DND.
แล้วก็เป็นอย่างที่พวกผู้เฒ่าคิดคนที่ตั้งใจมารับภารกิจเริ่มหวาดกลัวขึ้นพร้อมกัน พวกเขารู้สึกว่ามีบางอย่างแปลกๆ
“มั่วหยางเคยเป็นศิษย์ข้าตอนที่พวกเรากำลังปรุงโอสถหกอสูร มันก็จู่โจมข้าแล้วชิงโอสถหกอสูรไป…”
อาจารย์พรายกล่าว
ปิงหวูชิงเลิกคิ้ว
“โอสถหกอสูร?โอสถชั้นยอดระดับแนวหน้า ที่ดินแดนพรสวรรค์รู้จักกันว่าเป็นโอสถอสูรชั้นยอดลำดับแรกน่ะรึ?”
ผู้เฒ่าเครายาวกล่าว
“ครั้งนั้นเจ้ากับข้านำโอสถหกอสูรออกมาจากแดนมณีมหัศจรรย์ หลังจากนั้นก็ใช้เวลามากกว่าห้าสิบปีในการศึกษามัน แล้วเจ้าสัตว์ประหลาดนั่นก็มาฉวยโอกาสจากพวกเรา!”
ซือหยูแอบทึ่งในใจเขาเคยได้ยินเรื่องโอสถหกอสูรมาก่อน
มันคือโอสถอสูรหายากที่ล้ำค่ามากมันต้องใช้วัตถุดิบของอสูรหกชนิดที่เกือบจะสูญพันธุ์ไปแล้ว ซึ่งวัตถุดิบแต่ละอย่างหาได้ยากอย่างมาก วัตถุดิบสามชนิดไม่ได้ปรากฏให้เห็นในจิวโจวมาหลายร้อยปีแล้ว
สำหรับคนทั่วไปการสะสมวัตถุดิบทั้งหกเพียงอย่างเดียวก็ใช้เวลาหลายสิบปีแล้ว ในอดีตที่โอสถนี้ได้หลุดออกมาจากแดนมณีมหัศจรรย์ ทั้งจิวโจวระส่ำระสาย นั่นก็เพราะมันมีผลดีมากสำหรับยอดฝีมือวิถีอสูร
ว่ากันว่าโอสถนี้มีฤทธิ์ประหลาดมากมันยังทำให้ทะลวงพลังเป็นอสูรเนรมิตรได้ด้วย! ดังนั้นมันจึงทำให้ยอดฝีมือวิถีอสูรทั้งจิวโจวต้องการมัน!
หลังจากสูตรโอสถถูกกระจายออกมาแม้แต่สำนักอสูรศักดิ์สิทธิ์ที่อยู่ในแดนเหนือสุดก็เดินทางมาเมื่อจะรับมัน สำนักอสูรสวรรค์ก็ลงมือตามหาไม่ต่างกัน เพราะเจ้าสำนักนั้นก็คือหนึ่งในราชาเก้าเขต
หากเทียบกันแล้วตำหนักโลหิตนั้นแทบจะไร้ความตระการตาหากอยู่คู่กับสำนักอสูรสวรรค์โชคดีที่ตำหนักโลหิตนั้นมีเจี๋ยนอู๋เชิงมากอบกู้เกียรติยศไว้ได้พอดี
ดังนั้นสำนักอสูรสวรรค์จึงกลับไปมือเปล่าแต่พวกเขาก็ยังไม่ยอมแพ้แม้จะผ่านมาหลายปี
หลายคนมีความคิดที่จะครอบครองสูตรโอสถนี้ซึ่งมันแทบจะเป็นไปไม่ได้ด้วยวัตถุดิบที่มีจำกัด แต่ก็ไม่มีใครรู้เลยว่าเมื่อสิบปีก่อน อาจารย์พรายได้แอบปรุงมันขึ้นมา!
แต่ในขั้นการปรุงที่สำคัญที่สุดคนทรยศมั่วหยางได้ชุบมือเปิบไป! มั่วหยางรับถูกอาจารย์พรายรับเป็นศิษย์จากการประเมินของตำหนักนอก อาจารย์พรายได้สั่งสอนเขามาหลายสิบปี ถ่ายทอดความรู้สุดล้ำค่าที่ตนเองมีไปครึ่งส่วน
ไม่มีใครคิดเลยว่าเขาจะทิ้งศักดิ์ศรีเพื่อประโยชน์ส่วนตนโดยการขโมยโอสถหกอสูรไปและเขายังขโมยวัตถุดิบที่แทบจะหาไม่ได้อีกแล้วไปปรุงเองอีกด้วย
นับจากวันนั้นโอสถหกอสูรก็ได้หายไปจากโลก นั่นเป็นเพราะมันแทบจะเป็นไปไม่ได้ในการรวบรวมวัตถุดิบทั้งหก เพราะพวกมันเกือบจะสูญหายไปหมดโลกแล้ว
“สวรรค์ตามืดบอดปล่อยให้ข้ารับคนบาปหนาน่ารังเกียจมาเป็นศิษย์!”
อาจารย์พรายพูดด้วยความเศร้า
เขาพูด
“แต่ข้าก็ไม่ได้เกลียดชังมันหรอกอย่างไรโอสถหกอสูรก็ยั่วยวนเกินไป เป็นข้าเองที่มิอาจสั่งสอนให้เขาทนต่อแรงปรารถนาได้ แต่สิ่งที่ข้าชิงชังที่สุดไม่ใช่ที่มันทำร้ายข้า แต่เป็นเพราะมันฆ่าศิษย์ข้าไปอีกสามคน!”
ซือหยูรู้สึกกลัวเล็กน้อยเมื่อได้ยินดูเหมือนว่ามั่วหยางจะชั่วร้ายและยังเจ้าเล่ห์ เขาอดทนรอเวลามานานหลายปีขณะที่วางแผน อาจารย์พรายยังไม่เคยรู้ความดำมืดในใจของเขา นั่นทำให้อาจารย์พรายไม่ทันระวัง
หนักกว่านั้นมั่วหยางยังไม่ลังเลที่จะสังหารศิษย์ร่วมอาจารย์ที่ร่ำเรียนด้วยกันมาหลายปี เขาโหดเหี้ยมถึงที่สุด ความเห็นแก่ตัวและความโหดร้ายนี้มิอาจบรรยายเป็นคำพูด ซือหยูค่อนข้างจะรู้แล้วว่ามั่วหยางเป็นคนอย่างไร
“ชีวิตนี้ข้ารับศิษย์เพียงสามคนสองคนตายด้วยมือมั่วหยาง ถ้ามันไม่ตาย ข้าก็ไม่มีทางมีความสุข!”
อาจารย์พรายกล่าว
เขาพูดอีก
“ด้วยเหตุนี้ข้าจึงเสนอสามล้านคะแนนที่ข้าเก็บมาครึ่งชีวิตให้ใครก็ตามที่ล่ามั่วหยางลงได้! ใครก็ตามที่สังหารมั่วหยางจะได้คะแนนทั้งหมด!”
มิใช่ว่าอาจารย์พรายไม่เคยคิดถึงการสังหารมั่วหยางด้วยตัวเองแต่เมื่อเขาเป็นนักปรุงยาที่สำคัญที่สุดในตำหนักโลหิต เขาจึงมิอาจออกจากตำหนักนานเกินไปได้ เขาทำได้แค่ใช้วิธีนี้เพื่อที่จะล่ามั่วหยาง
“ข้าไม่ได้คาดหวังให้พวกเจ้านำโอสถหกอสูรคืนมาเพราะมันผ่านมาหลายปีแล้วถ้ามันไม่ได้ใช้เอง มันก็น่าจะขายไปแล้ว จะดีมากถ้าพวกเจ้าหามันเจอ แต่หาไม่เจอก็ไม่เป็นไร แต่ไม่ว่าจะอย่างไรก็ต้องเอาหัวมันมาให้ข้าให้ได้!”
อาจารย์พรายพูดอย่างหนักแน่น
แม้จะได้ฟังแบบนี้ซือหยูก็ไม่คิดเปลี่ยนใจ เขาตัดสินใจรับภารกิจนี้และจะใช้โอกาสนี้หนีออกจากตำหนัก แต่ถ้าหากมีโอกาส เขาจะสังหารมั่วหยางเสีย!
“ข้าประเมินไม่ได้ว่าไอ้ทรยศนั่นมีพลังแค่ไหนแล้วหลังจากผ่านมาสิบปีสิ่งเดียวที่ข้ารู้ก็คือสิบปีที่แล้วมันเป็นจ้าวเทวะระดับสาม!”
อาจารย์พรายกล่าว
เขาพูดต่อ
“แต่ข้าต้องเตือนพวกเจ้าว่าตลอดสิบปีที่ผ่านมามีศิษย์ไม่ถึงยี่สิบคนรับภารกิจนี้ ทุกคนล้มเหลวอย่างไม่มีข้อยกเว้น ไม่มีใครเคยกลับมาได้! ถ้าเจ้ารับภารกิจนี้ก็จงจำไว้ว่ามันเสี่ยงมาก”
จากนั้นเขาจึงถาม
“เอาล่ะมีใครยังอยากรับภารกิจนี้อยู่หรือไม่?”
ไม่มีใครเดินออกไปเลยแม้จะได้ฟังความเสี่ยงพวกเขาตั้งมั่นว่าจะรับภารกิจ
“ดี!ถ้าเช่นนั้น พวกเจ้าก็พูดถึงความมั่นใจในการสังหารมั่วหยางได้อย่างอิสระ ใครที่มั่นใจที่สุด…คนผู้นั้นจะได้รับภารกิจ…”
อาจารย์พรายกล่าว
ศิษย์ในสามคนมั่นใจในตัวเองมาก
“หม่าซูผู้นี้ไม่ได้มีพรสวรรค์อะไรแต่ข้าก็เชี่ยวชาญวิชาอำพราง แต่ถ้าข้าได้เข้าใกล้มั่วหยาง อย่างน้อยข้าก็บั่นคอมันได้ในทีเดียว!”
จ้าวเทวะระดับหกเท้าเอวเมื่อพูด
เขายังคงยืนอยู่ที่เดิมแต่ตอนนี้เหมือนกันว่าเขาหายตัวไปจากสายตา ที่น่าทึ่งกว่านั้นก็คือพลังของเขาก็หายไปด้วย!
อาจารย์พรายพยักหน้าเขายิ้มขางๆ จากนั้นจ้าวเทวะระดับห้าอีกสองคนก็แสดงพลังที่เป็นพลังตามรอยและพลังควบคุมแมลง
วิชาสะกดรอยนั้นสามารถใช้ติดตามมั่วหยางได้อย่างใกล้ชิดขณะที่วิชาควบคุมแมลงนั้นจะทำให้มั่วหยางเป็นพิษตายในวิธีที่คาดไม่ถึง แสดงให้เห็นว่าจ้าวเทวะระดับห้าสองคนนี้เป็นผู้ที่แข็งแกร่งมาก
“อาจารย์พรายข้าเชิญศิษย์น้องสองคนนี้มาที่นี่เพื่อช่วยข้าในการทำภารกิจ ถ้าข้าได้ทำภารกิจนี้ ข้าเชื่อว่าข้าจะกุดหัวมั่วหยางมาให้ท่านได้…”
หม่าซูพูดอย่างมั่นใจ
อาจารย์พรายพอใจเมื่อได้ฟังผู้เฒ่าเครายาวอีกคนและผู้เฒ่าจิงก็พยักหน้าเช่นกัน สามคนนี้เหมาะสมมากในการล่าศัตรู โอกาสสำเร็จก็น่าจะสูงหากมอบหมายให้พวกเขา
“ฮ่าๆๆช้าก่อน”.novel-lucky.
อาจารย์พรายหัวเราะและมองซือหยูกับอีกสองคน
แต่ถ้าจะพูดให้ชัดเขากำลังมองปิงหวูชิง ปิงหวูชิงใบหน้าเย็นชา กระบี่เอนพิงแขน
นางเหลือบมองหม่าซูและศิษย์น้องของเขาแต่ยังคงเงียบขณะที่แรงกดดันวิญญาณมหาศาลได้แล่นออกมา ไม่นานหลังจากนั้น แรงกดดันที่แข็งแกร่งราวกับคลื่นยักษ์ก็เติมเต็มไปทั่วห้อง
หม่าซูใบหน้าแข็งทื่ออาจารย์พรายกับที่เหลือรีบเรียกพลังออกมาปกป้องตัวเอง
ซือหยูเองก็ตกใจเขาทิ้งระยะห่างและใช้พลังชีวิตออกมาป้องกัน เขาหันไปมองอกที่เปล่งแสงของปิงหวูชิง แสงแปลกๆสะท้อนเข้าตาตามมา อกของนางน่าจะมีบางอย่างที่น่ากลัว นางกำลังปลดปล่อยพลังอันเย็นยะเยือกที่เทียบได้กับจ้าวเทวะระดับเก้า!
ซือหยูหายใจเข้าลึก…เกิดอะไรขึ้นกับนางกัน?
แรงกดดันวิญญาณหายไปในครู่หนึ่งทุกสิ่งกลับมาเป็นปกติ ปิงหวูชิงยังคงเงียบเมื่อจ้องตรงไปยังอาจารย์พราย อาจารย์พรายดูดีใจยิ่งกว่าเดิม
หม่าซูมองปิงหวูชิงด้วยความกลัวราวกับว่ามีบางอย่างเพิ่งจะเกิดขึ้นกับเขา
“แล้วเจ้าล่ะ?สาวน้อย”
อาจารย์พรายมองกงซุนหวูซื่อ
“ข้าเป็นลูกน้องของพี่หวูชิงข้าไม่มีความสามารถอะไรหรอก”
กงซุนหวูซื่อยิ้มหวาน
อาจารย์พรายปากบิดเบี้ยวเมื่อนึกชื่อนางออกเขาจะไม่รู้จักกงซุนหวูซื่อผู้เลื่องชื่อจากตำหนักนอกได้อย่างไร? สาวน้อยผู้นี้มีตัวตนและที่มาที่ยอดเยี่ยม!
ท้ายสุดอาจารย์พรายมองไปทางซือหยู สีหน้าของเขากลับมาไร้อารมณ์ เขารู้สึกแปลกเพราะเขาไม่รู้จักศิษย์นอกคนนี้เลย ดังนั้นเขาจึงคิดว่าเขาจะต้องเป็นคนที่ไม่สลักสำคัญอะไร
เขามองซือหยูและสงสัย…ด้วยฐานพลังภูติระดับห้าเขากล้ามาท้าทายรับภารกิจนี้ได้ยังไง?
“แล้ว…เจ้าล่ะ?”
อาจารย์พรายถามด้วยความสงสัย
ซือหยูคิดอยู่ครู่หนึ่งจากนั้นแสงสีเขียวก็เปล่งออกจากแขน มนุษย์คนหนึ่งถูกอัญเชิญขึ้นมาจากความว่างเปล่า
ไม่มีใครคาดคิดว่ามันจะเกิดขึ้นทุกคนจึงตั้งท่าป้องกันขึ้นทันที
เมื่อแสงเงาจางไปใบหน้าของคนที่ถูกเรียกออกมาก็เห็นได้อย่างชัดเจน เขาไม่ใช่ใครอื่นนอกจากหูหวังกุย คนที่เพิ่งจะฟื้นฟูจากบาดแผลและมีฐานพลังของจ้าวเทวะระดับห้า!
“หูหวังกุย!”
ขณะที่คนอื่นสงสัยผู้เฒ่าเครายาวอุทานและจ้องมองเขาอย่างไม่เชื่อสายตา
ผู้เฒ่าจิงถาม
“เจ้าพันธมิตรโจวหูหวังกุยคือใครกัน?”
ผู้เฒ่าเครายาวหรือเจ้าพันธมิตรโจวตอบด้วยความตกตะลึง
“หูหวังกุยเป็นเจ้าของร้านระดับสูงที่ดินแดนมีดสวรรค์ส่งมายังเมืองเทียนหยาเขาทำหน้าที่ดูแลการค้าโอสถและติดต่อกับพันธมิตรปรุงยา แต่…เขาไม่ได้มาจากดินแดนมีดสวรรค์หรอกหรือ? ทำไมเขาถึงมาอยู่ที่ตำหนักโลหิตกัน?”
อะไรนะ?เขามาจากดินแดนมีดสวรรค์รึ? บางคนแสดงความมุ่งร้ายและจิตสังหารออกมาทันที แม้แต่ซือหยูก็กลายเป็นเป้าหมายของจิตสังหารนั้น!
อาจารย์พรายจ้องมองซือหยู
“ไม่ว่าเจ้าจะใช้วิธีใดซ่อนมันแล้วทำให้ปรากฏตัวออกมาได้มันก็มาจากฝ่ายตรงข้าม”
“เจ้าพามันมาในตำหนักในโดยไม่ได้รับอนุญาตจากตำหนักข้าไม่ต้องบอกใช่ไหมว่าเจ้าจะต้องเจอกับอะไร?”
ซือหยูไม่ได้ตอบตรงๆแต่เขามองไปที่หูหวังกุย
“คุกเข่า”
“ขอรับนายท่าน”
หูหวังกุยแววตาสดใสไร้การต่อต้าน
จากนั้นเขาจึงคุกเข่าเขาคุกเข่าต่อหน้าอาจารย์พรายและทุกคน สิ่งที่เกิดขึ้นทำให้ทุกคนตกตะลึงอีกครั้ง
“เขา…เขากำลังถูกควบคุมงั้นรึ?”
อาจารย์พรายตกใจมาก
จากนั้นเขาก็จ้องมองซือหยูพร้อมกับหรี่ตา
“เจ้าบอกข้าได้หรือไม่…เจ้าทำได้ยังไง?”
“ผู้อาวุโสท่านหนึ่งช่วยข้าควบคุมเขาและส่งเขาให้ข้าเพื่อที่หูหวังกุยจะได้ปกป้องตัวข้าเองข้าบอกมากกว่านี้ไม่ได้แล้ว”
ซือหยูไม่ได้ถ่อมตัวหรืออวดดีเลยในการตอบ
เมื่อได้ฟังคำตอบทุกคนตกตะลึงถึงขีดสุด ปิงหวูชิงแปลกใจมาก นางสงสัย…ผู้อาวุโสรึ? ผู้อาวุโสแบบใดกันที่ควบคุมจ้าวเทวะระดับห้าแล้วส่งให้กับภูติระดับห้าควบคุมต่อ?
ผู้เฒ่าจิงขนลุกเล็กน้อยและตำหนิซือหยู
“หยาบคายนักที่ปิดบังความลับจากผู้เฒ่า!บอกทุกอย่างมาซะ!”
ซือหยูเงยหน้ามองนางแน่นอนว่าเขาไม่ชอบการพูดจาที่เกินจะทนของนางได้ แม้แต่คำสั่งเองก็ไม่น่าฟังอย่างยิ่ง
เขาถาม
“การเป็นศิษย์ตำหนักโลหิตหมายความว่าข้าต้องไม่มีความลับด้วยหรือ?”
ผู้เฒ่าจิงกำลังจะตอบแต่อาจารย์พรายก็โบกมือหยุดนาง
“เขาพูดถูกข้าประกาศภารกิจเท่านั้น มิได้มาสืบสวนให้ใครเปิดเผยความลับ”
“เอาล่ะจ้าวเทวะระดับห้าคือไพ่ตายของเจ้า แต่ที่นี่มีจ้าวเทวะระดับห้าสองคนกับจ้าวเทวะระดับหกอีกหนึ่งคน เจ้ามั่นใจกว่ารึว่าจะสังหารมั่วหยางได้?”
ในด้านพลังซือหยูเป็นผู้ที่อ่อนแอที่สุดอย่างไม่ต้องสงสัย เพราะเขามีตัวคนเดียว และไพ่ตายก็เป็นแค่จ้าวเทวะระดับห้า
ซือหยูพูดตรงๆ
“อืม…เขาไม่ใช่ไพ่ตายของข้าไพ่ตายของข้าคือเรื่องธาตุที่ทำให้ทุกคนตกใจเมื่อครู่มิใช่รึ?”
จากนั้นซือหยูก็หันไปมองศิษย์จากตำหนักในทั้งสาม
“ถ้ามั่วหยางสู้กับสามคนนั้นเขาย่อมต้องโต้กลับด้วยพลังทั้งหมดที่มี แต่กับข้าที่เป็นภูติระดับห้า…ใครล่ะจะสนใจข้า?”
คำถามของเขาทำให้อาจารย์พรายเงียบไปและก็เป็นเรื่องจริง ไม่มีใครสนใจซือหยูจนถึงตอนนี้ แต่ก็เพราะเหตุผลนั้นเองที่ทำให้ทุกคนตัวแข็งทื่อเมื่อเขาเรียกจ้าวเทวะระดับห้าออกมา
“จากที่อาจารย์พรายบอกมั่วหยางเจ้าเล่ห์มาก เราจะเสียเปรียบถ้าต่อสู้ตรงๆ ดังนั้น…ทำไมถึงไม่ลอบโจมตีเขาเล่า? โอกาสชนะอาจจะเยอะกว่ามาก…”
ซือหยูพูดอย่างใจเย็น
นี่คือพลังที่แข็งแกร่งที่สุดของซือหยูไม่ว่ามั่วหยางจะขี้ระแวงแค่ไหน เขาก็คงไม่ระวังตัวต่อภูติระดับห้ากระจอกๆ ด้วยวิธีนี้ ซือหยูก็จะใช้แนวคิดนี้สังหารเขาเอง…ความไม่รู้มักจะเป็นจุดอ่อนถึงฆาตเสมอ!
อาจารย์พรายพยักหน้าช้าๆแต่จากนั้นเขาก็หันไปทันที
“แต่…ข้ารอมาสิบปีแล้วข้าหมดความอดทนแล้ว”
เขาพูดต่อ
“ครั้งนี้เจ้าพันธมิตรโจวได้ข้อมูลสำคัญเรื่องไอ้คนทรยศนั่นมา ถ้าหากไม่ฆ่ามันครั้งนี้มันก็จะไปซ่อนตัวอีก มันจะหายตัวไปอีกหลายปี มันอาจจะออกจากดินแดนพรสวรรค์ไปก็ได้! นี่เป็นโอกาสทอง ข้าเดิมพันกับเจ้าไม่ไหว ข้าต้องการพลังสูงสุด! ขออภัยด้วย แต่เจ้าไม่เหมาะสม!”