ดูเหมือนเราจะต้องยกระดับวรยุทธของพลังปราณให้เร็วที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้
เท่าที่ดูจากความยโสโอหังของสภาวะครรภ์เป็นพิษแต่กำเนิด ก็บอกไม่ได้ว่าเมื่อไหร่ที่มันจะแผลงฤทธิ์ออกมา เขาเคยคิดว่าการทดสอบเปลวเพลิงสวรรค์ที่จิตวิญญาณของเขาเรียกมาคงสังหารมันได้ แต่ใครจะไปนึกว่าลงท้ายจะกลับกลายเป็นปัญหาบานปลายแบบนี้?
เขาจำเป็นต้องยกระดับวรยุทธของพลังปราณให้เร็วที่สุด เพื่อจะได้เรียกการทดสอบเปลวเพลิงสวรรค์มาบ่มเพาะกายเนื้อ ด้วยวิธีนี้ เมื่อมีทั้งประสิทธิภาพของจิตวิญญาณและกายเนื้อผนวกกัน สภาวะครรภ์เป็นพิษแต่กำเนิดจะต้องถูกกำจัดไปจนสิ้นซากอย่างแน่นอน!
เอาล่ะเรื่องราวกับตระกูลเจียงก็คลี่คลายแล้วเพราะฉะนั้นเราควรจะกลับไปแก้ไขความขัดแย้งระหว่างตระกูลหลัวกับตระกูลจางก่อน แล้วหลังจากนั้นเราก็จะมุ่งหน้าไปสภาปรมาจารย์สำนักงานใหญ่*!*
เขาจะต้องไปเยือนสภาปรมาจารย์สำนักงานใหญ่เพื่อค้นหากรรมวิธีฝ่าด่านวรยุทธขั้นสูงของปรมาจารย์ขง เพื่อจะได้ยกระดับวรยุทธของพลังปราณ ไม่อย่างนั้น ใครจะไปรู้ว่าอีกนานแค่ไหนกว่าเขาจะฝ่าด่านวรยุทธได้สำเร็จ?
แต่ก่อนที่เราจะกลับตระกูลจาง**จะต้องหลอมศพของเผ่าพันธุ์ปีศาจที่เป็นนักปราชญ์โบราณก่อน
ตอนนี้ จิตวิญญาณต้นกำเนิดของจางเซวียนเข้าถึงขั้นร่างอันทรงเกียรติแล้ว ประสิทธิภาพของมันจึงเพิ่มสูงขึ้นอีกหลายเท่า ด้วยความแข็งแกร่งระดับนี้ เขาน่าจะหลอมศพนั้นให้กลายเป็นหุ่นโลหะไร้วิญญาณและนำมันมาใช้ประโยชน์ได้
เมื่อเกิดความคิดนั้น จางเซวียนก็รีบเข้าสู่รังนางพญามด หลังจากหาพื้นที่ว่างได้ เขาก็สะบัดข้อมือ
พลั่ก!
ศพนั้นร่วงลงมากระแทกพื้น เกิดเป็นหลุมยุบขนาดใหญ่
จางเซวียนถอดจิตวิญญาณต้นกำเนิดออกจากหว่างคิ้วและนำมันเข้าสู่ร่างของศพนั้น
แรงกดดันมหาศาลที่ศพแผ่ออกมาเข้าโจมตีจิตวิญญาณต้นกำเนิดของเขา ทำให้การคืบหน้าไปแม้เพียงก้าวเดียวก็ยังเป็นเรื่องยาก
วิ้ง!
จิตวิญญาณต้นกำเนิดของจางเซวียนเรืองแสงสีทองเจิดจ้าออกมา จากนั้นแรงกดดันจากศพก็ลดลงมาก เขาเริ่มรุดหน้าเข้าหาศพนั้น
ฟึ่บ!
สุดท้าย จางเซวียนก็เข้าไปอยู่ในร่างของศพได้สำเร็จ
“ใหญ่มาก!”
ทันทีที่จางเซวียนเข้าสู่ร่างของศพ ก็พบว่าตัวเองอยู่ในห้องที่มีขนาดใหญ่จนสุดลูกหูลูกตา จิตวิญญาณต้นกำเนิดอันใหญ่โตของเขาดูไม่ต่างอะไรจากของเด็กเล่นเมื่ออยู่ที่นี่ ไม่ควรค่าแก่การพูดถึงเสียด้วยซ้ำ
หากเปรียบเทียบกับศพ กายเนื้อของเขาก็เหมือนกับกระท่อมฟางที่อยู่ต่อหน้าพระราชวังโอ่อ่า
จางเซวียนทรุดตัวลงนั่งและเริ่มใช้กรรมวิธีหลอมหุ่นโลหะไร้วิญญาณเพื่อค่อยๆขัดเกลาร่างนั้นให้ประสานเป็นหนึ่งเดียวกับจิตวิญญาณต้นกำเนิดของเขา
…..
เวลาผ่านไปอีกระยะหนึ่ง จางเซวียนลุกขึ้นยืน
เราหลอมหุ่นโลหะไร้วิญญาณสำเร็จแล้ว*!เอาล่ะขอดูหน่อยว่าจะใช้การได้ไหม*…จางเซวียนคิดด้วยนัยน์ตาเป็นประกาย
โดยทั่วไป หุ่นโลหะไร้วิญญาณควรจะหลอมขึ้นจากผู้ที่ยังมีชีวิตอยู่ เพื่อที่จะได้แน่ใจในการประสานงานกันระหว่างกายเนื้อกับจิตวิญญาณ แต่ด้วยการปรับเปลี่ยนที่หอสมุดเทียบฟ้าจัดให้ จางเซวียนจึงสามารถหลอมหุ่นโลหะไร้วิญญาณขึ้นจากศพของนักปราชญ์โบราณได้ แต่ถึงอย่างนั้น ความเข้ากันได้ระหว่างจิตวิญญาณกับกายเนื้อก็ยังอ่อนด้อยกว่าเล็กน้อย ทำให้ประสิทธิภาพในการควบคุมร่างนั้นลดลงด้วย
จางเซวียนใช้พละกำลังเต็มพิกัด จากนั้นก็ค่อยๆบังคับศพของนักปราชญ์โบราณให้ลุกขึ้นยืน ยกขาขึ้น และค่อยๆก้าวออกไปข้างหน้า 2-3 ก้าว
หลังจากบังคับให้มันทำการเคลื่อนไหวขั้นพื้นฐานแล้ว จางเซวียนก็ได้แต่ส่ายหน้าอย่างจนปัญญา
หุ่นโลหะไร้วิญญาณตัวนี้ทำให้เขาสิ้นเปลืองพลังจิตวิญญาณมากเหลือเกิน! ขนาดเดินแค่สามก้าว กว่าครึ่งของพลังจิตวิญญาณของวรยุทธขั้นร่างอันทรงเกียรติก็ถูกใช้ไปแล้ว
ถ้าเป็นแบบนี้ อย่าว่าแต่ต่อสู้เลย จะออกหมัดได้หรือเปล่าก็ยังน่าสงสัยอยู่!
คงต้องทดลองสักหน่อย…
จางเซวียนกัดฟันและรวบรวมพลังจิตวิญญาณที่เหลือ จากนั้นศพนักปราชญ์โบราณร่างใหญ่ก็กำหมัดและเหวี่ยงหมัดออกไป
พลั่ก!
พื้นที่ในรังนางพญามดสั่นสะท้านอย่างรุนแรงทันที เกิดเสียงดังกึกก้องไปทั่ว ราวกับใครสักคนได้ฉีกกระชากโลกใบนี้ เกิดเป็นรอยร้าวสีดำสนิทอยู่ด้านล่าง
“น่าทึ่งจริงๆ…”
เมื่อเห็นว่ามิติลี้ลับที่เขาได้เพิ่มพลังให้มันครั้งแล้วครั้งเล่าเกือบจะถูกทำลายเพียงเพราะหมัดเดียว จางเซวียนถึงกับจังงัง
แม้การบังคับและควบคุมศพนักปราชญ์โบราณจะใช้พลังจิตวิญญาณของเขาไปมาก แต่ก็แน่นอนว่ามันมีประสิทธิภาพการต่อสู้อันแสนจะน่าทึ่ง!
หลังจากการทุ่มเททั้งหมดที่จางเซวียนมอบให้กับการเพิ่มพลังให้รังนางพญามด แม้แต่พลังงานที่ถูกเรียกใช้จากหยดเลือดของปรมาจารย์ขงและหอกสวรรค์กระดูกมังกรก็ยังยากที่จะฉีกกระชากมิติลี้ลับแห่งนี้ให้แยกออกจากกันได้ แต่เพียงหมัดเดียวจากศพของนักปราชญ์โบราณก็แทบจะทำลายผลงานของเขาได้ทั้งหมด…
สิ่งนี้บ่งบอกว่าต่อให้นักรบคนหนึ่งจะทรงพลังสักแค่ไหนก็ตาม หากยังไม่อาจก้าวข้ามสิ่งกีดขวางไปสู่ขั้นนักปราชญ์โบราณได้ ก็ย่อมจะแหลกเละด้วยหมัดเดียวจากศพนักปราชญ์โบราณตัวนี้!
นักรบที่มีวรยุทธขั้นนักปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่กับนักปราชญ์โบราณนั้นมีความเหลื่อมล้ำในประสิทธิภาพการต่อสู้อยู่มาก
ด้วยหุ่นโลหะไร้วิญญาณที่จางเซวียนเพิ่งหลอมสำเร็จ ความปลอดภัยของเขาก็เป็นอันรับประกันได้ ตราบใดที่เขาไม่ไปปะทะกับนักปราชญ์โบราณคนอื่น หรือต่อให้เขาต้องเผชิญหน้ากับนักปราชญ์โบราณสักคน เขาก็ยังมีหน้าหนังสือสีทองอยู่กับตัว ซึ่งหลังจากนั้น…เขาก็จะได้ศพนักปราชญ์โบราณสำหรับหลอมเป็นหุ่นโลหะไร้วิญญาณอีกตัวหนึ่งด้วย!
“ฮ่าฮ่าฮ่า! มีของพวกนี้แล้ว เรายังจะต้องกลัวอะไรอีก?” จางเซวียนหัวเราะลั่น
เขาถอดจิตวิญญาณต้นกำเนิดออกจากหุ่นโลหะไร้วิญญาณและซึมซับสมุนไพรหลายชนิดเข้าไปเพื่อฟื้นฟูพลังจิตวิญญาณของตัวเอง จากนั้นก็กลับเข้าสู่ร่างของศพนักปราชญ์โบราณอีกครั้ง จางเซวียนเอาสองมือวางบนสะโพกและตะโกนยั่วยุตัวโคลน “ตัวโคลน ย้ายก้นมานี่หน่อยซิ!”
ตัวโคลนของเขากำลังกำลังอยู่ระหว่างการขัดเกลาวรยุทธ ก็พอดีกับที่ได้ยินเสียงตวาด จึงพุ่งออกมา
“มา ขอผมทดสอบคุณหน่อย!”
จางเซวียนไม่ใส่ใจว่าตัวโคลนจะมีปฏิกิริยาอย่างไร เขาพุ่งปราดเข้าไปและปล่อยหมัดเข้าใส่
ส่วนตัวโคลนก็นึกไม่ถึงว่าร่างต้นแบบจะสามารถควบคุมศพของนักปราชญ์โบราณได้ มันตัวสั่นด้วยความพรั่นพรึง เมื่อรู้ตัวแล้วว่าสายเกินไปที่จะหลบ จึงรีบป้องกันตัวโดยใช้หมัดรับ
พลั่ก!
ตัวโคลนถูกสอยกระเด็นไปก่อนจะหายลับไปจากสายตา
“ฮ่าฮ่าฮ่าฮ่าฮ่า!” จางเซวียนหัวเราะอย่างมีความสุข
ตลอดมา เขาเป็นฝ่ายที่ต้องยับเยินทุกครั้งหากดวลกับตัวโคลน การล้างแค้นที่เขารอคอยมานานได้มาถึงแล้ว มันทำให้เขาตื่นเต้นมาก
ดีเลย*!คราวต่อไปที่หมอนั่นข้ามหน้าข้ามตาเราอีกเราก็จะใช้หุ่นโลหะไร้วิญญาณตัวนี้ต่อยมัน**!*
ด้วยการสั่งสอนบทเรียนให้กับตัวโคลนและความตื่นเต้นที่ได้รับ พลังจิตวิญญาณของจางเซวียนจึงเหือดแห้งเกือบหมดหลังจากปล่อยหมัดไปเพียงหมัดเดียว
ดังนั้น เขาจึงรีบถอดจิตวิญญาณต้นกำเนิดออกจากศพนักปราชญ์โบราณและกลับเข้าสู่ร่างของตัวเอง ขณะที่กำลังหาข้าวของบางอย่างเพื่อมาฟื้นฟูพลังจิตวิญญาณ ก็เห็นตัวโคลนพุ่งปราดเข้ามาด้วยสีหน้าเกรี้ยวกราด
“กล้าดีอย่างไรมาต่อยผม? คุณอยากตายหรือ?”
ตัวโคลนโมโหจนแทบระเบิด มันเหวี่ยงหมัดเข้าใส่จางเซวียนโดยไม่ลังเล
จางเซวียนหน้าถอดสีด้วยความพรั่นพรึง “อะไรกัน? ไม่ใช่ผมนะ! ศพนักปราชญ์โบราณต่างหากที่ต่อยคุณ…เอาล่ะ ก็ได้ๆ ผมยอมรับว่าเป็นผมเอง! แต่อย่างน้อยก็รอให้ผมฟื้นตัวและกลับเข้าร่างของศพก่อน…”
“ศพบ้านคุณน่ะสิ!”
ตัวโคลนจะรอให้จางเซวียนฟื้นตัวและกลับเข้าสู่ร่างของศพได้อย่างไร?
พลั่ก! พลั่ก! ตุ้บ!
สิบนาทีต่อมา จางเซวียนที่มีใบหน้าบวมฉึ่งก็นอนแผ่อยู่กับพื้น น้ำตาไหลอาบสองแก้ม สีหน้าของเขาดูสิ้นหวังราวกับคนที่ไม่มีอะไรเหลือแล้ว
นี่มันบ้าบออะไร?
วันนี้ช่างน่าพรั่นพรึงเหลือเกิน ทั้งการที่สภาวะครรภ์เป็นพิษแต่กำเนิดกลับเข้าสู่กายเนื้อของเขาและแสดงกิริยาอาการลิงโลดใส่ ยิ่งไปกว่านั้น เขายังถูกตัวโคลนของตัวเองซ้อมจนยับเยินด้วย!
ในตอนนั้น จางเซวียนพลันรู้สึกว่าชีวิตของเขาช่างเปราะบางเหลือเกิน ตัวเขาก็ไม่ต่างอะไรกับเทียนเล่มหนึ่งที่ส่องแสงอยู่ท่ามกลางพายุกระหน่ำ พร้อมที่จะดับได้ทุกเวลา
จากนั้น จางเซวียนก็ออกจากรังนางพญามดและกลับเข้าสู่ห้องด้วยสภาพสะบักสะบอม เขาขับเคลื่อนพลังปราณเทียบฟ้าจนหายจากอาการบอบช้ำ ก่อนจะเดินออกจากห้องนั้นไป
นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เขารู้ว่าตัวโคลนของตัวเองเป็นบริวารที่ไม่ได้เรื่อง พร้อมที่จะใช้กำลังได้ทุกเวลา เพราะฉะนั้น อย่างมากที่สุด ต่อไปเขาก็แค่อยู่ให้ห่างจากหมอนั่นก็พอ
เมื่อออกมาข้างนอก ก็พบว่าเวลาล่วงเข้าบ่ายคล้อย หลังจากสนทนากับเจียงฟังโหย่วอีกครู่หนึ่ง จางเซวียนก็นำหอกสวรรค์กระดูกมังกรออกมา เขาเปิดรอยแยกแห่งมิติ และออกจากตระกูลเจียงไป
…..
ไม่ช้าเขาก็มาถึงตระกูลจาง
เวลาผ่านไป 1 วันเต็มตั้งแต่เขาออกจากตระกูลจาง ทันทีที่จางเซวียนกลับถึงที่พักส่วนตัว ก็รีบเรียกซุนฉางมาและถามว่า “สถานการณ์ตอนนี้เป็นอย่างไรบ้าง?”
ก่อนจะออกไป เขาได้สั่งการให้ซุนฉางจับตาดูการเคลื่อนไหวของตระกูลจางกับตระกูลหลัวอย่างใกล้ชิด ระยะเวลาหนึ่งวันอาจไม่ยาวนานนัก แต่ก็ไม่สั้นเช่นกัน แน่นอนว่าทั้งสองตระกูลคงจะไม่เกิดการปะทะกันระหว่างที่เขาไม่อยู่หรอก ใช่ไหม?
“สถานการณ์ระหว่าง 2 ตระกูลยังคงสงบเรียบร้อยดี หัวหน้าตระกูลหลัวยังไม่กลับมา กลุ่มคนจากจากตระกูลหลัวจึงยังไม่แสดงทีท่าอะไร” ซุนฉางรีบสาธยาย
เหตุผลที่ตระกูลหลัวยกทัพมาเยือนตระกูลจางก็เพื่อจะล้างความอับอายที่พวกเขาเคยได้รับ แต่พวกเขาไม่อาจลงมือปฏิบัติการได้ด้วยตัวเองเพราะความสามารถที่มีจำกัด จึงทำได้แค่พึ่งพาหัวหน้าตระกูลผู้ทรงพลังของเขาให้ชำระความแค้นให้
ดังนั้น จนกว่าหัวหน้าตระกูลจะกลับมา พวกเขาก็ไม่กล้าทำอะไรหุนหันพลันแล่นลงไป
“ค่อยยังชั่ว” เมื่อเห็นว่ายังไม่มีเรื่องใหญ่เกิดขึ้น จางเซวียนหายใจอย่างโล่งอก
เขาให้ซุนฉางออกไป และหลังจากครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก็ปรับเปลี่ยนรูปลักษณ์ของตัวเองอีกครั้ง
ต้องบอกว่าเครื่องรางแห่งการปลอมตัวที่หลัวลั่วชิงมอบให้เขานั้นเป็นเครื่องมือที่มีประโยชน์มาก เขาสามารถใช้มันเมื่อไหร่ก็ได้ที่ต้องการ และนั่นก็เป็นเหตุผลที่ทำให้เขาปลอมตัวเป็นเจียงฟังโหย่วได้แนบเนียนจนตบตาผู้อาวุโสทุกคนได้
ด้วยอานุภาพของเครื่องรางแห่งการปลอมตัว ทั้งรูปลักษณ์ รังสีของจิตวิญญาณ สายเลือด และแม้แต่ระดับวรยุทธก็จะเทียบเท่ากับตัวจริงในสายตาของคนนอก
แต่ก็แน่นอนว่าหากเกิดการต่อสู้ขึ้น ความแตกต่างจะปรากฏทันที เพราะถึงอย่างไร เครื่องรางแห่งการปลอมตัวก็เป็นเพียงเครื่องมือในการปลอมตัวเท่านั้น
ในเมื่อตระกูลหลัวกำลังรอคอยให้หัวหน้าตระกูลของพวกเขากลับมา ก็คงจะไม่ดีนักหากจะปล่อยให้คนเหล่านั้นรอนานเกินไป
ส่วนการที่หัวหน้าตระกูลหลัวจะมาถึงด้วยวิธีไหนนั้นเป็นเรื่องที่น่าคิดอยู่ แต่ถึงอย่างไร เขาก็พร้อมแล้วที่จะทำให้พวกตระกูลหลัวต้องพบกับความประหลาดใจครั้งใหญ่!