นายน้อยคลายมือออกทันที เทพธิดาสบโอกาสสูดลมหายใจเข้าลึกๆ
แม้นายน้อยจะถูกฝ่ามือของเทพธิดาผลักออกไปอย่างแรง ทว่าร่างที่ลอยอยู่กลางอากาศกลับสงบนิ่ง เมื่อลงมายืนบนพื้นอย่างมั่นคง ร่างในชุดสีขาวหิมะก็เอามือไพล่หลังดั่งเทพเซียนจุติลงมา ท่าทางเรียบเฉย เส้นผมพลิ้วไหวอยู่ด้านหลัง เสื้อผ้าไม่มีแม้แต่รอยยับย่น
ท่าทางของเขาดูเฉยเมย และไม่ชายตามองเทพธิดาแม้แต่น้อย ทำเพียงเดินผ่านเทพธิดาและจากไป
ทันใดนั้น เทพธิดาก็จับหน้าอกตนเองด้วยความประหม่า ก่อนจะร้องเรียกเขาว่า “อาจารย์! ”
นายน้อยไม่หยุดเดิน เทพธิดาจึงไล่ตามไปสองก้าว “อาจารย์ ศิษย์มีวิธีช่วยฉ่ายเวย ไม่ให้นางเข้าวังในวันพรุ่งนี้”
นายน้อยหยุดฝีเท้าลง ทว่าไม่ได้หันหลังกลับมา
ไม่รู้เพราะเหตุใด เทพธิดายังคงตื่นตระหนกและกังวล หน้าอกของนางกระเพื่อมขึ้นลงไม่หยุด ผ่านไปครู่หนึ่งจึงสงบลงได้ ในดวงตามีบางอย่างที่แน่วแน่อย่างมาก นางค่อยๆ เดินไปยังข้างกายนายน้อย
“พรุ่งนี้… พรุ่งนี้ ศิษย์จะเข้าวังแทนฉ่ายเวย เช่นนั้น… เช่นนั้น อาจารย์ก็สามารถพาฉ่ายเวยหนีไปได้”
นายน้อยค่อยๆ มองมาที่เทพธิดา ทว่าเป็นการชำเลืองเพียงหางตาเท่านั้น ทั้งสีหน้าของเขายังเย็นชาอย่างยิ่ง
“เจ้ารู้จุดประสงค์ของโหวเหย่ที่ให้ฉ่ายเวยเข้าวังหรือไม่? ”
เทพธิดาพยักหน้า “รู้ ฮ่องเต้ชื่นชอบฉ่ายเวย โหวเหย่จึงให้ฉ่ายเวยเข้าวังเพื่อเกลี้ยกล่อมฮ่องเต้ และนำหยกกิเลนมาให้โหวเหย่”
นายน้อยนิ่งเงียบไม่พูดอันใด เขาจ้องมองดวงตาทั้งคู่ของเทพธิดาด้วยความเรียบเฉย รอเทพธิดากล่าวต่อไป
เทพธิดายังคงมีท่าทางแน่วแน่ “อาจารย์ ศิษย์ยินดีเข้าวังแทนฉ่ายเวย ศิษย์มีวรยุทธ์ ทั้งยังมีใบหน้าเหมือนฉ่ายเวย หากเข้าวังไป ย่อมดีกว่าฉ่ายเวยที่ไม่มีวรยุทธ์ไม่ใช่หรือ? ”
คำพูดของเทพธิดาฟังดูมีเหตุผลอยู่บ้าง นายน้อยมองเทพธิดาด้วยแววตาลึกซึ้งขึ้นเล็กน้อย ทว่ายังคงเมินเฉยเย็นชา
“ในเมื่อเป็นเช่นนั้น คืนนี้ก็เตรียมตัว พรุ่งนี้เข้าวังแต่เช้าตรู่”
ทันทีที่พูดจบ ยังไม่ทันรอให้เทพธิดาตอบตกลง เขาก็หันหลังเดินจากไป
เทพธิดาคาดไม่ถึงว่านายน้อยจะตอบตกลงอย่างรวดเร็วเช่นนี้ เขาไม่มีร่องรอยของความลังเลและครุ่นคิดแม้แต่น้อย หัวใจของนางพลันรู้สึกเจ็บปวด
ทว่านางยังคงฝืนยิ้ม “อาจารย์ ในเมื่อศิษย์ให้คำมั่นสัญญาแล้ว ก็ต้องทำให้สำเร็จ และไม่ทำให้อาจารย์กับโหวเหย่ต้องผิดหวัง ทว่า… ” เทพธิดาลังเลไปชั่วขณะ ก่อนจะเอ่ยเงื่อนไขของตนเอง “ทว่า ศิษย์มีเงื่อนไขข้อหนึ่ง คืนนี้อาจารย์ต้องอยู่เป็นเพื่อนศิษย์หนึ่งคืน”
ซูจิ่นซีที่มองเหตุการณ์ทั้งหมดอยู่ด้านข้างอย่างเงียบงัน พลันขมวดคิ้วมุ่น
“เจ้าเด็กโง่ คุ้มค่าหรือ? เขาไม่ได้ชอบเจ้า ต่อให้เจ้าใช้วิธีนี้เพื่อให้ได้ตัวเขามา ทว่าเจ้าไม่มีทางได้ครอบครองหัวใจของเขา! เช่นนั้นจะมีประโยชน์อันใด? ”
เสียดายที่นายน้อยและเทพธิดาไม่ได้ยินเสียงพูดของนาง
สายตาของนายน้อยเปล่งประกายความเย็นชา จากท่าทางและแววตาของเขา เห็นได้ชัดว่าเขารังเกียจคำร้องขอของเทพธิดายิ่งนัก ทั้งยังรู้สึกว่าเทพธิดาไม่รู้จักประมาณตน จึงหันหลังเดินจากไป
แววตาของเทพธิดาปรากฏความตื่นตระหนก นางรีบเข้าไปยืนขวางด้านหน้านายน้อย พลางลดท่าทีลง น้ำเสียงแฝงไปด้วยความอ้อนวอน
“อาจารย์ ศิษย์ยังนึกถึงตอนที่พวกเราอยู่ที่สำนักแพทย์เทียนอี คืนนี้ท่านไปสำนักแพทย์เทียนอีเป็นเพื่อนศิษย์สักครั้งได้หรือไม่? เพียงคืนเดียวได้หรือไม่? ผ่านคืนนี้ไป ศิษย์และอาจารย์ก็ไม่มีความสัมพันธ์อันใดต่อกันแล้ว หลังจากศิษย์มอบหยกกิเลนให้โหวเหย่ ศิษย์ก็จะไปจากต้าโจว แต่นี้ต่อไปอาจารย์และฉ่ายเวยจะไม่ได้เห็นหน้าศิษย์อีก ศิษย์รับรองว่าจะไม่ทำร้ายฉ่ายเวยอีกแล้ว”
แม้ไม่รู้ว่าเทพธิดาเคยทำสิ่งใดไว้กับสตรีที่ชื่อฉ่ายเวย ทว่าท่าทางของนายน้อยราวกับไม่เชื่อเทพธิดา จึงไม่ตอบตกลงนาง
แววตาของเทพธิดาเปี่ยมไปด้วยความเจ็บปวดอันลึกซึ้ง ทว่านางปกปิดไว้อย่างดีด้วยรอยยิ้มบางเบาที่มุมปาก
นางค่อยๆ ก้าวไปข้างหน้าหนึ่งก้าว พลางใช้สองมือดึงแขนเสื้อสีขาวราวหิมะที่ไม่มีรอยยับย่นของนายน้อย ก่อนจะก้มตัวลง และพูดด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความอ้อนวอนและถ่อมตนอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน
“อาจารย์ ศิษย์ขอร้องท่าน แม้ไม่เห็นแก่ชะตากรรมของศิษย์ที่ต้องเข้าวังพรุ่งนี้ อาจารย์ก็ควรเห็นแก่ความเป็นศิษย์อาจารย์ตลอดหลายร้อยปีของท่านและข้าไม่ใช่หรือ? เห็นแก่ความเป็นศิษย์และอาจารย์! ”
อย่างน้อย ตลอดหลายร้อยปีที่ผ่านมา ตอนที่ฉ่ายเวยยังไม่ปรากฏตัว อาจารย์ของนางยังปฏิบัติต่อนางอย่างดี ความสัมพันธ์ระหว่างอาจารย์และศิษย์ลึกซึ้งอย่างมาก
หลังจากพูดจบ ในมุมที่ไม่มีผู้ใดมองเห็น เทพธิดาก้มหน้าลง หยาดน้ำตาไหลรินลงมาเล็กน้อย
นายน้อยเงยหน้าขึ้นอย่างเชื่องช้า เขาสูดลมหายใจลึก ผ่านไปครู่หนึ่งจึงพูดว่า “ตกลง! ”
ซูจิ่นซีเดินตามด้านหลังนายน้อยและเทพธิดามาตลอดทาง จนมาถึงสำนักแพทย์เทียนอี
เพื่อไม่ให้เป็นการรบกวนลูกศิษย์ในสำนักและทำให้เกิดความวุ่นวาย เทพธิดาและนายน้อยจึงมาถึงสำนักแพทย์เทียนอีในยามกลางคืน พวกเขาตรงไปที่ห้องนอนของนายน้อยในตำหนักเซียนหลินซึ่งอยู่ในสำนักแพทย์เทียนอี
อย่างไรเสีย พวกเขาก็อยู่ที่นี่เพียงหนึ่งคืน หากทำให้ลูกศิษย์หรือเหล่าผู้อาวุโสตื่นตกใจ คงต้องอธิบายกันยืดยาว
ไม่รู้ว่านานเท่าใดแล้วที่พวกเขาไม่ได้กลับมาที่นี่ ประตูตำหนักเต็มไปด้วยฝุ่นหนา
ขณะที่เทพธิดาผลักประตูตำหนักอันหนักอึ้ง ฝุ่นก็ตกลงมาที่ตัวนาง
ทว่าเทพธิดากลับไม่ใส่ใจ นางทำเพียงมองไปยังรอยที่อยู่บนประตูตำหนัก ดวงตาทั้งคู่เริ่มร้อนผ่าว และมีหยดน้ำไหลรินลงมา
“อาจารย์ยังจำรอยที่ท่านทิ้งไว้ ตอนที่สอนกระบี่ให้ศิษย์ครั้งแรกได้หรือไม่? ”
ฝีเท้าของนายน้อยหยุดชะงัก ทว่าเขาไม่ได้หันกลับมา
เสียงทอดยาวของเทพธิดาดังขึ้นในห้องโถงอันว่างเปล่าของตำหนักอีกครั้ง
“จำได้ว่า ตอนนั้นศิษย์ไม่มีทักษะด้านการฝึกกระบี่ จุดตันเถียนไม่มีพรสวรรค์ด้านฝึกกระบี่ ทว่าศิษย์มีความตั้งใจอย่างแรงกล้า จึงเข้าสำนักมาเพื่อฝึกกระบี่ อย่างไรก็ตาม ไม่ว่าศิษย์จะมีความตั้งใจเพียงใด ทว่าคราแรก หลิงเจี้ยนเฟิงกลับไม่ยอมรับข้าเป็นศิษย์ ทุกคนในสำนักแพทย์เทียนอีไม่มีผู้ใดยอมเชื่อข้า ทั้งยังไล่ข้าออกจากหุบเขา ตอนนั้นอาจารย์กลับมาพอดี ท่านพูดว่าท่านเชื่อและยังรับข้าเป็นศิษย์ หากไม่ใช่เพราะอาจารย์กลับมาได้ทันเวลา ชีวิตนี้ของศิษย์คงไร้วาสนากับสำนักแพทย์เทียนอีแล้ว”
ดวงตาของนายน้อยเปล่งประกายอย่างน่าประหลาด ทว่าเขาใช้ท่าทีเย็นชาปกปิดไว้อย่างรวดเร็ว
“ตันเถียนของเจ้าหาได้ไร้พรสวรรค์ ทว่าปรากฏช้ากว่าผู้อื่น นับว่าเจ้ามีความสามารถซ่อนอยู่ เป็นหลิงเจี้ยนเฟิงเองที่มองไม่ออกในตอนแรก”
เทพธิดาแย้มยิ้มมุมปากแผ่วเบา นางมองแผ่นหลังของนายน้อยโดยไม่ปกปิดแววตาที่เปี่ยมไปด้วยความรัก
“ม้าที่เก่งและดี เพราะได้ผู้ที่มีสายตาแหลมคมฝึกฝน ต่อให้ข้าจะมีพรสวรรค์และความสามารถ ทว่าไม่ได้พบอาจารย์ เช่นนั้นจะมีประโยชน์อันใด?”
“พรสวรรค์ที่ดีที่สุดของเจ้าไม่ใช่วิชากระบี่ ทว่าอยู่ที่วิชาแพทย์” นายน้อยยังคงไม่หันกลับมา
เทพธิดาไม่ได้ส่งเสียงอันใด นางเดินเข้าไปในตำหนักอย่างเชื่องช้า
เมื่อมองเห็นกล่องลายครามที่วางอยู่ไกลๆ ดวงตาก็ร้อนผ่าวขึ้นมาอีกครั้ง กระทั่งมุมปากที่ปิดแน่นยังสั่นเทาเล็กน้อย มือทั้งคู่ที่ห้อยอยู่ข้างกายก็ดูไม่เป็นธรรมชาติ
นางต้องใช้ความพยายามอย่างมากเพื่อรักษาอารมณ์ของตนให้คงที่ และบังคับน้ำตาที่กำลังจะไหลออกมาให้กลับเข้าไป สองมือกำแน่นอย่างไม่รู้ว่าควรวางไว้ที่ใด จากนั้นจึงเดินไปที่กล่องลายครามนั้น
เทพธิดาเปิดกล่องลายคราม ข้างในเป็นเข็มโปร่งแสงราวกับน้ำแข็ง ส่องประกายดั่งหิมะ
“นี่เป็นเข็มเหมันต์เทวะที่เจ้าตำหนักหลิวหลีหนานไห่ มอบให้อาจารย์ในวันเกิดครบรอบอายุห้าร้อยปี ยามนั้น มีผู้อาวุโสในสำนักหลายท่านที่ต้องการครอบครองมัน ทว่าอาจารย์กลับมอบให้ข้าเป็นของขวัญ”
“เทศกาลฉงหยางเป็นวันเกิดของอาจารย์ และยังเป็นวันเกิดของเจ้าอีกด้วย”