เวลานี้หวงฝู่อี้ไม่ได้อยู่ในจวน จึงไม่รู้ว่ามีเรื่องอะไรเกิดขึ้นในจวนบ้าง เมื่อได้ยินคำของหวงฝู่อี้เซวียนดังนั้น จึงเกิดความสงสัยในใจ แต่ก็ไม่ได้ถามอะไรออกไป และไปพักผ่อนที่เรือนเต๋อซินอย่างว่าง่าย
ทั้งสองเดินกลับเข้ามาในห้อง
พระชายาก็ได้ยินสิ่งที่หวงฝู่อี้พูด จึงเดาได้ในใจ เมื่อสองคนนั้นเดินเข้ามาในห้อง นางจึงพูดกับทั้งสองว่า “ต้องเป็นแผนของคนในจวนมหาเสนาบดีเป็นแน่”
“เป็นฝีมือของท่านชายใหญ่เป็นแน่” เมิ่งเชี่ยนโยวพูดอย่างมั่นใจว่า “มหาเสนาบดีรับข้าราชการมาหลายปี ทำงานอย่างละเอียดจนเป็นนิสัย วันนี้มีเพียงไม่กี่ตระกูลมารวมตัวกัน หากทำเรื่องเลวร้ายลงไปก็จะถูกจับตัวได้ไม่ยาก มหาเสนาบดีไม่ทำเรื่องประจานตัวเองเช่นนี้หรอกเจ้าค่ะ จะต้องเป็นแผนการณ์ของเฮ่อเหลี่ยนเจ้าคนไม่มีสมองนั่นเป็นแน่ แสดงว่าเขาสั่งคนมาจับตามองจวนอ๋องอยู่ตลอดเวลาจึงได้รู้ทันทีเมื่อหวงฝู่อี้ออกไปนอกจวน”
หวงฝู่อี้เซวียนพยักหน้า
พระชายากร่นด่าด้วยน้ำเสียงโกรธแค้น “เจ้าคนไร้ค่า จนป่านนี้แล้วยังไม่รู้จักทำตัวให้ดีอีก ไม่แน่ว่าเหตุการณ์ลอบฆ่าข้าครั้งนั้น รวมถึงเหตุการณ์ลอบข้าหวงฝู่อี้เซวียนก็มีมันร่วมด้วย”
“เฮ่อเหลี่ยนเป็นคนไร้สมอง มิจำเป็นจะต้องกลัวหรอกขอรับ ข้าจะจัดการเขาอย่างสาสมในสักวัน กลับกัน มหาเสนาบดีต่างหากที่เป็นปัญหาใหญ่ เราจะต้องหาโอกาสที่เหมาะสมแล้วกำจัดเขาเสีย” หวงฝู่อี้เซวียนพูด
เมิ่งเชี่ยนโยวพยักหน้าเห็นด้วย “ต้องมีโอกาสในสักวัน ตอนนี้พวกเราไม่ต้องไปสนใจเขาหรอก เรื่องสมรสของท่านแม่ทัพสำคัญกว่า อย่าให้พวกเขารู้เรื่องของพระชายารองแล้วป่าวประกาศไปทั่ว ถ้าเป็นอย่างนั้นจะเกิดผลกระทบกับชื่อเสียงของท่านแม่ทัพและแม่นางเฝิงเป็นแน่”
“ใช่ ใช่ ใช่” พระชายาพยักหน้าเห็นด้วย พูดจบก็สั่งหวงฝู่อี้เซวียน “ยังเหลือเวลาก่อนถึงเวลาอาหารค่ำ เจ้าพาโยวเอ๋อร์ไปพักที่เรือนของเจ้าก่อนเถิด รอรับประทานอาหารเย็นเรียบร้อยแล้วเจ้าค่อยไปส่งนางที่จวนตระกูลเฝิง”
หวงฝู่อี้เซวียนพยักหน้า พาเมิ่งเชี่ยนโยวเดินออกจากจวนพระชายา กลับไปยังเรือนเต๋อซิน พ่อบ้านได้สั่งให้คนมาจัดการเก็บกวาดเรียบร้อยแล้วเมื่อเดินไปถึงจวน เมิ่งเชี่ยนโยวจึงพูดกับหวงฝู่อี้เซวียนว่า “เจ้าส่งคนไปบอกข่าวกับพี่ชายสองที่โรงงานหัตถกรรมที เขาต้องรอข่าวจากข้าอยู่เป็นแน่”
ชิงหลวนและจูหลีไม่ได้มากับนางวันนี้ เมิ่งเชี่ยนโยวจึงไม่มีคนรับใช้ หวงฝู่อี้เองก็ได้รับบาดเจ็บ และกลับไปพักผ่อนตามคำสั่งแล้ว หวงฝู่อี้เซวียนคิดเล็กน้อย จึงให้คนไปเรียกรถม้ามา สั่งให้เขาไปส่งข่าวให้เมิ่งฉีที่โรงงานหัตถกรรมที่เป่ยเฉิง ว่าเรื่องงานแต่งของเขากับหลินหานเยียนนั้นถูกยกเลิกไปแล้ว คืนนี้เมิ่งเชี่ยนโยวจะไปรักษาเฝิงจิ้งเหวินที่จวนตระกูลเฝิง วันนี้คงไม่กลับบ้าน รอเมื่อรักษาเสร็จแล้ว เขาจะส่งนางกลับบ้านด้วยตนเอง และยังสั่งคนรถด้วยว่า ให้บอกเมิ่งฉีตามคำที่ตนบอกเท่านั้น อย่าเติมคำพูดลงไปเอง
วันนี้เรื่องที่พวกชุ่ยเหลียนถูกทำโทษได้ทำให้คนในจวนกลัวไปหมด คนม้าเองก็เช่นกัน เมื่อได้ยินคำสั่งของหวงฝู่อี้เซวียนก็พยักหน้าระรัว พร้อมรับคำว่า “ซื่อจื่อโปรดวางใจขอรับ ข้าน้อยจะไม่แต่งเติมคำแม้แต่น้อย”
หวงฝู่อี้เซวียนยกมือเป็นสัญญาณให้ไปได้ คนม้าจึงออกไปที่หลังจวนเพื่อเตรียมรถม้า และไปยังเป่ยเฉิง
ทั้งสองกลับเข้ามาในห้อง น้ำเสียงของหวงฝู่อี้เซวียนเต็มไปด้วยความความตื่นกลัว “โยวเอ๋อร์ โชคดีที่ไม่ใช่เจ้า โชคดีนะที่ไม่ใช่เจ้า”
เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มพร้อมปลอบเขาว่า “เจ้าลืมไปแล้วหรือ ข้ารู้วิชาแพทย์ เรื่องเล็กน้อยพวกนี้หลอกข้าไม่ได้หรอก ครั้งล่าสุดในคุก ข้าก็มิได้ปล่อยให้พวกมันได้ใจมิใช่หรือ”
ริมฝีปากของหวงฝู่อี้เซวียนขยับเล็กน้อย ก่อนพูดออกมาอย่างชัดถ้อยชัดคำ “โยวเอ๋อร์ สัญญากับข้านะ ภายหน้าไม่ว่าจะเกิดเรื่องอะไรขึ้น เจ้าต้องห้ามอยู่ห่างข้าเป็นอันขาด”
เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้ม “เรื่องงานแต่งของท่านกับหลินหานเยียนยังทำอะไรข้าไม่ได้ ข้าก็ยังมาเมืองหลวงเพื่อขัดขวางได้ บัดนี้งานแต่งถูกยกเลิกไปแล้ว ข้าก็วางใจมากขึ้น แล้วอย่างนี้ ข้าจะหนีห่างจากท่านได้อย่างไรหล่ะเจ้าคะ”
หวงฝู่อี้เซวียนดึงดันจะเอาคำสาบานจากนางให้ได้ “เจ้าต้องสัญญากับข้า ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น เจ้าก็จะไม่ทิ้งข้าไป”
เมิ่งเชี่ยนโยวจนปัญญา จึงหัวเราะพร้อมให้สัญญาว่า “ข้าสัญญาเจ้าค่ะ ว่าชาตินี้ข้าจะอยู่กับท่านไปตลอด”
หวงฝู่อี้เซวียนไม่พอใจ เขาจ้องนาง พูดด้วยสีหน้าจริงจังว่า “ไม่ได้ เจ้าจะพูดอย่างขอไปทีไม่ได้ เจ้าต้องตั้งใจสาบาน ข้าจึงจะเชื่อเจ้า”
เมิ่งเชี่ยนโยวเก็บรอยยิ้มเอาไว้ ยื่นมือขวาไปลูบใบหน้าของเขา ถามอย่างสงสัยว่า “อี้เซวียน เจ้าเป็นอะไรไป”
หวงฝู่อี้เซวียนดึงดันพูดต่อว่า “รีบให้สัญญากับข้า”
เมื่อเห็นว่าเขาไม่ได้มีท่าทีล้อเล่น เมิ่งเชียนโยวจึงทำตามความปรารถนาของเขาอย่างจริงจังและตั้งใจรับคำ “ข้าให้สัญญา ว่าจากวันนี้ไปข้าจะไม่จากเจ้าไปที่ใด”
หวงฝู่อี้เซวียนเผยรอยยิ้มสะกดใจออกมา รอยยิ้มนั้นทำเอาเมิ่งเชี่ยนโยวแสบตา
หวงฝู่อี้เซวียนก้มหน้าลง น้ำเสียงเต็มไปด้วยความเสียดาย “เหตุใดเจ้าจึงไม่ดื้อต่อไปเล่า อย่างนั้นข้าจะได้มีเหตุผลให้กินเจ้าเสีย”
“เจ้า…” เมิ่งเชี่ยนโยวทั้งยิ้มทั้งโกรธ
หวงฝู่อี้เซวียนพูดกึ่งสัญญา กึ่งรับรองว่า “รอให้งานสมรสของท่านน้าเรียบร้อยเสียก่อน ข้าจะไปขอร้องเสด็จแม่ให้ไปเข้าวังทำเรื่อง ข้าจะรีบสู่ขอเจ้าโดยเร็ว”
เมิ่งเชี่ยนโยวไม่ปฎิเสธ ตอบเบาๆ ว่า “อื้ม”
เห็นสีหน้าของนางที่อ่อนเพลีย ราวกับว่ายังไม่ตื่นนอน ใบหน้าที่มีเสน่ห์ นุ่มนวล หวงฝู่อี้เซวียนก็เกิดอาการใจเต้น แต่เมื่อนึกได้ว่าตอนค่ำนางต้องเดินทางไปจวนตระกูลเฝิง เขาจึงห้ามใจตัวเองไว้ ถอนหายใจออกเบาๆ แล้วหยิบผ้าห่มผืนบางมาห่มให้ทั้งสองคน “พักสักหน่อยเถิด ค่ำนี้เจ้ายังต้องเหนื่อยอีกมาก”
เมิ่งเชี่ยนโยวพยักหน้าเบาๆ แล้วหลับตาลง
หวงฝู่อี้เซวียนนอนตะแคงเพื่อมองนาง ไม่ยอมหลับ ราวกับว่าเมิ่งเชี่ยนโยวรู้ตัว นางไม่ได้พูดอะไร แต่ขยับกายเข้าไปในอ้อมอกของเขา เอาหัวมุดเข้าไปในอกของเขาแทน
หวงฝู่อี้เซวียนพูดอย่างอ่อนโยนว่า “นอนเถิด ถึงเวลาอาหารเย็นแล้วข้าจะเรียกเจ้า”
เมิ่งเชียนโยวตอบรับเบาๆ ในอ้อมอกของเขา และไม่พูดอะไรต่อ ไม่นานนางก็เข้าสู่ห้วงแห่งนิทรา
หวงฝู่อี้เซวียนปิดตาลง แต่ในหัวของเขากลับวนเวียนนึกถึงเรื่องที่เขาได้ยินเสียงแปลกๆ ขณะที่เขาอยู่ในจวนของตน เสียงนั้นร้องด้วยความเจ็บปวดปางตาย เขาลืมตาขึ้น เขามองเมิ่งเชี่ยนโยวในอ้อมอกของเขาอย่างเงียบๆ
เมิ่งเชี่ยนโยวหายใจสม่ำเสมอ หลับอย่างสนิท หวงฝู่อี้เซวียนมองนางอยู่เช่นนั้น จนกระทั่งฟ้าเริ่มมืดลง ในจวนมีเสียงฝีเท้าคนดังขึ้น เมิ่งเชี่ยนโยวจึงขยับตัว ถามด้วยความงัวเงียว่า “ค่ำแล้วหรือเจ้าคะ”
หวงฝู่อี้เซวียนพยักหน้า เมิ่งเชี่ยนโยวลืมตา พ่อบ้านเดินเข้ามา เมื่อเห็นว่าในห้องไม่มีแสงไฟ จึงถามด้วยเสียงเบาว่า “ซื่อจื่อ ตื่นแล้วหรือยังขอรับ”
หวงฝู่อี้เซวียนรับคำว่า “ตื่นแล้ว”
เมื่อได้ยินว่าเขาไม่มีน้ำเสียงโกรธ พ่อบ้านจึงหายใจโล่งอก “อาหารค่ำเสร็จเรียบร้อยแล้วขอรับ นายหญิงให้ข้าน้อยมาตามท่านไปรับประทานอาหารขอรับ”
“เข้าใจแล้ว เจ้าไปบอกเสด็จแม่ว่าพวกเราจะรีบตามไป” หวงฝู่อี้เซวียนตอบกลับ
พ่อบ้านรับคำ และเดินจากไป
หวงฝู่อี้เองก็ตื่นแล้ว เมื่อได้ยินเสียงจากด้านนอก เขาจึงเดินออกมาจากห้อง เดินไปหน้าประตูและพูดว่า “ซื่อจื่อต้องการให้ข้าเข้าไปจุดไฟให้หรือไม่”
“ไม่ต้องหรอก เจ้าไปพักผ่อนเถอะ ข้าจะทำเอง”
เมื่อไม่ได้ยินเสียงฝีเท้าของเขาจากไป หวงฝู่อี้เซวียนจึงขมวดคิ้วลง พูดว่า “เจ้าไม่ต้องมารับใช้ข้าหรอก ไปพักผ่อนเถอะ เดี๋ยวข้าจะให้คนนำอาหารมาให้เจ้าที่นี่”
“ซื่อจื่อวางใจได้ ข้ามิเป็นอะไรมาก ตอนนี้หายแล้วขอรับ” หวงฝู่อี้ยังคงยืนอยู่หน้าประตู และพูดอย่างนอบน้อม
หวงฝู่อี้เซวียนไม่ขัดเขา เขายืนขึ้น จุดตะเกียง และปลุกเมิ่งเชี่ยนโยวให้ลุกขึ้น สวมรองเท้าให้ และพานางไปยังอ่างล้างหน้า เอาผ้าชุบน้ำมาเช็ดหน้าให้นาง ทั้งหมดนี้เมิ่งเชี่ยนโยวไม่ได้ทำอะไรเองเลย
เมื่อเช็ดหน้าให้นางเสร็จเรียบร้อยแล้ว ก็มาเช็ดหน้าตนเอง แล้วยังช่วยจัดระเบียบเสื้อผ้าให้กับเมิ่งเชี่ยนโยวและตนเอง จากนั้นหวงฝู่อี้เซวียนจึงจูงมือของนางออกไปด้านนอก “เมื่อไม่เป็นอะไรมาก อย่างนั้นเจ้าก็ตามข้าไปรับประทานด้วยกัน”
หวงฝู่อี้ตอบรับ
หวงฝู่อี้เซวียนและเมิ่งเชี่ยนโยวเดินทางมาที่ห้องอาหาร
ในห้องอาหารมีเพียงพระชายานั่งอยู่ข้างโต๊ะผู้เดียว ไม่ครื้นเครงดังก่อน เงียบเหงาลงอย่างเห็นได้ชัด
เมื่อเห็นทั้งสองเดินเข้ามา พระชายาโบกมือให้เมิ่งเชี่ยนโยว เพื่อบอกให้นางมานั่งข้างตน ยิ้มและถามว่า “พักผ่อนสบายดีไหม”
“นอนหลับสบายจนถึงเมื่อครู่เลยเจ้าค่ะ”
พระชายาพยักหน้า “อย่างนั้นก็ดีแล้ว ค่ำนี้เจ้าคงต้องเสียแรงอีกมาก วันนี้ทานให้มากหน่อยนะ”
พูดจบ ก็สั่งหลิงหลงว่า “ยกอาหารมาได้”
ไม่นานอาหารก็ถูกนำมาจัดเรียงตรงหน้า พระชายาหยิบตะเกียบขึ้นมา คีบอาหารไปวางในจานของเมิ่งเชี่ยนโยว เมิ่งเชี่ยนโยวกล่าวขอบคุณ พร้อมยกตะเกียบขึ้นมาคีบอาหารทาน
คนเหล่านี้ต่างรู้ใจกัน ไม่มีใครถามถึงอ๋องฉี พระชายารองและหวงฝู่อวี้ แต่ท่าทีไม่ใส่ใจของพระชายา เป็นเพียงการแสดงออกเพื่อปกปิดเท่านั้น
ทั้งสามนั่งทานอาหารเงียบๆ พระชายาคีบอาหารให้หวงฝู่อี้เซวียนและเมิ่งเชี่ยนโยวเป็นครั้งครา และบอกให้ทานให้มากขึ้น นอกจากนี้ก็ไม่มีบทสนทนาใดๆ ขึ้นอีก
เมื่อทานอาหารเสร็จแล้ว จึงสั่งให้คนมาเก็บสำรับ พระชายาอ่อนเพลียอย่างเห็นได้ชัด แต่ก็ยังอดทนนั่งอยู่เป็นเพื่อนหวงฝู่อี้เซวียนและเมิ่งเชี่ยนโยว นางถอนหายใจและพูดว่า “พ่อบ้านมาแจ้งว่า ตั้งแต่อ๋องฉีไปห้องหนังสือ อวี้เอ๋อร์ก็ตามตามไปทันที เขาไปนั่งคุกเข่าอยู่ด้านหน้าห้องหนังสือ เพื่อขอร้องให้อ๋องฉีปล่อยตัวเหลียนอี”
ทั้งสองสบตากัน แต่ไม่ได้พูดอะไรออกมา
พระชายาถอนหายใจอีกครั้ง พูดว่า “อวี้เอ๋อร์เป็นเด็กดี แต่สิ่งที่เหลียนฉีทำลงไปนั้น ไม่สามารถขอร้องแล้วจะได้รับการอภัยได้ แม้ว่าตอนนี้ท่านอ๋องยังไม่มีรับสั่งใด แต่เกรงว่านางคงไม่มีจุดจบที่ดีแน่”
“กรรมใดใครก่อกรรมนั้นย่อมคืนสนองขอรับ ทั้งหมดนี้เป็นเพราะนางทำตัวเอง จะโทษใครไม่ได้ วันนี้เสด็จพ่อเจอเรื่องมามาก อาจจะรับไม่ไหวในคราเดียว รอให้ท่านได้สติกลับมาจะต้องมีวิธีจัดการแน่นอนขอรับ อวี้เอ๋อร์เองก็เป็นลูกในไส้ของนาง มาขอร้องแทนนางก็เป็นเรื่องที่ควรทำ เสด็จแม่อย่าห่วงไปเลยขอรับ”
พระชายาถอนหายใจเบาๆ “คนที่น่าสงสารน่ะคืออวี้เอ๋อร์นะ เกรงว่าภายหน้าเขาคงจะมีกำแพงความรู้สึกกับพวกเราเสียแล้ว”
หวงฝู่อี้เซวียนปลอบเขา “อวี้เอ๋อร์ไม่ใช่เด็กแล้ว เขาสามารถแยกแยะถูกผิดได้ เขาต้องเข้าใจว่าเรื่องนี้เป็นเพราะเสด็จแม่ของเขาก่อเรื่องขึ้น จะมาโทษพวกเรามิได้ แต่หากเขาจะตีตัวออกห่างจากพวกเราด้วยเรื่องนี้ ข้าก็ยอมตัดพี่ตัดน้องกับเขา”
เมื่อพูดจบ พระชายาก็รีบยกมือขึ้นห้าม พูดด้วยน้ำเสียงรีบร้อนว่า “เซวียนเอ๋อร์จะทำอย่างนั้นไม่ได้นะ จวนอ๋องมีแค่เจ้าสองคนพี่น้อง อย่าให้เรื่องไปถึงขั้นที่พี่น้องต้องมองหน้ากันไม่ติดเลย”
“เสด็จแม่ ท่านอย่าลืมไปว่า เบื้องหลังของอวี้เอ๋อร์คือจวนมหาเสนาบดี หากพระชายารองถูกจัดการแล้ว พวกเขาจะต้องปัดความรับผิดชอบมาให้พวกเราเป็นแน่ ถ้าหากอวี้เอ๋อร์เชื่อคำของฝั่งนั้น ความสัมพันธ์ของเราพี่น้องก็คงต้องเป็นไปแบบนั้นขอรับ”
พระชายาเงียบลง นางไม่ได้คิดถึงความจริงข้อนี้เลย แต่นางเองเห็นหวงฝู่อวี้มาตั้งแต่เล็กๆ เขาเป็นเด็กจิตใจดี ไม่เคยทำเรื่องออกนอกลู่นอกทางมาก่อน และยังเคารพเขา นางไม่อยากให้เขาเดินไปถึงจุดนั้นได้
ทั้งสามคนไม่พูดจากัน ทั้งห้องเงียบลงทันใด
เมิ่งเชี่ยนโยวทำลายความเงียบลง “ถึงเวลาค่ำแล้ว ข้าควรไปที่จวนตระกูลเฝิงแล้วเจ้าค่ะ”
พระชายาพยักหน้า “ใช่ ใช่ ใช่ พวกเจ้ารีบไปเถอะ ข้ารอฟังข่าวจากพวกเจ้านะ”
หวงฝู่อี้เซวียนเห็นใบหน้านางเต็มไปด้วยความอ่อนเพลีย จึงกล่าวท้วงว่า “เสด็จแม่ ท่านไปพักผ่อนก่อนเถิด พวกเรามิรู้ว่าจะได้กลับมาเมื่อใด”
พระชายายกมือปราม “เมื่อบ่ายข้าได้นอนไปบ้างแล้ว แต่นอนไม่หลับเลย พวกเจ้าไม่ต้องสนใจข้าหรอก รีบไปรีบกลับ”
หวงฝู่อี้เซวียนและเมิ่งเชี่ยนโยวออกจากจวนอ๋องไป เมิ่งเชี่ยนโยวสั่งหวงฝู่อี้ที่ดึงดันจะไปด้วยว่า “เจ้าไปบ้านข้า ให้ชิงหลวนและจูหลีนำเข็มยาไปส่งข้าที่จวนตระกูลเฝิง”
หวงฝู่อี้รับคำ กลับจวนไปจูงม้าออกมา และขี่ม้าไปหนานเฉิงทันที