปผ่าร่างของห้าคนในแถวแรกเต็มๆ และจัดการอีกสี่คนในแถวที่สอง จนกระทั่งมาถึงแถวที่สาม สองคนที่เหลือกระเด็นขึ้นไปในอากาศแทนราวกับคาถาเพิ่มแรงตัดไม่คมอีกแล้ว แน่นอนว่ามันไม่ใช่สิ่งที่พวกเขาชอบแน่ เพราะแรงกระแทกที่อยู่ในคลื่น 

 

 

กร๊อบ! กร๊อบ! 

 

 

แม้ว่าคลื่นจะไม่ได้ผ่าร่างของสองคนที่เหลือ แต่ก็ทำลายจนแหลกละเอียดแทน พวกเขากระแทกกับกระดานติดประกาศใจกลางจัตุรัสอย่างแรง ผลที่ตามมาก็คือกระดานพังทลายพร้อมเสียงแตกหัก แขนขาทั้งหมดกระเด็นลงมาที่พื้นเหมือนระเบิดและเลือดไหลทะลัก 

 

 

การโจมตีหนึ่งครั้งสร้างสงครามนองเลือดสิบเอ็ดศพ แต่ผมไม่มีเวลาชื่นชมเรื่องนั้น ตอนนี้พวกเขาที่ตั้งสติได้เริ่มท่องคาถาออกมาแล้ว ผมต้องจัดการพวกเขาที่หนีรอดไปได้ก่อน แล้วค่อยจัดการพวกที่เหลือ ในตอนนั้นเอง 

 

 

“ย้าก!” 

 

 

ผมได้ยินเสียงตะโกนที่เต็มไปด้วยความโกรธ เมื่อหันไปก็มีคนหนึ่งกรีดร้องและวิ่งเข้ามาหาผม ความเร็วนั้นคล่องแคล่วและว่องไวจนทำให้ผมตกใจเล็กน้อย บางทีคะแนนความคล่องแคล่วอาจจะมากกว่าเก้าสิบก็ได้ 

 

 

ฉึก! ฉึก! 

 

 

หวืด! หวืด! 

 

 

ลูกธนู คาถาน้ำแข็ง รู้สึกถึงสัญญาณมากมายของเวทมนตร์ที่แผ่ออกมา สิ่งแรกที่ต้องทำคือจัดการกับพวกเร่ร่อนที่เข้ามาตรงหน้า เขาสวมสนับมือปลายแหลมไว้ที่มือทั้งสองข้างและมันก็กำลังพุ่งเข้าใส่ใบหน้าของผมอย่างแม่นยำ 

 

 

ฟึ่บ! 

 

 

ถึงแม้จะรวดเร็วและทรงพลังมาก แต่ก็เป็นการโจมตีที่มองเห็นได้ด้วยตา ผมรู้สึกได้ถึงลมแรงที่พัดผ่านหูไป เมื่อหันไปเล็กน้อย เขาก็ชำเลืองมองแล้วกำมือซ้าย ดูเหมือนว่าเขาคิดจะโจมตีต่อเนื่อง ผมซึ่งยืนอยู่ตรงหน้าเขาควบคุมพลังให้พอดีและซัดไปที่หน้าท้องของเขาด้วยมือซ้ายที่ว่างเปล่า 

 

 

“แค่ก” 

 

 

เขางอตัวลงแล้วโค้งมาด้านหน้า ถ้าแทงดาบออกไปตอนนี้ก็จบเรื่องได้ทันที แต่เหมือนหมอนี่ยังมีสิ่งที่ต้องทำอยู่ ผมคว้าต้นคอของพวกเร่ร่อนขึ้นพลางหันไปทางที่สัมผัสได้ถึงเวทมนตร์ซึ่งพุ่งเข้าหาเมื่อครู่นี้ 

 

 

ปั่ก! ปั่ก! ปั่ก! ปั่ก! 

 

 

ลูกธนูสองดอกที่ศีรษะและแท่งน้ำแข็งสองอันที่ท้อง ด้วยคะแนนความทนทานที่ค่อนข้างสูง ลูกธนูและเวทมนตร์จึงไม่ทะลุร่างกาย ผมรู้สึกได้ว่าร่างของเขากำลังสันกึ่กๆ อยู่ในมือที่จับต้นคอของเขาเอาไว้จากนั้นแขนขาของขาก็แน่นิ่งไป 

 

 

ผมโยนศพที่ใช้ประโยชน์เสร็จแล้วของเขาลงบนพื้น พวกเร่ร่อนมองผมพลางกัดฟันกรอด 

 

 

ตอนนี้พวกเขาเหลืออยู่ไม่ถึงสามสิบคน ผมถีบตัวจากพื้นโดยคิดว่าจะรีบจัดการให้เสร็จแล้วรีบไปที่วาร์ปเกต ในขณะนั้นก็ได้ยินเสียงตะโกนดังลั่นของหลายร้อยคนจากด้านหลัง เมื่อหันไปก็เห็นผู้เล่นที่ถูกโจมตีลุกฮือพร้อมอาวุธในมือ  

 

 

ดวงตาของผู้เล่นกำลังลุกโชนด้วยแรงแค้นราวกับจะเอาคืนที่ถูกโจมตีเมื่อครู่ 

 

 

 

 

 

“แฮ่กๆ นายเป็นผู้เล่นที่เก่งกาจจริงๆ” 

 

 

“ระหว่างที่กำลังหนีไม่ต้องพูดอะไรน่าจะดีกว่ามั้งครับ” 

 

 

“ไอ้เด็กนี่ ถึงฉันจะแก่แล้วแต่ร่างกายฉันยังไหวนะ” 

 

 

“เข้าใจแล้วครับ เอาเป็นว่าเราจะไปถึงวาร์ปเกตในเร็วๆ นี้ ผมจะออกไปดูสถานการณ์ก่อน ดังนั้นตามหลังผมมานะครับ ถ้างั้นฝากด้วยนะครับโกยอนจู” 

 

 

หลังจากโกยอนจูพยักหน้ารับ ผมก็วิ่งไปข้างหน้าทันที 

 

 

ในที่สุดพวกเร่ร่อนที่อยู่ในจัตุรัสก็ถูกจัดการจนไม่เหลือสักคน เพราะผู้เล่นที่เอาแต่มองดูเฉยๆ บุกเข้ามาในคราวเดียว แม้ว่าสถานที่ที่กลายเป็นศูนย์กลางในการสังหารหมู่ผู้เล่นจะวุ่นวายมากก็ตาม แต่ก็กลายเป็นความช่วยเหลือโดยไม่ได้ตั้งใจ เพราะแบบนั้นจึงสามารถจัดการกับพวกที่อยู่ในจัตุรัสได้เร็วขึ้น 

 

 

หลังจากการต่อสู้ในจัตุรัสสิ้นสุดลง พวกผู้เล่นก็แห่กันมาหาผม ต่างก็เอ่ยขอบคุณไม่จบไม่สิ้น เช่นพอผมปรากฏตัว สถานการณ์ก็พลิกกลับ, ขอบคุณที่ช่วยชีวิตไว้, คุณคือความหวังของเรา เป็นต้น แต่ผมไม่ว่างพอจะตอบกลับคำพูดเหล่านั้น 

 

 

พวกที่อยู่ในจัตุรัสเป็นแค่คนที่รับคำสั่งจากภายใน ตอนนี้พวกที่วิ่งมาจากประตูทิศเหนือ, ตะวันตกและตะวันออกต่างหากที่เป็นระดับสูงตัวจริง แผนของผมคือการหนีออกจากมิวล์ก่อนที่คนพวกนั้นจะมาถึงจัตุรัสหรือวาร์ปเกต 

 

 

ดังนั้นผมจึงรีบพาแค่สมาชิกเผ่าของผมออกไปจากจัตุรัส ผมรู้สึกถึงบางอย่างที่ตามหลังมาแต่ไม่ได้สนใจนัก ในไม่ช้าเราก็เริ่มค่อยๆ มองเห็นวาร์ปเกตตรงหน้า ผมเร่งความเร็วในการวิ่งและกระตุ้นพลังเวทที่สายตาจากนั้นก็ถอนหายใจยาว 

 

 

‘หรือว่าจะถูกยึดไปแล้วนะ’ 

 

 

ตอนนี้ระยะทางที่ไปวาร์ปเกตอยู่ใกล้จนมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า สถานการณ์คล้ายคลึงกับที่จัตุรัส พวกเร่ร่อนหลายสิบคนอยู่รอบวาร์ปเกต และมีผู้เล่นนับร้อยล้อมรอบบริเวณนั้น 

 

 

มีข้อแตกต่างเพียงเล็กน้อย นั่นก็คือพวกเร่ร่อนกำลังทุ่มเทให้กับการป้องกัน ไม่ใช่การโจมตี พวกผู้เล่นหลายร้อยที่ล้อมพวกเขาไว้ต่างก็ส่งเสียงตะโกนและโจมตีทุกทางเพื่อเอาวาร์ปเกตคืน 

 

 

ถึงจะพูดได้ว่าสถานการณ์ดีกว่าที่จัตุรัสเพราะเราไม่ได้ถูกโจมตีอยู่ฝ่ายเดียว แต่เสียงดังสนั่นที่ใกล้เข้ามาเรื่อยๆ จากสามทิศทางบ่งบอกให้รู้ว่าพวกเร่ร่อนจวนจะมาถึงที่นี่แล้ว ผมวิ่งไปคิดไปอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็หยุดวิ่ง 

 

 

‘ดีนะที่เก็บเอาไว้ เอาออกมาใช้ดีกว่า’ 

 

 

ผมปลุกพลังเวทอีกครั้ง เพิ่มพลังที่เท้าแล้วเหยียบพื้นอย่างแรง เกิดระลอกคลื่นบนพื้น พลังมากมายรอบบริเวณนั้นแผ่ขยายและเริ่มเป็นรูปเป็นร่าง มันเปล่งแสงสีน้ำเงินและเปลี่ยนรูปร่างเป็น ‘ดาบ’ ผมปลุกพลังของฮวาจองที่หลับใหลในหัวใจขึ้นมาทันที 

 

 

โฟ่ว! 

 

 

เสียงเพลิงที่มีเอกลักษณ์เป็นการพิสูจน์ว่าฮวาจองตื่นขึ้นแล้ว ตอนนั้นเอง พลังงานสีแดงก็ผสมเข้ากับแสงสีน้ำเงินบนดาบ ในไม่ช้าฮวาจองก็เริ่มลุกโชน 

 

 

‘เพื่อไม่ให้วาร์ปเกตเสียหาย’ 

 

 

ผมออกเดินอีกครั้งและเหวี่ยงมือขวาออกไปเต็มแรง ในขณะเดียวกันก็ชี้ดาบที่มีเปลวไฟลุกท่วมไปทางวาร์ปเกต 

 

 

 

 

 

เปลวไฟที่ไม่มีวันดับ ไฟที่ลุกไหม้ตลอดกาล 

 

 

ฮวาจองที่สามารถเผาไหม้ทุกสิ่งที่มีอยู่จริงบนโลกใบนี้ 

 

 

ผมอยากจะต่อสู้และป้องกันทุกอย่างรวมถึงวาร์ปเกตให้ได้ดังใจและพอที่จะทำแบบนั้นได้ เพราะฮวาจองเป็นพลังในตำนาน สามารถกำหนดสิ่งที่จะทำลายได้ตามประสงค์ของผม 

 

 

แต่ก็ไม่ได้เป็นเช่นนั้น เพราะผมรู้ว่ามันผิดไปจากแผนที่วางไว้ หลังจากแน่ใจว่าวาร์ปเกตถูกยึด ในกรณีที่เลวร้ายที่สุดมันอาจได้รับความเสียหาย  

 

 

กล่าวอีกนัยหนึ่งก็คือ ผมสามารถเข้ายึดวาร์ปเกตได้ แต่ผู้เล่นที่ตรวจสอบความเสียหายก็อาจจะโยนความผิดมาให้ผมได้ ดังนั้นผมจึงจงใจทำลายแนวป้องกันและพุ่งเป้าไปที่พวกเร่ร่อนซึ่งออกมาด้านหน้าให้มากที่สุดเพื่อหลีกเลี่ยงความเข้าใจผิด 

 

 

สถานการณ์ต่อเนื่องในตอนนี้ดุเดือดเพราะแนวป้องกันของพวกเร่ร่อน แต่ก็เพียงพอที่จะสามารถเอาคืนได้ แม้จะอยู่ในตำแหน่งที่ถูกพวกผู้เล่นโจมตี 

 

 

ดาบอัคนีแหวกผ่านอากาศไปไม่หยุด เพราะฮวาจองที่ลุกโชนจึงทำให้เกิดเสียงชัดเจนและผ่านเหนือศีรษะของผู้เล่นไปในพริบตา เมื่อพวกเร่ร่อนมาถึงแนวป้องกันขนาดใหญ่ที่วางไว้ พวกเขาก็พยายามโจมตีอย่างรุนแรงเหมือนเหยี่ยวซึ่งกำลังเล็งเหยื่อ 

 

 

สมมติว่ายิงขีปนาวุธร้อยลูกเหมือนกัน ยิ่งขอบเขตการทิ้งระเบิดแคบเท่าไหร่ก็ยิ่งได้ประสิทธิภาพมากขึ้น แต่นอกจากเรื่องนั้นก็เป็นพลังของฮวาจองแน่นอน 

 

 

พรึ่บ! พรึ่บ! 

 

 

“นะ นี่อะไรน่ะ! ป้องกัน!” 

 

 

“อ๊าก!” 

 

 

ไม่ได้เกิดการระเบิดครั้งใหญ่และไม่ได้เห็นผลลัพธ์ที่น่าประทับใจ เพราะฮวาจองเคลื่อนไหวอย่างซื่อตรงตามความประสงค์ของผม 

 

 

ดาบอัคนีนับสิบแทงเข้าที่เป้าหมายทั้งหมด แนวป้องกันโปร่งแสงขนาดใหญ่ฉีกขาดเหมือนแผ่นกระดาษ พวกเร่ร่อนที่ขัดขวางการบุกเข้ามาของผู้เล่นภายใต้การสนับสนุนของเหล่านักเวทล้มกลิ้งอยู่ที่พื้น ในพริบตา บริเวณรอบวาร์ปเกตสว่างไสวขึ้นจากเปลวไฟที่เกิดจากฮวาจอง และเสียงร้องด้วยความเจ็บปวดของพวกที่ถูกแทงด้วยดาบอัคนีก็ดังโหยหวน 

 

 

“อะ อะไรน่ะ เกิดอะไรขึ้น ใครกันที่…” 

 

 

“ได้โอกาสแล้ว! บุกเลย! เอาวาร์ปเกตคืนมา!” 

 

 

แนวป้องกันซึ่งปักหลักไว้แน่นหนาถูกทำลาย พวกเร่ร่อนที่ขัดขวางการบุกเข้ามาของผู้เล่นอ่อนกำลังลง นักเวทด้านหลังบางคนโซซัดโซเซเมื่อได้รับผลกระทบจากแนวป้องกันที่ถูกทำลาย ทางเข้าที่เหมือนกำแพงเหล็กถูกเปิดออกโดยสมบูรณ์ 

 

 

พวกผู้เล่นจำนวนหนึ่งพูดด้วยความงุนงงกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้นอย่างกะทันหัน ความมุ่งมั่นในการคุกคามชีวิตช่างน่ากลัว ทุกอย่างหยุดชะงักชั่วครู่ จากนั้นพวกเขาก็ตะโกนด้วยความโกรธแค้นและเริ่มโถมกันเข้าไปเหมือนคลื่น  

 

 

ผมตามหลังอยู่ท้ายแถวพลางสังเกตดูสถานการณ์ของพวกเร่ร่อนอย่างรอบคอบ 

 

 

‘พวกที่เหลือก็ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของผู้เล่นก็ได้มั้ง’