ตอนที่ 501 พบกับอู่หลิวเฟิง

คุณหนูสี่ สตรีเปื้อนเลือด

หลังจากนั่งสนทนากับพวกเขาพักใหญ่ ฉินอวี้โม่ก็ขอตัวกลับไปยังโรงเตี๊ยมที่นางพักอาศัยเป็นการชั่วคราว

ก๊อก ก๊อก ก๊อก~

ทันทีที่นางนั่งลงและเตรียมตัวศึกษาม้วนกระดาษโบราณลึกลับที่ได้มา เสียงเคาะประตูก็ดังขึ้น

เมื่อเปิดประตูออก นางก็พบว่าผู้มาเยือนคืออู่ถงจากนิกายอู่ซานซึ่งยืนอยู่หน้าประตูพร้อมรอยยิ้มบนใบหน้า

“ขออภัยที่มารบกวนการพักผ่อนของท่าน”

อู่ถงยิ้มอ่อน ๆ และกล่าวอย่างอ่อนน้อม แม้เขาจะเคยพบสตรีมาแล้วมากมาย ทว่าก็มีเพียงน้อยคนเท่านั้นที่จะทำให้เขารู้สึกประหม่าได้ ซึ่งฉินอวี้โม่ตรงหน้านี้ก็ทำให้เขาประหม่าและไม่เป็นตัวเองเท่าใดนัก

“ฮ่า ๆ ๆ ท่านนี่เอง”

ฉินอวี้โม่ยิ้มและกล่าวออกไปอย่างไม่ประหลาดใจกับการมาถึงของเขา นางผายมือเชิญเขาเข้ามาในห้องโดยไม่ปิดประตูลงและเอ่ยถาม “ท่านมีเรื่องอะไรที่ต้องการพูดคุยกับข้ารึ ?”

นางคาดการณ์ไว้ก่อนแล้วว่านิกายอู่ซานน่าจะส่งคนมาพบนางในไม่ช้า เพียงแต่นางไม่คิดว่าคนผู้นั้นจะมาถึงอย่างรวดเร็วเช่นนี้

“ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรนักหรอก เพียงแต่ท่านพ่อของข้าสงสัยใคร่รู้เกี่ยวกับท่านผู้นำเรือนเฟิงเสวี่ยมากและต้องการเชิญท่านไปพบเขาสักครา”

อู่ถงยิ้มอย่างจริงใจขณะยืนอยู่ในห้องอย่างระวังท่าทีและดูเกร็งอย่างเห็นได้ชัด ต้องกล่าวเลยว่าเขาไม่ถนัดในการปฏิสัมพันธ์หรือใช้เวลาอยู่กับสตรีเพศสองต่อสองมากนัก

“โอ้ งั้นรึ ?”

ฉินอวี้โม่ตอบกลับ “แต่วันนี้ก็ดึกมากแล้ว ข้าจะไปพบเขาด้วยตัวเองในวันพรุ่งนี้”

เดิมทีนางก็ตั้งใจที่จะไปพบกับผู้นำนิกายอู่ซานก่อน หากว่าอู่หลิวเฟิงชาญฉลาดมากพอ แน่นอนว่าฉินอวี้โม่ก็ไม่ต้องการที่จะเผชิญหน้ากับการรวมกำลังของพวกเขาและหุบเขากรุ่นกำยาน

แม้ว่าฉินอวี้โม่จะมั่นใจในชัยชนะ ทว่าหากเกิดการต่อสู้หรือสงครามครั้งใหญ่ขึ้นจริง ต่อให้คว้าชัยชนะมาครองได้ ในตอนนั้นพลังอำนาจโดยรวมของดินแดนทางเหนือก็คงจะเผชิญกับความเสียหายอย่างหนัก และนั่นเป็นสิ่งที่นางไม่ต้องการให้เกิดขึ้น

“เอาล่ะ ถ้าอย่างนั้นก็ตกลงตามนั้น”

อู่ถงยิ้มพร้อมพยักศีรษะก่อนหันหลังเพื่อกลับไป

“นิกายอู่ซานของท่านสั่งให้คนจับตาดูการเคลื่อนไหวของพวกเราอยู่ตลอดเวลาเลยรึ ?”

ฉินอวี้โม่เอ่ยถามพร้อมรอยยิ้ม อย่างไรก็ตาม นางทราบดีว่าหากตนเองและคนอื่น ๆ เข้าไปอยู่ในคฤหาสน์เฟิงหัว ต่อให้คนของนิกายอู่ซานจะคิดสะกดรอยตาม พวกเขาก็มิอาจทำอะไรได้

“ฮ่า ๆ ๆ แน่นอนว่าไม่ ก่อนหน้านี้ข้าเพียงรอท่านอยู่ในบริเวณโรงเตี๊ยม และเมื่อเห็นท่านกลับมา ข้าจึงกล้ามารบกวนเวลาของท่าน”

อู่ถงตอบกล่าวอย่างจริงใจและไม่ได้โกหกเรื่องใด

เมื่อเห็นสีหน้าแววตาจริงใจของบุรุษหนุ่ม ฉินอวี้โม่ก็เชื่อในวาจาของเขาทันที

“หากไม่มีอะไรแล้ว ข้าขอตัวพักผ่อนก่อน พรุ่งนี้เช้า หากไม่ขัดข้องอะไร ท่านก็มาพบข้าที่โรงเตี๊ยมนี้ได้ เมื่อถึงตอนนั้น ข้าจะพาผู้ติดตามเดินทางไปพบกับผู้นำนิกายอู่ซาน”

หลังจากฉินอวี้โม่กล่าวจบ อู่ถงก็บอกลาและกลับออกไป จากนั้นนางก็ปิดประตูลงก่อนเข้าสู่คฤหาสน์เฟิงหัวทันที

ภายในคฤหาสน์เฟิงหัว ฉินเฟิงและคนอื่น ๆ นั่งรวมตัวกันอยู่ในห้องโถง แน่นอนว่าพวกเขาได้ยินบทสนทนาทั้งหมดของฉินอวี้โม่และอู่ถงเมื่อครู่นี้ เมื่อฉินอวี้โม่เข้ามา ฉินเฟิงก็รินน้ำดื่มให้นางทันที

“ท่านผู้นำ พรุ่งนี้ท่านจะไปพบผู้นำนิกายอู่ซานจริงรึ ?”

ซวงเสวี่ยขมวดคิ้วเล็กน้อย เขามิอาจเข้าใจความคิดของอู่หลิวเฟิงได้เลย

ต้องกล่าวเลยว่าจากทั้งสามขุมกำลังใหญ่ของดินแดนทางเหนือ ผู้ที่มีความคิดลึกลับเกินเข้าใจและยากเกินหยั่งถึงมากที่สุดก็คืออู่หลิวเฟิง เมื่อเทียบกับฮั่วชิงซานผู้ตรงไปตรงมาและเฝินเมี่ยเทียนผู้เต็มไปด้วยมารยา อู่หลิวเฟิงผู้นี้ก็ลึกลับกว่ามาก มันไม่ใช่เรื่องง่ายเลยที่จะคาดเดาความคิดของเขา

ภายนอกเขาดูเหมือนเป็นคนเรียบง่ายและเป็นสุภาพบุรุษถ่อมตน อีกทั้งชื่อเสียงของเขาในดินแดนทางเหนือก็ไม่ได้เลวร้ายนัก อย่างไรก็ตาม จากสิ่งที่ซวงเสวี่ยรับรู้มาเกี่ยวกับเขา อู่หลิวเฟิงผู้นี้ไม่ได้ธรรมดาอย่างที่เห็นภายนอก

“ฮ่า ๆ ๆ แน่นอนว่าข้าอยากไปพบเขา หากไม่ไปพบด้วยตัวเองล่ะก็ ข้าจะทราบได้อย่างไรว่าอู่หลิวเฟิงผู้นี้กำลังคิดทำอะไรอยู่…”

ฉินอวี้โม่ยิ้มอย่างสบาย ๆ โดยไม่มีความหวาดหวั่นแม้แต่น้อย มันก็เป็นระยะเวลาที่นานแล้วตั้งแต่ที่นางปรากฏตัวขึ้นมาในโลกใหม่นี้และนางก็ได้พบกับคนมากหน้าหลายตาที่มีลักษณะนิสัยแตกต่างกันไป ไม่ว่าแท้จริงแล้วอู่หลิวเฟิงจะเป็นคนอย่างไร ฉินอวี้โม่ก็ต้องการพบด้วยตัวเอง

“ในเมื่อท่านผู้นำตัดสินใจแล้ว ข้าก็จะไม่คัดค้าน”

เหมาซานกล่าวด้วยน้ำเสียงหนักแน่น “เพียงแต่ท่านผู้นำจะต้องระวังตัวไว้ตลอดเวลา เราจะคอยช่วยจับตาดูสถานการณ์ให้ท่าน”

ฉินอวี้โม่ยิ้มพร้อมพยักศีรษะตอบตกลง

“อีกอย่าง ในเมื่อทุกคนอยู่กันพร้อมหน้าพร้อมตาแล้ว เรามาศึกษาม้วนกระดาษลึกลับนี่กันเถอะ”

หลังจากหยิบม้วนกระดาษโบราณออกมา ฉินอวี้โม่ก็ขมวดคิ้วเบา ๆ และกล่าวออกไป

ก่อนหน้านี้นางตรวจสอบมันอย่างคร่าว ๆ แล้วและพบว่าม้วนกระดาษฉบับนี้ลึกลับอย่างแท้จริง ไม่ว่านางจะใช้วิธีการใด มันก็ไม่มีทางเลยที่มองเห็นเนื้อหาข้างในได้

ขณะมองดูม้วนกระดาษที่ฉินอวี้โม่หยิบออกมา ทั้งซวงเสวี่ยและเหมาซานก็แสดงสีหน้าสงสัยใคร่รู้ทันที

ฉินเฟิงก็ลองสำรวจดูและพบว่าทั้งหน้าของมันว่างเปล่าไร้เนื้อหาและข้อมูลใด ๆ

“ดูจากลักษณะภายนอกและวัสดุของม้วนกระดาษฉบับนี้ หากข้าเดาไม่ผิด มูลค่าของมันไม่ไม่ใช่น้อย ๆ เลย ยิ่งไปกว่านั้น ข้อมูลข้างในของมันก็น่าจะถูกปิดผนึกไว้ด้วยวิธีผนึกที่พิเศษบางอย่าง เราจึงไม่สามารถมองเห็นเนื้อหาข้างในของมันได้เลย”

ซวงเสวี่ยมองอย่างพิจารณาและวิเคราะห์มันเช่นกัน

เขาเป็นคนที่มีความรู้กว้างขวางและเฉลียวฉลาดอย่างมาก แม้ไม่ทราบวิธีเปิดผนึกเพื่ออ่านเนื้อหาข้างใน เขาก็คาดเดาบางอย่างได้อย่างคร่าว ๆ

ฉินเฟิง เหมาซานและคนอื่น ๆ พยักศีรษะเห็นด้วย ฉินอวี้โม่เองก็พยักศีรษะเช่นกันและเชื่อว่าข้อสันนิษฐานของซวงเสวี่ยสมเหตุสมผลพอสมควร

“ม้วนกระดาษฉบับนี้มีลวดลายที่ประหลาดไม่น้อย ข้าคิดว่ามันน่าจะเกิดขึ้นจากผนึกพิเศษ น่าเสียดายที่ข้ายังมิอาจคิดหาวิธีเปิดผนึกและไขปริศนามันได้”

มารยากล่าวออกมาเช่นกัน มันเริ่มตรวจสอบตั้งแต่ก่อนหน้านี้แล้วโดยพบว่าผนึกของมันแปลกประหลาดอย่างที่สุดและมิอาจไขปริศนาที่ลึกลับของมันได้เลย

“ดูเหมือนว่าเราจะต้องใช้เวลาตรวจสอบและหาวิธีปลดผนึกของมันในระยะยาว”

ฉินอวี้โม่ไม่ได้ผิดหวังแม้แต่น้อย หากความลับถูกไขปริศนาได้อย่างง่ายดาย คุณค่าของม้วนกระดาษลึกลับฉบับนี้ก็คงลดน้อยลงมาก

นางมองสำรวจวัตถุลึกลับฉบับนั้นอีกครั้งก่อนเก็บลงในแหวนมิติของตน

หลังจากไปพบบุตรน้อยทั้งสองและใช้เวลากับพวกเขาพักใหญ่ ฉินอวี้โม่ก็เข้าไปพักผ่อนในห้องของตนเอง

ฉินเฟิงและคนอื่น ๆ ก็แยกย้ายกันไปพักผ่อนเช่นกันในขณะที่เสี่ยวเฮยจับตาดูสถานการณ์ข้างนอกเพื่อป้องกันมิให้ผู้ใดมารบกวนฉินอวี้โม่

เช้าตรู่วันต่อมา อู่ถงเดินทางมาถึงอย่างรวดเร็วและรออยู่ในห้องโถงของโรงเตี๊ยม

ฉินอวี้โม่ก็อาบน้ำเตรียมตัวและเดินไปที่ห้องโถงอย่างสบายๆ

ครานี้นางสวมชุดสีขาวสะอาดและเส้นผมสลวยถูกมัดไว้เป็นหางม้าหลวม ๆ พาดไปด้านหลังศีรษะ ใบหน้าของนางไร้ซึ่งเครื่องสำอางหรือเครื่องประดับตกแต่งใด ๆ ทว่ายังคงงดงามชวนมองไม่เปลี่ยนแปลง กลิ่นอายความเรียบเฉยไม่บ่งบอกถึงความรู้สึกของนางก็ดึงดูดความสนใจของผู้คนได้ในทันทีและมิอาจละสายตาได้เลย

เดิมทีอู่ถงก็รออยู่ก่อนแล้ว ทว่าเมื่อหันไปเห็นฉินอวี้โม่ที่ปรากฏตัวขึ้นมาอย่างกะทันหัน เขาก็ตกตะลึงจนชะงักค้างไปทันที

“ไปกันเถอะ”

มิอาจทราบได้ว่าฉินอวี้โม่เดินมาหยุดตรงหน้าอู่ถงตั้งแต่เมื่อใด นางกล่าวขึ้นเบา ๆ ในขณะที่อู่ถงยังคงชะงักค้าง

“เฮ้ ดูเหมือนว่ามันจะยังเช้าเกินไป ลุงอู่จึงได้เหม่อลอยและสะลึมสะลืออยู่เช่นนี้…”

เมื่อเห็นใบหน้าตกตะลึงของอู่ถง หานอวี้ก็อดกล่าวหยอกเย้าไม่ได้

เมื่อฉินเฟิงและคนอื่น ๆ ได้ยินวาจาของหานอวี้ พวกเขาก็อดหัวเราะเบา ๆ ออกมาไม่ได้

ทว่าเมื่ออู่ถงได้ยินวาจาของหานอวี้และเรียกสติกลับคืนมา ใบหน้าของเขาก็แดงระเรื่อขึ้นเล็กน้อยและรู้สึกเขินอายเป็นอย่างมาก

ฉินอวี้โม่งดงามอย่างที่สุดจนเขาตกตะลึงไปชั่วขณะ แม้เคยพบสตรีโฉมงามมาแล้วมากมาย เขาก็ยังชะงักค้างไปโดยไม่รู้ตัว

“ขออภัยด้วย ดูเหมือนว่าข้าจะทำตัวเสียมารยาทไป”

เขากล่าวอย่างขวยเขินขณะมองฉินอวี้โม่และคณะเดินทางของนางพร้อมกล่าวออกไป “ไปกันเถอะ”

วันนี้ฉินอวี้โม่เดินทางไปพร้อมกันฉินเฟิง ฉู่เจี๋ย เหมาซานและอสูรมายาจำนวนหนึ่ง ส่วนซวงเสวี่ยและคนอื่น ๆ ยังอยู่ที่โรงเตี๊ยมเพื่อจัดการสิ่งต่างๆ

ทุกคนตามอู่ถงมุ่งหน้าไปยังคฤหาสน์ที่พักของนิกายอู่ซานในเมืองฉางอานก่อนพบกับอู่หลิวเฟิงที่รออยู่ในห้องโถงแล้ว

เมื่อเห็นฉินอวี้โม่และคณะเดินทางมาถึง อู่หลิวเฟิงก็คลี่ยิ้มทักทายทันที

“ฮ่า ๆ ๆ ข้าได้ยินมานานแล้วว่าผู้นำเรือนเฟิงเสวี่ยไม่ใช่บุคคลที่ธรรมดาเลย เมื่อได้พบด้วยตาของตัวเองในครานี้ ข้าเชื่อแล้วว่าสมกับคำเล่าลือเหล่านั้นอย่างแท้จริง”

อู่หลิวเฟิงมองโฉมนารีตรงหน้าและอดกล่าวด้วยน้ำเสียงชื่นชมไม่ได้

ต้องกล่าวเลยว่าฉินอวี้โม่เป็นสตรีที่พร้อมทั้งรูปลักษณ์และความมหัศจรรย์อย่างแท้จริง แม้เคยพบผู้คนมาแล้วมากมาย ทว่าเมื่อได้พบกับสตรีผู้นี้ อู่หลิวเฟิงก็ยังอดรู้สึกชื่นชมนางอยู่ในใจไม่ได้

“ผู้นำนิกายอู่ซานชมข้าเกินไปแล้ว”

ฉินอวี้โม่กล่าวพร้อมรอยยิ้ม นางไม่รอช้าและเดินไปนั่งลงพร้อมกล่าวกับอู่หลิวเฟิง “ไม่ทราบว่าผู้นำนิกายอู่เชิญข้ามาที่นี่มีเรื่องอะไรรึ?”

นางไม่อ้อมค้อมและกล่าวออกไปอย่างตรงไปตรงมา

เดิมทีอู่หลิวเฟิงก็คิดว่าฉินอวี้โม่จะรักษาท่าทีและวางท่า ความตรงไปตรงมาของนางเช่นนี้ทำให้เขาตกตะลึงไม่น้อย

“ฮ่า ๆ ๆ ผู้นำเรือนเฟิงเสวี่ยช่างเป็นคนตรงไปตรงมาจริง ๆ”

อู่หลิวเฟิงยิ้มและกล่าว “อันที่จริงไม่มีเรื่องใดร้ายแรงหรอก ก่อนหน้านี้ถงเอ๋อร์กล่าวถึงผู้นำเรือนเฟิงเสวี่ยอย่างชื่นชม ข้าได้ยินมาว่าท่านเป็นคนที่ไม่ธรรมดาเลย ข้าจึงอยากพบด้วยตัวเองสักครา เพราะเหตุนั้นข้าจึงเชิญท่านมาพบ หวังว่าผู้นำเรือนเฟิงเสวี่ยจะไม่ขัดข้องและไม่รังเกียจพวกเรา”

น้ำเสียงของเขาเปี่ยมไปด้วยความจริงใจ และหากผู้ใดไม่เข้าใจความคิดของเขา เกรงว่าคนเหล่านั้นอาจถูกตบตาได้ง่าย อย่างไรก็ตาม ฉินอวี้โม่ผู้ซึ่งเคยได้ยินเกี่ยวกับผู้นำนิกายอู่ซานมาแล้วมากมายไม่เชื่อในการแสดงของเขาแน่นอน

“ข้าเองก็เคยได้ยินมานานแล้วว่าผู้นำนิกายอู่ซานอย่างท่านอู่หลิวเฟิงเป็นสุภาพบุรุษที่ถ่อมตนยิ่งนัก เมื่อได้พบกันวันนี้ คำกล่าวเหล่านั้นก็คู่ควรอย่างแท้จริง”

เมื่อเห็นสีหน้าของฉินอวี้โม่ อู่หลิวเฟิงก็มิอาจคาดเดาความคิดของนางได้เลย เขาเพียงยิ้มบาง ๆ และเปลี่ยนหัวข้อสนทนา “ก่อนหน้านี้ข้าส่งอู่ถงไปแสดงความยินดีกับผู้นำเรือนเฟิงเสวี่ยพร้อมด้วยกระบี่เล่มหนึ่ง ข้าได้ยินว่าผู้นำเรือนเฟิงเสวี่ยเป็นช่างหลอมระดับสูงที่มากฝีมือ เมื่อพิจารณาในตอนนี้ ของกำนัลแสดงความยินดีของเราไม่เหมาะสมเลยจริง ๆ ยิ่งไปกว่านั้นข้าก็ได้ยินว่าท่านจะลงมือปรับปรุงพัฒนามันด้วยตัวเอง ไม่ทราบว่าข้าจะขอดูกระบี่เล่มนั้นได้รึไม่ ?”

เขาไม่ได้กล่าวถึงจุดประสงค์ของการนัดพบกันโดยตรงและยังไม่ได้พยายามทดสอบฉินอวี้โม่ ทว่าพูดถึงกระบี่เล่มนั้นด้วยน้ำเสียงสงสัยใคร่รู้

ในเมื่อฉินอวี้โม่เป็นถึงช่างหลอมระดับสูง นางก็คงมีฝีมือในการเสริมคุณสมบัติของกระบี่เล่มนั้นได้อย่างมาก นิกายอู่ซานชื่นชอบกระบี่เป็นที่สุดและกระบี่ของพวกเขาก็ถือว่าไม่ธรรมดาเลย ทุกคนในดินแดนทางเหนือทราบเรื่องนี้เป็นอย่างดี หากฉินอวี้โม่สามารถปรับปรุงพัฒนากระบี่เล่มนั้นได้จริง ฝีมือการหลอมอุปกรณ์และอาวุธของนางก็ยอดเยี่ยมอย่างไม่ต้องสงสัย

สำหรับความแข็งแกร่งของนางในด้านการต่อสู้ อู่หลิวเฟิงก็ยังไม่สามารถเข้าใจได้เช่นกัน

“ฮ่า ๆ ๆ ในเมื่อท่านผู้นำอู่กล่าวเช่นนี้ ข้าก็มิอาจปฏิเสธ”

ฉินอวี้โม่กล่าวพร้อมรอยยิ้ม จากนั้นกระบี่เล่มยาวส่องประกายสีทองอร่ามและมีขนาดไม่ใหญ่จนเกินไปทว่าอัดแน่นไปด้วยพลังที่น่าอัศจรรย์ก็ปรากฏขึ้นในมือของนาง

.