หลัวเทียนหยาปะทะจางเซวียน

 

ความร้อนใจคุกรุ่นไปทั่วทั้งห้องรับรองแขกของตระกูลจาง

“พูดก็พูดเถอะ หัวหน้าตระกูลของเราอยู่ที่ไหน? ทำไมป่านนี้ยังไม่กลับ?”

ผู้อาวุโสที่ 1, หลัวชิงเฉินทำลายความเงียบในห้องนั้น

“ใครจะรู้ล่ะ? ท่านหัวหน้าของเราดูจะเป็นคนรักอิสระมาก ไปไหนมาไหนตามแต่ใจ พวกเราควรจะได้ท้าทายตระกูลจางเพื่อเรียกศักดิ์ศรีของตระกูลหลัวกลับคืน แต่ดูเหมือนจะต้องมาจมอยู่ที่นี่แทน…น่าหงุดหงิดจริง!”

“ผมก็เหมือนกัน เวลาที่ผมเดินไปไหนมาไหน ก็จะเห็นเหล่าสมาชิกตระกูลจางส่งสายตาแสดงความสงสัยมาที่ผม บอกตามตรงนะ ผมไม่รู้ว่าจะทนได้อีกนานแค่ไหน!”

ผู้อาวุโสอีกสองคนของตระกูลหลัวพูดเสริมด้วยความคับข้องใจ

“พวกคุณไม่ได้ยินข่าวล่าสุดหรือ? หนานกงหยวนเฟิงกับถานไท่เจินชิงจาก 100 สำนักแห่งนักปราชญ์มาท้าทายตระกูลจาง แต่ก็ลงเอยด้วยการพ่ายแพ้ให้กับลูกศิษย์คนหนึ่งที่จางเซวียนให้คำชี้แนะนำบางส่วนเดี๋ยวนั้น…เป็นไปได้หรือไม่ว่าท่านหัวหน้าของเราจะหนีไปแล้วเพราะความหวาดกลัวหลังจากได้ยินข่าวนี้?” หลัวกั้นเจินนวดหว่างคิ้ว

พวกเขาตบเท้ามาที่นี่ด้วยความหวังเต็มเปี่ยมที่ได้จากชัยชนะต่อ 100 สำนักแห่งนักปราชญ์ ทุกคนต่างรู้สึกว่าชัยชนะต่อตระกูลจางนั้นอยู่แค่เอื้อม จึงตั้งใจทำเรื่องนี้ให้เป็นเรื่องใหญ่โตเอิกเกริก

แต่ทันทีที่มาถึง ก็ได้ข่าวว่าหนานกงหยวนเฟิงกับคนอื่นๆมาเยือนตระกูลจางเช่นกัน และต้องล่าถอยกลับไปด้วยความพ่ายแพ้ แถมทุกอย่างยังเลวร้ายลงอีก เพราะผู้ที่ทำการดวลกับพวกนั้นไม่ใช่จางเซวียน แต่เป็นลูกศิษย์คนหนึ่งของจางเซวียนที่มาจากครอบครัวสาขา และเขาก็ให้คำชี้แนะไปเพียงไม่กี่ข้อ…

เมื่อได้รู้เรื่องนั้น ตระกูลหลัวก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกหวั่นใจขึ้นมา

ถ้าแม้แต่ลูกศิษย์ที่จางเซวียนสอนยังแข็งแกร่งขนาดนั้น พวกเขาก็จินตนาการไม่ถูกว่าเจ้าตัวจะแข็งแกร่งขนาดไหน!

มาตอนนี้ พวกเขาอดไม่ได้ที่จะหวนนึกถึงเหตุการณ์ครั้งใหญ่ที่เกิดขึ้นในสมาพันธ์นานาจักรวรรดิ ในตอนนั้น แม้แต่เซียนดาบชิงก็ยังพ่ายแพ้ให้กับจางเซวียน…แล้วหัวหน้าตระกูลของพวกเขาจะเอาชนะปีศาจตนนั้นได้หรือ?

ขณะที่ความคิดนั้นเข้าครอบงำจิตใจของแต่ละคน บรรยากาศก็ยิ่งหม่นหมองกว่าเดิม

“ตอนนี้น่ะ ในใจของผมรู้สึกขัดแย้งมาก ด้านหนึ่งผมก็หวังว่าหัวหน้าตระกูลของเราจะปรากฏตัวโดยเร็วที่สุด แต่อีกด้านหนึ่ง ผมก็ไม่แน่ใจว่ามันจะเป็นความคิดที่ดีนักหากหัวหน้าของเราจะมาที่นี่ เพราะทันทีที่เขามาถึง ก็จะต้องเกิดการดวล หากเขาชนะก็เป็นเรื่องหนึ่ง แต่หากเขาแพ้ ศักดิ์ศรีของตระกูลหลัวคงป่นปี้ไม่มีเหลือ…” ผู้อาวุโสคนหนึ่งพูด

พวกเขาตบเท้ามาที่ตระกูลจางอย่างสง่าผ่าเผย ต้องการให้ทั้งโลกรู้ว่าตั้งใจมาท้าทายตระกูลจางเข้าสู่การดวล แต่หากพวกเขาต้องพ่ายแพ้ ตระกูลหลัวก็จะกลายเป็นตัวตลกของคนทั้งโลก

“อันที่จริงผมก็คิดแบบนั้นนะ…”

ผู้อาวุโสอีกสองสามคนส่งเสียงแสดงความเห็นพ้อง

“แต่มันจะยิ่งน่าอับอายกว่าเดิมหากเขาไม่ปรากฏตัวเลย!” อีกเสียงหนึ่งอุทานด้วยความร้อนใจ

ฝูงชนต่างเงียบงันไปอีกครั้ง

ก็จริง ความพ่ายแพ้นั้นน่าอาย แต่จะน่าอายเสียยิ่งกว่าหากผู้เข้าท้าทายไม่แม้แต่จะปรากฏตัว

พวกเขามาที่นี่เพื่อหาเรื่องตระกูลจาง แต่ลงท้ายก็พบว่าตัวเองต้องจนมุม ด้วยสถานการณ์ที่เป็นอยู่ตอนนี้ ต่างคนต่างไม่รู้ว่าควรทำอย่างไร

หลัวกั้นเจินรู้สึกได้ถึงความกังวลของเหล่าผู้อาวุโส แต่เขาก็ไม่มีทางออกให้ จึงได้แต่ส่ายหน้าอย่างจนปัญญาและหันไปพูดกับหลัวชิงเฉิน “ช่างมันเถอะ ตอนนี้อย่าเพิ่งคิดมากเลย เราควรส่งข้อความไปหาท่านหัวหน้าเพื่อเร่งให้เขารีบกลับไหม?”

“ผมส่งข้อความหาเขาตลอดนะ แต่เขาก็ไม่ตอบ…” ผู้อาวุโสที่ 1, หลัวชิงเฉินส่ายหน้าและยิ้มเจื่อนๆ

“อาจเป็นเพราะเขากำลังอยู่ระหว่างการปลีกวิเวกก็เป็นได้ เขาเพิ่งรับตำแหน่งหัวหน้าตระกูลของพวกเราได้ไม่นาน คงยังไม่คุ้นชินกับบทบาทที่ได้รับ อันที่จริง ผมไม่คิดว่าเขาจะเป็นคนชนิดที่จะหนีเอาตัวรอดเมื่อต้องเผชิญหน้ากับอันตรายหรอก เพราะไม่อย่างนั้น เขาคงไม่เสนอตัวเพื่อรับมือกับ 100 สำนักแห่งนักปราชญ์อย่างในวันนั้น” หลัวกั้นเจินให้ความมั่นใจกับเหล่าผู้อาวุโส

ขณะที่เขากำลังจะพูดต่อ ชายชราคนหนึ่งก็พรวดพราดเข้ามาในห้อง

“ท่านรองหัวหน้า!”

“มีอะไร?” หลัวกั้นเจินขมวดคิ้วเมื่อเห็นชายชราที่พรวดพราดเข้ามา

อีกฝ่ายคือผู้อาวุโสที่ 16 ของตระกูลหลัว, หลัวชิงหยวน

การที่ผู้อาวุโสคนหนึ่งพรวดพราดเข้ามาด้วยความร้อนใจในถิ่นของตระกูลอื่นแบบนี้ แสดงว่าจะต้องมีเรื่องใหญ่แน่

“ท่านหัวหน้าตระกูล…เขากลับมาแล้ว!” ผู้อาวุโสชิงหยวนรายงานด้วยความตื่นเต้น

“ท่านหัวหน้าอยู่ที่นี่? แล้วตอนนี้เขาอยู่ไหน?” หลัวกั้นเจินชะงักขณะรีบลุกขึ้นยืน

ในตอนนั้น สีหน้าของความยินดีปรีดาก็ปรากฏขึ้นบนใบหน้าของผู้อาวุโสทุกคน พวกเขารีบหันไปมองที่ประตู แต่ก็ไม่มีใครอยู่ตรงนั้น

“ทันทีที่เขามาถึงตระกูลจาง ก็มุ่งหน้าไปยังที่พักของจางเซวียนเลย ผมคิดว่าเขาตั้งใจจะเข้าท้าทายหัวหน้าตระกูลจางเป็นการส่วนตัว!” ผู้อาวุโสชิงหยวนรายงานอย่างแทบหายใจหายคอไม่ทัน

“เขาเข้าไปท้าทายจางเซวียนแล้ว? แล้วทำไมคุณไม่มาบอกพวกเรา?”

ทุกคนพากันอึ้งไปกับข้อมูลที่ได้รับ

เหตุผลที่พวกเขามาที่นี่ก็เพื่อท้าดวลกับหัวหน้าตระกูลจาง แต่สุดท้ายพวกเขากลับไม่รู้ว่าท่านหัวหน้าตรงเข้าท้าทายอีกฝ่ายเป็นการส่วนตัวแล้ว?

“หัวหน้าของเราเข้าไปเผชิญหน้ากับหัวหน้าตระกูลจางอย่างลับๆ พวกเรามารู้เรื่องเอาก็ต่อเมื่อเวลาผ่านไประยะหนึ่งแล้วเหมือนกัน” ผู้อาวุโสชิงหยวนอธิบาย

“เร็วเข้าเถอะ พาพวกเราไป!” เมื่อได้ยินว่าท่านหัวหน้าเข้าท้าทายจางเซวียนแล้ว หลัวกั้นเจินกับคนอื่นๆก็นั่งไม่ติด

ภายใต้การนำของหลัวชิงหยวน ไม่ช้าทุกคนก็มาถึงบริเวณหน้าที่พักขนาดใหญ่

บ้านพักหลังนั้นมีค่ายกลอันทรงพลังฝังไว้โดยรอบ ป้องกันไม่ให้พลังงานภายในหลุดรอดออกมาได้ หรือพูดอีกอย่างก็คือมันแยกตัวออกจากโลกภายนอกอย่างสิ้นเชิง

ที่บริเวณใจกลางบ้านพัก มีสังเวียนซึ่งมีชาย 2 คนกำลังยืนหันหน้าเข้าหากัน รังสีอันน่าสะพรึงแผ่ออกมาจากทั้งสองร่างนั้น

พวกเขาคือหัวหน้าตระกูลหลัวและหัวหน้าตระกูลจาง, หลัวเทียนหยากับจางเซวียน!

“ท่านหัวหน้าคงมีเหตุผลของเขาที่ไม่บอกพวกเราเรื่องนี้ เพราะฉะนั้นพวกเราก็สังเกตการณ์กันอย่างเงียบๆเถอะ อย่าทำอะไรเอิกเกริกไป ดีไหม?” หลัวกั้นเจินส่งโทรจิตหาทุกคนที่อยู่บริเวณนั้น แล้วพวกเขาก็ซ่อนตัวอยู่ในมุมหนึ่งที่อยู่ใกล้ๆ

การที่หัวหน้าตระกูลของพวกเขาไม่แจ้งข่าวเรื่องการดวลให้ทุกคนทราบ ก็ชัดเจนว่าเขาย่อมไม่อยากให้ใครล่วงรู้ถึงผลการดวล แต่จะว่าไป เรื่องนี้ก็ถือว่าดี เพราะอย่างน้อยตระกูลหลัวก็จะไม่ต้องอับอายมากนักหากพวกเขาต้องลงเอยด้วยความพ่ายแพ้

ฟึ่บ!

ชายทั้งสองที่อยู่บนสังเวียนเริ่มการโจมตี

หลัวเทียนหยาสะบัดฝ่ามือ แล้วพื้นที่บริเวณโดยรอบก็ถูกสกัดกั้น

ทุกอย่างที่อยู่ภายในบริเวณนั้นหยุดชะงักไปทันทีราวกับถูกขังไว้ในภาพวาด แม้แต่ชายหนุ่มที่อยู่ตรงข้ามก็ไม่อาจเคลื่อนไหวได้

เห็นท่านหัวหน้าของพวกเขาใช้ความรู้เรื่องแก่นสารของมิติและการสกัดกั้นมิติตั้งแต่แรก ฝูงชนจากตระกูลหลัวพากันใบหน้าแดงก่ำด้วยความตื่นเต้น

เหมือนท่านหัวหน้าจะรู้ว่าคู่ต่อสู้มีความสามารถไร้เทียมทาน จึงตัดสินใจทุ่มสุดตัวตั้งแต่เริ่ม

แต่ความตื่นเต้นของพวกเขาก็คงอยู่ได้ไม่นาน มีเสียงหัวเราะเบาๆดังมาจากอีกด้านหนึ่ง และชายหนุ่มที่ควรจะถูกสกัดกั้นให้อยู่กับที่ก็ขยับตัวมาข้างหน้าเล็กน้อย

พื้นที่โดยรอบที่ถูกสกัดกั้นไว้กลับสู่สภาพเดิมทันที พร้อมกันนั้น จางเซวียนก็ก้าวออกมา และด้วยการทะลุมิติ เขาก็มาปรากฏตัวตรงหน้าหลัวเทียนหยาในชั่วพริบตาและปล่อยหมัดเข้าใส่

เห็นวิธีการที่จางเซวียนใช้ หลัวกั้นเจินถึงกับตัวแข็งด้วยความพรั่นพรึง “นั่นมัน…แก่นสารของมิติและการสกัดกั้นมิติเหมือนกันนี่?”

เขาอาจยังไม่สำเร็จความเข้าใจเรื่องแก่นสารของมิติและการสกัดกั้นมิติ แต่ก็บอกได้ว่าวิธีการของจางเซวียนนั้นเหมือนกันเป๊ะกับท่านหัวหน้าของเขา พูดอีกอย่างก็คือทั้งคู่ใช้ความเข้าใจเรื่องแก่นสารของมิติและการสกัดกั้นมิติเหมือนกัน!

สมาชิกคนหนึ่งของตระกูลจางสามารถสำแดงศาสตร์การสกัดกั้นมิติของตระกูลหลัวได้?

มันเกิดอะไรขึ้น?

แน่นอนว่าไม่มีผู้อาวุโสของตระกูลหลัวคนไหนให้คำตอบกับหลัวกั้นเจินได้

ในเวลานั้น หลัวเทียนหยาที่อยู่บนสังเวียนดูเหมือนจะรู้ตัวว่ากำลังเสียเปรียบ จึงรีบถอยให้พ้นจากมิติที่ถูกสกัดกั้นอยู่รอบตัวเขา และตอบโต้ด้วยหมัดหนึ่งเช่นกัน

พลั่ก!

สองหมัดปะทะกัน แต่เป็นหลัวเทียนหยาที่หน้าซีดเผือดและถูกสอยกระเด็นออกไปกระแทกฉนวนที่อยู่รอบสังเวียน เห็นได้ชัดว่าพละกำลังของเขาสู้จางเซวียนไม่ได้

“เขาทรงพลังขนาดนี้เชียวหรือ?”

ฝูงชนจากตระกูลหลัวถึงกับพูดไม่ออก

พวกเขาเคยคิดว่าจะได้เห็นหัวหน้าตระกูลเล่นงานจางเซวียน แต่ใครจะไปรู้ว่าหัวหน้าของพวกเขากลับพ่ายแพ้ในการปะทะกันอย่างจังๆแบบนี้…

ราวกับไม่เต็มใจจะยอมรับความพ่ายแพ้ หลัวเทียนหยาลุกขึ้นยืนและพุ่งเข้าใส่ สองร่างเข้าปะทะกันอีกครั้ง

แต่ดูเหมือนจางเซวียนจะอ่านการเคลื่อนไหวของหลัวเทียนหยาได้ล่วงหน้า หลังจากแลกหมัดกันอีกสองสามครั้ง หลัวเทียนหยาก็ถูกต้อนให้จนมุมจนถึงขั้นที่แทบหายใจหายคอไม่ทัน

พละกำลังอันน่าทึ่งนั้นทำให้เกิดแสงสว่างเจิดจ้าไปทั่วสังเวียน

คลื่นความสั่นสะเทือนที่แผ่ออกมาอย่างต่อเนื่องจากการปะทะของนักรบทั้งสองทำให้พื้นที่โดยรอบที่ถูกปิดกั้นดูเหมือนพร้อมจะแตกสลายได้ทุกขณะ

“พวกเขาช่างเก่งกาจจริงๆ!”

ฝูงชนจากตระกูลหลัวหน้าซีดลงเรื่อยๆขณะเฝ้ามองการต่อสู้อันดุเดือดเข้มข้นที่อยู่ตรงหน้า

ในกลุ่มคนเหล่านี้ มีอยู่ 2-3 คนที่สำเร็จวรยุทธขั้นนักปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่แล้ว แต่พวกเขาก็รู้ดีว่าคงจะพ่ายแพ้ภายในหมัดเดียวหากต้องเผชิญหน้ากับคู่ต่อสู้ทั้งสองที่อยู่บนสังเวียน

ว่ากันตามตรง กระบวนท่าที่หัวหน้าตระกูลทั้งสองแสดงออกมานั้นไม่ได้ซับซ้อน และเทคนิคการต่อสู้ที่ทั้งคู่ใช้ก็เรียบง่าย แต่ทุกการเคลื่อนไหวของพวกเขาล้วนแต่ตรงเป้าหมาย หรือถ้าจะพูดให้ถูกต้องก็คือชาญฉลาดมาก แต่ละกระบวนท่าส่งผลกระทบหนักหน่วงขึ้นเรื่อยๆ ทำให้ผู้ชมเกิดความยำเกรงกับภาพที่เห็น

ราวกับดวงตาของทั้งคู่มองเห็นอนาคตได้ ทำให้พวกเขาสามารถควบคุมกระแสของการต่อสู้ให้ตัวเองเป็นฝ่ายได้เปรียบ

“นี่คือการดวลระหว่างอัจฉริยะชั้นยอด!”

“มันไม่ได้อยู่ในระดับที่นักรบธรรมดาสามัญอย่างพวกเราจะหยั่งถึงได้เลย…”

“ใครจะไปคิดว่ากระบวนท่าธุลีเหลืองนกนางแอ่นร่อนจะนำมาใช้ในลักษณะนี้ได้? ดูเหมือนผมจะให้ความสำคัญกับรูปแบบของเทคนิคมากเกินไปจนมองไม่เห็นแก่นสารของมัน…”

“มีผมคนเดียวหรือเปล่าที่รู้สึกว่าปรมาจารย์จางคนนั้นดูจะคุ้นเคยกับเทคนิคการต่อสู้ของตระกูลหลัวของเราเหลือเกิน?”

“เดี๋ยวก่อนนะ…คุณพูดถูก! เป็นแบบนี้ได้อย่างไร?”

…..

ยิ่งเฝ้าดูการดวลต่อไป ฝูงชนก็ยิ่งตกตะลึงมากขึ้นเรื่อยๆ ถึงจุดนี้ ความตื่นเต้นที่พวกเขาเคยรู้สึกในตอนแรกสูญสิ้นไปหมดแล้ว เหลือไว้แต่ความหนักอึ้งในหัวใจของทุกคน