หมั้นหมาย (2) โดย Ink Stone_Fantasy

เห็นท่าทางเหนื่อยอ่อนของสามี แม่ของอวี๋ชิงหย่ายืนขึ้น เดินไปด้านหลังของอวี๋เฮ่าหรานแล้วกดบ่าของเขาไว้ กระซิบถามว่า “เฮ่าหราน เกิดอะไรขึ้นงั้นเหรอ?”

“ไม่มีอะไรหรอก ซิ่วเหลียน เธอไม่ต้องกังวล…”

อวี๋เฮ่าหรานโบกมือ หลับตาลง เขาไม่เคยเอาเรื่องงานมาเล่าให้ที่บ้านฟังแม้แต่น้อย เพราะถึงพูดไป ภรรยาก็ช่วยอะไรไม่ได้ มีแต่จะทำให้เธอกระวนกระวายใจตามไปด้วย

อวี๋เฮ่าหรานมีเรื่องเดือดร้อนจริงๆ และยังเป็นเรื่องใหญ่โตอีกด้วย

เมื่อปีก่อน อวี๋เฮ่าหรานได้พาบุตรสาวไปร่วมงานประชุมผู้ประกอบการประจำปี ในงานนั้นมีคนหนุ่มชื่อซ่งเสี่ยวเจ๋อ แสดงออกว่าชอบพอในตัวอวี๋ชิงหย่า

เมื่อจบงานซ่งเสี่ยวเจ๋อได้ชวนอวี๋ชิงหย่าไปทานข้าวด้วยกันในวันรุ่งขี้น ถึงแม้ตอนนั้นอวี๋ชิงหย่ากำลังงอนอยู่กับเยี่ยเทียน แต่จะไม่ไปนัดเดทกับชายอื่นเด็ดขาด จึงตอบปฏิเสธไป

ขอเดทกับอวี๋ชิงหย่าไม่สำเร็จ ซ่งเสี่ยวเจ๋อจึงมาหาอวี๋เฮ่าหรานแทน ตอนนั้นเขาไม่ได้สนใจหนุ่มคนนี้แม้แต่น้อย แต่ข้าราชการที่ติดตามมาด้วยพูดถึงเบื้องหลังของชายหนุ่ม อวี๋เฮ่าหรานก็อดไม่ได้ที่จะไม่มองข้าม

ตระกูลอวี๋อาศัยอยู่ในเซี่ยงไฮ้ นับว่ารากฐานมั่นคง และได้ผ่านทั้งความรุ่งโรจน์และความวิปโยคมาหมดแล้ว ผู้ที่สามารถทำให้คนอย่างอวี๋เฮ่าหรานนั้นหวั่นเกรงได้ ต้องเป็นคนแบบไหน หรือมีภูมิหลังแบบไหนกัน

แต่คนตระกูลซ่ง เป็นผู้ที่อวี๋เฮ่าหรานไม่ควรจะไปมีปัญหาด้วย ไม่ว่าธุรกิจด้านไหน บ้านตระกูลเยี่ยก็ไม่อาจเทียบชั้นกับตระกูลซ่งได้เลย

เมื่อก่อนบ้านตระกูลซ่งมีการแบ่งออกเป็นบ้านทางเหนือกับทางใต้ บ้านทางใต้ออกไปอยู่ต่างประเทศ บ้านทางเหนืออยู่ในประเทศและมีความเจริญก้าวหน้า ในปัจจุบันภายใต้การนำของซ่งเฮ่าเทียน ทำให้บ้านซ่งเหนือกับซ่งใต้กลับมารวมกันอีกครั้ง กลายเป็นตระกูลที่ยิ่งใหญ่แม้แต่บริษัทการเงินยักษ์ใหญ่ยังไม่กล้าประมาทด้วย

มาถึงวันนี้ บ้านตระกูลซ่งไม่เพียงแต่ครอบครองพื้นที่ทางการเมืองส่วนหนึ่งในประเทศ ในโลกธุรกิจยังมีอิทธิพลมหาศาล พวกพ่อค้าเชื้อสายจีนในต่างประเทศต่างก็พร้อมจะทำงานถวายหัวให้กับบ้านตระกูลซ่งทั้งนั้น

ไม่รู้ว่าทำไมนักธุรกิจตระกูลซ่งผู้ควบคุมกลุ่มสมาคมวอลสตรีทซึ่งไม่เคยเหลียวแลธุรกิจในประเทศจีนมาก่อน สองปีมานี้กลับปรับกลยุทการลงทุน หว่านเงินทุนก้อนใหญ่ในธุรกิจในประเทศ งานวิศวกรรมสำคัญหลายอย่างต่างก็มีชื่อของนักกลุ่มนี้เป็นผู้ร่วมทุนอยู่ด้วย

โดยเฉพาะในเซี่ยงไฮ้อิทธิพลของกลุ่มลงทุนนี้ขยายตัวขึ้น บ้านตระกูลซ่งไม่เพียงแต่เป็นกลุ่มธุรกิจรายใหญ่ในเซี่ยงไฮ้ ยิ่งกว่านั้น เป็นพันธมิตรที่มีความสัมพันธ์แน่นแฟ้นกับตู้เยวี่ยเซิงและหวังจินหรง ผู้ซึ่งถูกขนานนามว่าเจ้าพ่อเซี่ยงไฮ้

หลังจากการปฏิวัติวัฒนธรรม เรื่องราวเหล่านี้กลายเป็นประวัติศาสตร์ไป แต่ทุกวันนี้เบื้องหลังของกลุ่มธุรกิจในเซี่ยงไฮ้ยังคงหลงเหลือร่องรอยของบุคคลกลุ่มนี้อยู่

ดังนั้นการเข้ามาจากต่างประเทศของบ้านตระกูลซ่งนั้นจึงราบรื่น ไม่มีอุปสรรคขัดขวาง เพียงเวลาสั้นๆแค่สองปี ก็เกือบจะเห็นจุดยืนอันยิ่งใหญ่ของตระกูลซ่งเฉกเช่นความเจริญในอดีต

ส่วนซ่งเสี่ยวเจ๋อคนนี้ เป็นตัวแทนบ้านตระกูลซ่งคนใหม่ที่เพิ่งถูกส่งตัวมาที่เซี่ยงไฮ้

ลูกหลานบ้านตระกูลซ่งมีทั้งในและต่างประเทศ ถ้าหากซ่งเสี่ยวเจ๋อเป็นเพียงสมาชิกตระกูลธรรมดาคนหนึ่งล่ะก็อวี๋เฮ่าหรานคงจะไม่ได้ใส่ใจนัก แต่เขาเป็นถึงเส้นสายของลูกชายคนโตของตระกูลซ่งที่ถูกเลี้ยงดูอบรมสั่งสอนมาในต่างประเทศ

แน่นอนว่าจุดยืนของอวี๋เฮ่าหรานในเซี่ยงไฮ้คนหนุ่มอย่างซ่งเสี่ยวเจ๋อไม่สามารถทำให้สั่นคลอนได้ เพราะเขาเป็นแค่คนที่ถูกสั่งสอนมา ไม่ใช่ผู้กุมบังเหียนตัวจริง

เพื่อไม่ให้เรื่องราวบานปลายจนเกิดความยุ่งยากตามมา อวี๋เฮ่าหรานจึงรีบตัดสินใจให้ลูกสาวหมั้นกับเยี่ยเทียน เพื่อตัดความหวังของชายหนุ่ม

“ไม่งั้นบอกเรื่องนี้กับเยี่ยเทียนไหม?”

อวี๋เฮ่าหรานคลึงขมับเบาๆ ลดมือลง ตัดสินใจว่า “ช่างมันเถอะ ด้วยนิสัยของเขา ถ้ารู้เรื่องนี้เข้า ต้องก่อเรื่องขึ้นอีกแน่นอน!”

การเป็นครูของเยี่ยเทียนตั้งแต่เด็ก อวี๋เฮ่าหรานรู้ซึ้งถึงนิสัยของลูกศิษย์และลูกเขยในอนาคตเป็นอย่างดี เยี่ยเทียนดูเหมือนเป็นคนไม่สนใจอะไร แต่เป็นคนที่ทั้งใจแคบขี้ระแวงและใจกล้ามากทีเดียว

ถ้าให้เยี่ยเทียนรู้เข้า ไม่แน่ว่าเขาอาจจะก่อเรื่องเดือดร้อนขึ้นมาอีก ถึงจะพอมีวิชาทำนายและวิชาอาคม แต่การเผชิญหน้ากับตระกูลซ่งคงเป็นได้แค่ผู้ที่ไม่ประมาณตน

ดังนั้นอวี๋เฮ่าหรานจึงตัดสินใจไม่บอกเยี่ยเทียน รอจนหมั้นหมายกันเรียบร้อยแล้ว ให้ลูกสาวตามเขาไปอยู่ที่ปักกิ่ง ซ่งเสี่ยวเจ๋อคงจะตายใจไปเอง

…………………………-

“ถุย ดูก็รู้ว่าเป็นพวกเกาะผู้หญิงกิน!”

เมื่ออวี๋ชิงหย่าขับรถยนต์สีแดงพาเยี่ยเทียนออกไปจากบ้านวิลล่า ยามเฝ้าประตูเอาแต่ถุยน้ำลายสบประมาทเยี่ยเทียนอยู่ไกลๆ

ในความเห็นของยาม คุณหนูอวี๋กับเยี่ยเทียนอยู่ด้วยกัน เหมือนกับการนำดอกไม้แสนสวยไปปักไว้บนมูลวัว แต่ถ้าให้ตัวเขาเองไปนั่งแทนตำแหน่งเยี่ยเทียนบนรถนั่น ก็จะกลายเป็นเรื่องคุณหนูผู้สูงศักดิ์กับบัณฑิตยากจนไปเสีย

“ชิงหย่า ลุงอวี๋เป็นอะไรไป? ยังไม่ทันจะทักทายกันจบ อยู่ๆก็พูดเรื่องหมั้นหมายเสียแล้ว?”

เยี่ยเทียนที่นั่งอยู่ในรถสีแดง ไม่มีแก่จิตแก่ใจจะไปเดาว่ายามคิดยังไง จนมาถึงตอนนี้ เขายังพิศวงกับท่าทีของอวี๋เฮ่ารานเมื่อครู่

คำพูดของอวี๋เฮ่าหรานเยี่ยเทียนฟังออกว่าพ่อของเขาเองยังไม่รู้เรื่องหมั้นหมายมาก่อนเลย ถ้าเดาไม่ผิดต้องเป็นเพราะว่าอวี๋เฮ่าหรานเพิ่งตัดสินใจเดี๋ยวนั้น

แม้เยี่ยเทียนจะไม่ได้ปฏิเสธเรื่องการหมั้นกับอวี๋ชิงหย่า แต่เขาเป็นหมอดูผู้ล่วงรู้อนาคต เขากลับไม่ชอบเรื่องที่อยู่นอกเหนือการควบคุม

“ทำไม? เธอไม่อยากเหรอ?” อวี๋ชิงหย่าที่ดีใจอยู่ในตอนแรก ก็หันหน้าหาเยี่ยเทียนแล้วขมวดคิ้วใส่ รอยยิ้มบนในหน้าหายไปทันใด

เห็นสีหน้าของอวี๋ชิงหย่าแล้ว เยี่ยเทียนรีบอธิบาย “เราสองคนหมั้นหมายกันฉันก็ต้องดีใจอยู่แล้ว ทำไมเธอถึงอ่อนไหวง่ายจัง?ฉันแค่รู้สึกว่ามันออกจากฉุกละหุกไปหน่อย เธอไม่รู้สึกเหรอ?”

“ที่เธอพูดก็ถูก พ่อไม่เคยพูดกับฉันมาก่อน…” ได้ฟังที่เยี่ยเทียนพูด อวี๋ชิงหย่าเลิกคิ้วขึ้น ถึงเธอจะเป็นคนใสซื่อ แต่สติปัญญาหลักแหลม ไม่อย่างนั้นคงสอบเข้ามหาวิทยาลัยหวาชิงไม่ได้หรอก

“ชิงหย่า ช่วงนี้บ้านเธอมีเรื่องอะไรเกิดขึ้นรึเปล่า? ธุรกิจของลุงอวี๋เป็นยังไงบ้าง?” เยี่ยเทียนถามตามตรง

อวี๋ชิงหย่าส่ายหน้า “ไม่มีอะไรนี่นา ธุรกิจของพ่อฉันก็ดีอยู่ ปีก่อนยังไม่ได้เป็นผู้ประกอบการดีเด่นในเซี่ยงไฮ้อยู่เลย!”

“แล้วช่วงนี้มีคนมาจีบเธอหรือเปล่า?” เยี่ยเทียนถามต่อ

“มีอยู่แล้ว!”

อวี๋ชิงหย่าเหลือบมองเยี่ยเทียนทีหนึ่งแล้วพูดว่า “ฉันน่ะได้รับดอกไม้ทุกวัน ถ้าฉันยินยอมล่ะก็ ตั้งแต่ตอนนี้จนถึงวันนี้ปีหน้าก็มีคนมาเข้าแถวรอนัดเดทกินข้าวกับฉันทุกวัน…”

“ใช้ได้หนิ ตั้งแต่วันนี้ไป จนตลอดชีวิตของเธอ ฉันจองไว้แล้ว!” เยี่ยเทียนหัวเราะออกมา กุมมืออวี๋ชิงหย่าที่อยู่บนคันบังคับเกียร์

“อย่าเล่นน่า ขับรถอยู่นะ…” อวี๋ชิงหย่าตัวสั่นเล็กน้อย รีบดึงมือกลับไปวางบนพวงมาลัยรถ

เยี่ยเทียนปั้นหน้าจริงจัง แล้วถามว่า “ชิงหย่า แล้วหลายวันมานี้มีใครที่ทำให้เธอรู้สึกรำคาญเป็นพิเศษบ้างไหม?หรือคนที่ลุงอวี๋ไม่ชอบหน้าเอามากๆ?”

“คนที่ไม่ชอบ?คนพวกนั้นน่ารำคาญทุกคน เดี๋ยวก็จะนัดฉันไปกินข้าว เดี๋ยวก็ไปดูคอนเสิร์ต…”

หลังจากกลับมาถึงเซี่ยงไฮ้แล้ว เกือบทุกครั้งที่อวี๋ชิงหย่าออกไปข้างนอกกับบิดา มักจะได้พบกับชายหนุ่มที่มาขอนัดเดท ทำให้อวี๋ชิงหย่ารู้สึกหงุดหงิดรำคาญใจมาก

แต่คนที่จะทำให้พ่อของเธอไม่ชอบได้ อวี๋ชิงหย่าคิดไม่ออกว่าจะเป็นใครได้บ้าง เพราะเรื่องแบบนี้ผู้เป็นพ่อมักให้เธอจัดการเอาเอง

คิดทบทวนถึงเรื่องที่เกิดขึ้นช่วงที่ผ่านมานี้ อยู่ๆอวี๋ชิงหย่าก็นึกขึ้นมาได้ “ใช่ละ มีคนหนึ่งน่ารำคาญมากเป็นพิเศษ เคยเจอกันแค่ครั้งเดียว ก็จะชวนฉันไปดูหนังให้ได้ ฉันปฏิเสธไปตอนนั้นแล้ว แต่ตอนหลังเหมือนว่าจะไปหาพ่ออีก ตอนค่ำพ่อกลับมาบ้าน ดูพ่อไม่ค่อยสบายใจเลย!”

“คนๆนั้นชื่ออะไร?” เยี่ยเทียนถาม

“เหมือนจะแซ่ซ่ง ใช่ แซ่ซ่ง ชื่อซ่งเสี่ยวเจ๋อ ดูเป็นคนหลงตัวเองมาก เหมือนกับว่าผู้หญิงทั้งโลกจะมาพิศวาสเขาเพียงคนเดียวอย่างนั้น!”

อวี๋ชิงหย่าพูดไปเบ้ปากไป ดูน่ารักดี อยู่ปักกิ่งมานานหลายปีโดยเฉพาะตอนที่อยู่กับคนจัดจ้านอย่างเว่ยหรงหรง ทำให้หลายครั้งที่อวี๋ชิงหย่าได้หลุดคำพูดที่ทำให้คนอื่นคิดไม่ถึงออกมา

“แซ่ซ่ง?ชื่อซ่งเสี่ยวเจ๋อ?” เยี่ยเทียนได้ยินก็นิ่งไป หลับตาลง ทำการทำนายชื่ออยู่ในใจ

เมื่อเห็นเยี่ยเทียนไม่คุยต่อ จึงรีบถามว่า “เยี่ยเทียน เป็นอะไรไป?ฉันกับเขาไม่มีอะไรกันเลยนะ คนนั้นน่ะน่ารังเกียจที่สุด!”

เยี่ยเทียนลืมตาแล้วยิ้มออกมา “ฉันรู้ ชิงหย่า คนๆนี้มีที่มาบางอย่าง อาจเป็นเพราะเขาลุงอวี๋ถึงให้เรารีบหมั้นกัน แต่ยังไงก็ต้องขอบคุณเขานะ ไม่อย่างนั้นเราสองคนไม่ได้สมหวังเร็วขนาดนี้!”

“ทำไมนายหน้าหนาจัง?ใครจะได้สมหวังกับนายกันเล่า?” อวี๋ชิงหย่าได้ยินสิ่งที่เยี่ยเทียนพูดก็เขินหน้าแดง แต่ไม่ได้สังเกตุเลยว่าคนรักกำลังยิ้มเย็นอย่างมีเลศนัย

วิลล่าที่บ้านตระกูลอวี๋อาศ้ยอยู่นั้นอยู่ในเขตชุมชนพลุกพล่าน ขับรถผ่านไปเจ็ดแปดนาทีอวี๋ชิงหย่าได้จอดรถที่หาดไว่ทานที่มองเห็นวิวของตึกสไตล์ยุโรปเรียงรายสวยงาม

“เยี่ยเทียน ร้านนี้เป็นร้านเสื้อผ้าแบรนด์ยุโรปที่มีชื่อเสียงมากนะ พ่อของฉันตอนออกงานสำคัญต้องมาสั่งตัดชุดที่ร้านนี้!” จอดรถเสร็จแล้วอวี๋ชิงหย่าควงแขนเยี่ยเทียนเดินเข้าไปในแนวตึกแบบโบราณห้องหนึ่ง

“ฉันไม่มีเงินเลยนะ ครั้งนี้เป็นเพราะพ่อตาบังคับหมั้น เลยต้องให้ท่านออกเงินเสียบ้าง!”

เข้าไปในร้านแล้วเยี่ยเทียนใจเต้นแรงเมื่อเห็นราคา แต่ยังเก็บสีหน้าอาการให้เรียบเฉย เงินในกระเป๋าของเขาตอนนี้มีอยู่หลายพัน แต่ที่นี่น่าจะพอซื้อได้แค่แขนเสื้อข้างหนึ่งเท่านั้น?

ฟังเยี่ยเทียนพูดจบ อวี๋ชิงหย่าทำหน้าไม่ถูก หยิกเข้าที่เอวของเยี่ยเทียน แล้วสะบัดเสียงใส่ว่า “ดูนายสิ เราเป็นสมาชิกของร้าน เซ็นชื่อพ่อฉันก็พอแล้ว ไม่ได้บอกสักหน่อยว่าจะให้นายออกเงินน่ะ!”