เล่มที่ 19 เล่มที่ 19 ตอนที่ 566 สามชาติสามภพ นายน้อยพระราชวังใต้ดิน

สนมโง่เจ้าจะหนีไปไหน

เมื่อพลังภายในอันทรงอานุภาพค่อยๆ ผสานเข้ากับพลังเดิมในร่างกาย สติของซูจิ่นซีก็ยิ่งเลือนรางมากขึ้นเรื่อยๆ

ท้ายที่สุด จิตของนางก็พุ่งเข้าไปในอาคมกำไลปี่อั้น

ทันทีที่สัตว์เทพกิเลนเห็นซูจิ่นซี มันก็รีบพุ่งตรงเข้ามาในอ้อมอกของนาง ซูจิ่นซีรู้สึกเหนื่อยมาก แม้จะเป็นเพียงความคิด ทว่านางเหนื่อยจนไม่สามารถโอบกอดสัตว์เทพกิเลนได้

สัตว์เทพกิเลนที่มีขนาดตัวเท่าฝ่ามือ นอนถูไถอยู่บนหน้าอกของนาง

ซูจิ่นซีคว้าตัวมันและขว้างออกไป

“หยุดวุ่นวาย ข้าเหนื่อย! ”

สัตว์เทพกิเลนราวกับรับรู้ได้ถึงอาการเหนื่อยของซูจิ่นซี จึงไม่กระโดดเข้าไปหาอีก เพียงใช้หัวถูไถขาของซูจิ่นซี และเดินตามนางอยู่ด้านหลัง

มีอยู่สองกรณีที่จิตของซูจิ่นซีเข้ามาในอาคมกำไลปี่อั้นอย่างกะทันหัน กรณีแรกคือ ซูจิ่นซีเข้ามาด้วยตนเองเมื่อต้องการตามหาสัตว์เทพกิเลน กรณีที่สองคือ ซูจิ่นซีถูกดึงเข้ามาตอนที่อาคมกำไลปี่อั้นเลื่อนระดับขั้น

เห็นได้ชัดว่าสถานการณ์ในตอนนี้เป็นกรณีที่สอง

ดังนั้น สิ่งแรกที่ซูจิ่นซีทำหลังจากพบว่าจิตของนางเข้ามาในอาคมกำไลปี่อั้นคือ ตรงไปที่แท่นบูชาเพื่อดูผลึกแก้วดอกปี่อั้นที่กลีบดอกยังไม่สมบูรณ์

กลีบดอกของอาคมกำไลปี้อั้นมีจำนวนเพิ่มขึ้นตามคาด

ทว่าเพิ่มขึ้นเพียงกลีบเดียว

ก่อนหน้านี้ อาคมกำไลปี้อั้นมีการเลื่อนระดับขั้นสองครั้ง ทุกครั้งที่มีการเลื่อนระดับขั้น กลีบดอกจะปรากฏขึ้นสองกลีบ และกลีบที่ไม่สมบูรณ์จะถูกซ่อมแซมขึ้นใหม่สี่กลีบ

ทว่าครานี้ กลีบดอกกลับเพิ่มขึ้นมาเพียงกลีบเดียว

หรือว่า… ยิ่งฝึกอาคมกำไลปี้อั้นมากเท่าไร ความเร็วในการเพิ่มขึ้นของกลีบดอกจะยิ่งช้าลง

อย่างไรก็ตาม ซูจิ่นซีเข้าใจเกี่ยวกับเรื่องนี้

ตอนอยู่ที่ดินแดนต้องห้ามของสกุลจง นางได้ก้าวข้ามประตูนรกถึงสองครั้ง ครั้งนี้นางสามารถเลื่อนระดับขั้นของอาคมกำไลปี่อั้นได้ เพราะมู่หรงอวิ๋นไห่ถ่ายเทพลังภายในไปกระตุ้น ทั้งยังปลุกพลังสยบมังกรในร่างของนางโดยบังเอิญ

แม้ซูจิ่นซีจะต้องการทราบว่า หากฝึกฝนอาคมกำไลปี้อั้นจนถึงขั้นสุดท้ายแล้วจะเป็นเช่นไร ทว่าบางสิ่งก็ไม่สามารถเร่งรีบได้ นางเข้าใจอย่างแจ่มแจ้ง เท่านี้ก็เพียงพอแล้ว

ก่อนหน้านี้ หลังจากที่ซูจิ่นซีผ่านการเลื่อนระดับขั้นของอาคมกำไลปี้อั้น บนแผ่นหินด้านข้างผลึกดอกปี่อั้นมีตัวอักษรปรากฏขึ้นมา นางจึงจดจำมันไว้ในใจเงียบๆ

หลังจากอาคมกำไลปี่อั้นเลื่อนระดับ มันได้เพิ่มทักษะการมองเห็นของซูจิ่นซี

ซูจิ่นซีฝึกตามข้อความที่ปรากฏ เมื่อนางลืมตาขึ้นมาและมองไปรอบๆ นางสามารถมองเห็นสิ่งที่อยู่ไกลได้อย่างชัดเจน ทั้งยังรู้สึกว่าดวงตาทั้งสองกระจ่างใสและผ่อนคลายอย่างมาก

นี่เป็นเพียงพื้นที่ข้างในอาคมกำไลปี่อั้นเท่านั้น ไม่รู้ว่าหากอยู่ข้างนอกจะแสดงผลลัพธ์อย่างไร

นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่ซูจิ่นซีเผชิญหน้ากับการเลื่อนระดับขั้นของอาคมกำไลปี่อั้น ดังนั้นนางจึงสงบนิ่ง ไม่ตื่นตระหนกไปกับสิ่งเหนือความคาดหมายเหมือนสองครั้งก่อนหน้า

หลังจากทำความเข้าใจการทำงานของอาคมกำไลปี่อั้นอย่างละเอียดถี่ถ้วนแล้ว ซูจิ่นซีจึงตัดสินใจออกจากอาคมกำไลปีอั้น ทว่าขณะที่นางกำลังตั้งสมาธิ ทันใดนั้น ผลึกอาคมกำไลปี่อั้นก็เกิดสั่นสะเทือน และปรากฏลำแสงสว่างอันแปลกประหลาด กระจายไปทั่วพื้นที่ด้านในของอาคมกำไลปี่อั้น ภาพที่อยู่เบื้องหน้าพลันเปลี่ยนไป

ไม่มีทะเลสาบสีเขียวมรกต ท้องฟ้าสีคราม ไม่มีแท่นบูชาดอกปี่อั้น ไม่มีแม้กระทั่งสัตว์เทพกิเลน

มีเพียงศาลาริมน้ำ พระราชวังที่มีการแกะสลักบริเวณชายคาและเสา รวมถึงโคมไฟสลัว

ที่นี่เหมือนเป็นจวนของขุนนางชั้นสูง ทว่าไม่ใช่สถาปัตยกรรมของแคว้นจงหนิงและแคว้นหนานหลี

ที่นี่คือที่ใดกัน?

ซูจิ่นซีมองไปรอบๆ สิ่งปลูกสร้าง นางรู้สึกคุ้นตายิ่งนัก ทว่านึกไม่ออกว่าเคยเห็นที่ใดมาก่อน

ทันใดนั้น สายลมเย็นก็พัดผ่านใบหู ด้านหลังมีเสียงฝีเท้าดังขึ้นแผ่วเบา ซูจิ่นซีค่อยๆ หันไปยังทิศทางของเสียง

ไกลออกไป ที่ด้านหลังกำแพงนอกประตูใหญ่ คนผู้หนึ่งในชุดสีขาวหิมะค่อยๆ ปรากฏกายขึ้น เนื้อผ้าชั้นดีจับจีบเป็นระเบียบ แม้จะถูกลมพัดพลิ้วไหวก็ไม่เกิดรอยยับย่น

เมื่อมองตามชุดสีขาวหิมะขึ้นไป…

รูปลักษณ์ดั่งเทพเซียน ใบหน้างดงามโดดเด่นราวกับเทพเจ้าจำแลงกายลงมาบนโลกมนุษย์ ไร้ซึ่งความธรรมดาใดๆ

จิ่วหรง?

ซูจิ่นซีรู้สึกดีใจ ไม่คิดว่าจะได้พบจิ่วหรงในสถานที่แปลกประหลาดเช่นนี้ นางกำลังจะเดินเข้าไปทักทายจิ่วหรง ทั้งยังต้องการถามเขาว่าที่นี่คือที่ใด ทันใดนั้น บ่าวรับใช้ซึ่งไม่รู้ว่าปรากฏตัวขึ้นมาจากที่ใดก็เดินมาเบื้องหน้าจิ่วหรงและประสานมือคำนับเขา

“นายน้อย! ”

จิ่วหรงไม่ได้ตอบรับ ทำเพียงมองไปยังห้องใต้หลังคาที่อยู่ติดกับเรือนฝั่งทิศตะวันตก

บ่าวนางนั้นเข้าใจในทันที “นายน้อย แม่นางฉ่ายเวยยังไม่หลับ ท่านต้องการให้บ่าวไปเรียนแม่นางฉ่ายเวยหรือไม่เจ้าคะ? ”

จิ่วหรงมองไปยังทิศทางของห้องใต้หลังคาอยู่นาน แสงไฟสั่นไหว ร่างงดงามพลันสะท้อนบนหน้าต่างของห้องใต้หลังคา

ดวงตาของเขาปรากฏความคาดหวัง แต่กลับพูดว่า “ไม่ต้อง! ” จากนั้นจึงหันหลังกลับไปด้วยความอาลัยอาวรณ์

ซูจิ่นซีรู้สึกสงสัยเต็มหัวใจ

นายน้อย?

ในสมัยราชวงศ์โจวตะวันตก จิ่นอีโหวมีพระราชวังใต้ดิน ซึ่งเป็นสถานที่สำหรับค้นคว้าและพัฒนายาสมุนไพรและยาพิษโดยเฉพาะ ตำนานเล่าว่าจิ่นอีโหวมีบุตรชายบุญธรรมผู้หนึ่ง ซึ่งเป็นคนดูแลพระราชวังใต้ดินให้เขา และทุกคนจะเรียกคนผู้นั้นว่านายน้อย

คำว่า ‘นายน้อย’ เป็นชื่อเรียกที่มีเฉพาะในสมัยราชวงศ์โจวตะวันตก และมีไว้เพื่อเป็นเกียรติแก่นายน้อยผู้นั้นเพียงผู้เดียว

หรือว่า… สิ่งที่นางเห็นคือภาพในสมัยราชวงศ์โจวตะวันตก

ซูจิ่นซีไม่มีเวลาครุ่นคิดว่า เหตุใดอาคมกำไลปี่อั้นจึงทำให้นางได้เห็นเหตุการณ์ในสมัยราชวงศ์โจวตะวันตก นายน้อยออกจากเรือนไปแล้ว ซูจิ่นซีจึงเดินตามไป เพราะนางอยากรู้ว่าจะเกิดอันใดขึ้นหลังจากนี้

หลังเดินออกจากเรือนได้ไม่นาน สตรีนางหนึ่งก็เดินเข้ามา

เมื่อเห็นใบหน้าของนาง ซูจิ่นซีพลันตกตะลึง

นั่นคือตัวข้าเองไม่ใช่หรือ?

ซูจิ่นซีตกตะลึงชั่วครู่ หลังจากเดินไปได้สองก้าว นางก็ตะโกนเรียกชื่อนายน้อย ทว่าดูเหมือนไม่มีใครได้ยินเสียงของนาง ทั้งยังมองไม่เห็นนาง

สตรีที่มีใบหน้าเหมือนซูจิ่นซี เดินมายังเบื้องหน้านายน้อย นางพยักหน้าแผ่วเบา แววตาเต็มไปด้วยความรู้สึกลึกซึ้งที่มีต่อเขา “นายน้อย”

ทว่านายน้อยกลับไม่สนใจ ใบหน้าของเขาปรากฎความเย็นชา

“เหตุใดเทพธิดาจึงไม่อยู่ในพระราชวังใต้ดิน ท่านมาทำอันใดที่นี่? ยาวิเศษที่โหวเหย่ต้องการ ท่านหลอมเสร็จแล้วหรือ? สูตรยาอายุวัฒนะเล่า สำเร็จผลแล้วหรือ? ท่านคิดวิธีพัฒนามนุษย์แมลงพิษได้แล้วหรือ? ”

ที่แท้ สตรีที่มีใบหน้าเหมือนซูจิ่นซีคือ เทพธิดาแห่งพระราชวังใต้ดิน

ตามตำนานเล่าว่า ในสมัยราชวงศ์โจวตะวันตก มีสตรีเผ่าเม้ยนางหนึ่งให้การช่วยเหลือจิ่นอีโหว สตรีนางนี้คือเทพธิดาแห่งเผ่าเม้ย

ความรู้สึกลึกซึ้งในแววตาของเทพธิดาพลันเลือนหายไป ราวกับถูกสาดด้วยน้ำเย็น ภายในใจรู้สึกเจ็บปวด ทว่านางไม่เผยท่าทีอันใดออกมาให้เห็น

นางมีท่าทีแข็งกร้าว ไม่เว้นแม้แต่รอยยิ้มแผ่วเบาที่มุมปาก

“ทั้งหมดนี้หาใช่ความรับผิดชอบของข้าเพียงผู้เดียว นายน้อยก็มีส่วนที่ต้องรับผิดชอบเช่นกัน ในเมื่อนายน้อยออกจากพระราชวังใต้ดินได้ เหตุใดข้าจะออกมาบ้างไม่ได้? ”

ทันใดนั้น สายตาของนายน้อยก็ปรากฏความขุ่นเคือง ชั่วพริบตา เขาก็มาปรากฏตัวเบื้องหน้าเทพธิดาและคว้าลำคอของนาง

“ข้าขอเตือนเจ้า อย่าคิดแตะต้องฉ่ายเวยแม้แต่ปลายเส้นผม ไม่เช่นนั้น ข้าไม่ปล่อยเจ้าไว้แน่”

เทพธิดาถูกบีบคอจนแก้มและดวงตาแดงก่ำ นางมีเพียงลมหายใจออก ไม่มีลมหายใจเข้า

ขณะที่นางถูกนายน้อยบีบคอจนหายใจไม่ออก ทันใดนั้น นางก็ยกมือขึ้น แสงสีน้ำเงินพุ่งออกมาจากปลายนิ้วมือและผลักนายน้อยจนกระเด็นออกไป