ภาคที่ 3 ขยายแผนการอันยิ่งใหญ่ ตอนที่ 16.1 ผู้เบิกทางหนึ่งล้านคน (1)

กาลหนึ่งเคยมีเขากระบี่วิญญาณ

ตอนที่ 16 ผู้เบิกทางหนึ่งล้านคน (1) โดย Ink Stone_Fantasy

 

หลังจากที่สร้างแท่นบูชาปฐมกลียุคเสร็จเรียบร้อยแล้ว ตาแก่ลามกและคนอื่นๆ อยู่ที่หมู่บ้านตระกูลหวังต่อ สถานที่ที่เลือกไว้คือบ้านของตระกูลหวังลู่หลังเดิม แน่นอนว่าหวังลู่เป็นคนเลือกที่นี่ด้วยตนเอง

ความจริงแล้วตามแผนการเดิม หวังลู่ต้องการยึดที่อยู่ของหวังต้าฟู่ ชายผู้ที่รวยเป็นอันดับสองของหมู่บ้านคนนี้เป็นตัวปัญหามาตลอดสองปีที่ผ่านมา โดยเฉพาะตั้งแต่เมื่อเจ้าหวังเสี่ยวหูไปเข้าพวกกับแก๊งต้มตุ๋นพวกนั้น หายนะที่พวกเขาชักนำเข้าสู่หมู่บ้านถือว่าไม่ใช่เบาๆ ดังนั้นการยึดเอาทรัพย์สมบัติของคนพวกนี้ก็ถือว่าถูกต้องและสมควรแล้ว

ทว่าเมื่อกระแสพลังปราณปรากฏขึ้น เศษหินจากบ้านเก่าของเขาเกือบทำลายสิ่งที่เขาลงทุนลงแรงลงไป ทำให้หวังลู่รู้สึกสนใจบ้านเดิมของตน

ขณะนี้ความทรงจำของเขายังคงเลือนราง ไม่แน่ว่าอาจจะมีร่อยรอยบางอย่างที่เขาอาจมองข้ามไป หนำซ้ำหากเขาไม่ตรวจดูอย่างละเอียด เจ้าสิ่งนี้ก็อาจไม่ปรากฏออกมา ครั้งแรกที่เขากลับมาที่หมู่บ้าน บ้านหลังนี้ถูกครอบครองโดยทูตสำนักเจ็ดดาราที่มีตาแต่ไร้แวว ครั้งแรกที่เจอกัน หวังลู่เกือบสังหารหมอนั่นในบ้านหลังนั้นแล้ว แต่ท่ามกลางเหตุการณ์ทั้งหมด แม้ว่าเขาจะมีรากวิญญาณนภาที่เฉียบคม แต่ก็ไม่รู้สึกถึงเศษชิ้นส่วนที่ฝังอยู่แม้แต่น้อย! ดังนั้นหากเป็นเช่นนี้ ก็มีเพียงสวรรค์เท่านั้นที่รู้ว่ามีความลับอะไรฝังอยู่ที่นั่นอีกบ้าง!

โชคร้ายที่แม้หวังลู่จะให้คนอื่นๆ ย้ายเขาไปอยู่ในบ้านเก่าของเขา เขากลับไม่พบเบาะแสเพิ่มเติมเลย

ทว่าเขาก็ไม่ได้คาดหวังอะไรตั้งแต่แรกอยู่แล้ว จึงไม่ได้รู้สึกผิดหวังมากมาย หนำซ้ำเมื่อย้ายเข้าไปในบ้านหลังนี้ ก็มีงานก่ายกองที่ต้องทำ

การเทศน์ที่หน้าแท่นบูชา

หากไม่เทศน์ พวกชาวบ้านจะเปลี่ยนใจได้อย่างไร และหากพวกเขาไม่เปลี่ยนใจ หวังลู่และพวกจะเก็บภาษีสติปัญญาจากที่ไหน ทว่าหวังลู่ไม่คิดออกเทศน์เอง จะดีที่สุดหากชาวบ้านขอร้องเขาเอง

แน่นอนว่าพวกชาวบ้านเองก็มีแผนการคล้ายๆ กัน หลังจากที่มีเทพเซียนมาพำนักอยู่ที่หมู่บ้านชั่วคราว พวกเขาจะปล่อยโอกาสเช่นนี้ให้หลุดมือได้อย่างไร วันเดียวกันกับที่พวกของหวังลู่ย้ายเข้าบ้าน หัวหน้าหมู่บ้านหวังฉี่เหนียนและชาวบ้านคนอื่นๆ ก็รีบเร่งมาเยี่ยมเยียน พวกเขานำผลิตผลท้องถิ่นมาให้มากมาย รวมถึงสุราและเนื้อจำนวนหนึ่ง หนำซ้ำหัวหน้าหมู่บ้านผู้นี้ก็แสดงความปราดเปรื่องอย่างเต็มที่ ตั้งแต่ต้นจนจบ เขาไม่ได้เอ่ยถึงโลกแห่งเซียนแม้แต่น้อย

วันถัดมาเขาก็ยังส่งผลผลิตท้องถิ่นมาให้อีกชุดใหญ่ ตาแก่ลามกเองก็มิได้ปฏิเสธ ทำให้หวังฉี่เหนียนยินดีเป็นที่สุด

ในวันที่สาม หวังฉี่เหนียนก็มาเยี่ยมอีกครั้ง คราวนี้ตาแก่ลามกจึงถามออกไป “ท่านหัวหน้าหมู่บ้าน ท่านต้องการสิ่งใดกันหรือ”

หัวหน้าหมู่บ้านไม่ลังเล “โปรดชี้เส้นทางแห่งเซียนแก่พวกเราด้วย!”

ตาแก่ลามกดีใจเป็นล้นพ้นอยู่ภายใน ทว่าภายนอกแล้วนั้นเขาทำทีเป็นลังเล “เรื่องนี้…”

หัวหน้าหมู่บ้านหมอบกราบทันใด “ได้โปรดชี้ทางแก่เราด้วยเถิด!”

“โธ่เอ๋ย ตามมารยาทแล้ว เรามิควรมองข้ามน้ำใจหลายวันนี้ของพวกเจ้าก็จริง ทว่าเรื่องเส้นทางแห่งเซียนนี้ ข้ามิอาจตัดสินใจ…”

ก่อนที่เขาจะพูดจบ เสียงของเด็กหนุ่มก็ดังแว่วมา “ในเมื่อพวกเราตั้งแท่นบูชาที่นี่ การจะชี้นำพวกเขาสู่เส้นทางแห่งเซียนก็ไม่น่าจะมีปัญหาอะไร”

ตาแก่ลามกทำทีเป็นคุกเข่าอย่างแนบเนียน “คารวะท่านเจ้าสำนัก!”

“ไม่ต้องมากพิธีไป ข้ายังไม่ได้ลงไปยังโลกมนุษย์แค่ส่งเสียงไปเท่านั้น… อีกสามวัน ข้าจะลงไปเทศน์ที่แท่นบูชา จากนั้นก็ขึ้นอยู่กับวาสนาของพวกเจ้าแล้วว่าจะเข้าใจกันสักกี่คน”

จากนั้นก็ไม่มีเสียงใดส่งมาอีก หวังฉี่เหนียนมองไปรอบๆ อย่างฉงน “เมื่อครู่…คือเสียงท่านเจ้าสำนักหรือ”

ตาแก่ลามกลุกขึ้นยืนและพยักหน้า “ใช่แล้ว ท่านเจ้าสำนักส่งเสียงลงมาจากโลกแห่งเซียน หัวหน้าหมู่บ้าน พวกท่านช่างโชคดีนักที่จู่ๆ ท่านเจ้าสำนักก็ต้องการจะเทศน์ที่นี่! โธ่เอ๊ย แม้แต่ผู้อาวุโสของสำนักเรา ปีหนึ่งจะมีโอกาสเช่นนี้เพียงไม่กี่ครั้งเท่านั้น! เรื่องนี้เป็นเพราะแท่นบูชาเป็นแน่ แม้ท่านเจ้าสำนักจะเป็นเทพเซียนแห่งโลกเซียน แต่ในโลกมนุษย์นั้น ท่านกลับเดินอยู่ท่ามกลางมนุษย์ปุถุชน ใฝ่หาหลักแห่งความเท่าเทียม ในเมื่อเรามาใช้ประโยชน์พลังปราณฟ้าดินของหมู่บ้านเจ้า ย่อมเป็นหน้าที่ของเราที่จะเทศน์เรื่องเส้นทางแห่งเซียนที่นี่เช่นกัน”

หวังฉี่เหนียนตื่นเต้นตัวสั่น ไม่อาจเอื้อนเอ่ยสิ่งใดออกมาอยู่พักใหญ่ เขาอาศัยอยู่ที่หมู่บ้านนี่มานับสิบๆ ปี รู้สึกว่าพลังปราณฟ้าดินลึกลับนี่ไม่ใช่สิ่งธรรมดา ทว่าโลกแห่งเซียนนั้นเป็นเรื่องจริง!

แม้แต่เจ้าเด็กไม่เอาไหนหวังเสี่ยวหูที่ฝึกฝนอยู่สองปีในสำนักเจ็ดดาราจอมฉ้อฉลยังสามารถเสกไฟและวาดยันต์ได้ ดังนั้นหากเทพเซียนตัวจริงนี้สามารถนำพาพวกเขาสู่กฎแห่งเซียนได้… อนาคตย่อมไม่รู้จบ! อนาคตที่แท้จริงย่อมไม่รู้จบแล้ว!

——

สามวันต่อมา ลานเล็กๆ ในหมู่บ้านตระกูลหวังก็ถูกห้อมล้อมไปด้วยผู้คน ชาวบ้านนับร้อยๆ คนมารวมตัวกันอยู่ที่นี่ รอคอยให้เทพเซียนมาเผยแผ่คำสอน

หวังฟู่กุ้ยเองก็อยู่ในกลุ่มชาวบ้านด้วย หวังลู่ผู้ก่อตั้งสำนักภูมิปัญญาไม่ได้บอกกล่าวให้บิดามารดาได้รู้ถึงสิ่งที่เขาทำลงไป แน่นอนว่าเรื่องนี้เป็นความลับสำคัญ ดังนั้นแม้เขาจะสนิทสนมกับบิดามารดาเพียงใด พวกเขาก็เป็นแค่มนุษย์ปุถุชนที่อาจหลุดความลับออกมาได้ในสักวัน

ดังนั้นเมื่อสองวันก่อน พอกลับสู่ร่างเดิม หวังลู่ก็แอบย่องเข้าไปในบ้านพ่อแม่ตอนกลางคืน และสารภาพเรื่องบางเรื่อง จากนั้นก็แสร้งทำเป็นว่าต้องกลับสำนัก และบอกลาพวกเขาอย่างอิดออด

เขาบอกบิดามารดาว่าสำนักภูมิปัญญามีชื่อเสียงดีงาม แม้จะไม่ดีเท่าสำนักกระบี่วิญญาณก็ตาม และในเมื่อเทพเซียนต้องการลงมาเทศน์ให้ผู้คนฟัง จึงนับว่าเป็นโอกาสที่หาได้ยากยิ่ง ทว่าพวกเขาก็ไม่ควรแสดงความสนใจในชะตาแห่งเซียนมากจนเกินไปนัก พูดสั้นๆ คือหวังลู่ไม่ต้องการให้บิดามารดาใกล้ชิดกับสำนักภูมิปัญญาเกินไป แต่ก็ไม่ได้อยากให้ทำตัวเหินห่าง

โชคดีที่การรับรู้ของบิดามารดาไม่ได้ย่ำแย่ แถมอนุภรรยาคนใหม่ของบิดาก็ยังเฉลียวฉลาดกว่าชาวบ้านทั่วไป พวกเขาเข้าใจเจตนาของหวังงลู่เป็นอย่างดีว่าให้ปฏิบัติกับสำนักภูมิปัญญาไม่ดีหรือแย่จนเกินไป เมื่อหวังฉี่เหนียนมาขอโทษ พวกเขาก็รับคำขอโทษจากนั้นก็ออกไปฟังเทศน์ของสำนักภูมิปัญญา หวังฉี่เหนียนเรียกคนในครอบครัวไปฟังด้วย แน่นอนว่าเขาไม่ได้คาดหวังอะไรกับสิ่งที่เรียกว่าชะตาแห่งเซียน เขาทำราวกับว่ากำลังดูการละเล่น ซึ่งต่างจากพวกชาวบ้านที่ดวงตาลุกโชนด้วยความหวัง

หลังจากที่พวกชาวบ้านมารวมตัวกันแล้ว เมื่อพ้นเวลาที่นัดหมายไปเล็กน้อย เหออวิ๋น อู้เฟยฮวา และเหวินเป่าก็ออกมายืนอยู่บนเวทีที่ทำขึ้นชั่วคราวพร้อมแสดงละคร ผ่านไปพักใหญ่ ธิดาเทพผู้ซึ่งมาช้ากว่ากำหนดก็ปรากฏตัวขึ้นพร้อมไปหยุดยืนในจุดที่เตรียมไว้ จากนั้นร่างร่างหนึ่งก็ปรากฏตัวขึ้นกลางเวที เขาคือเจ้าสำนักหวังลู่ผู้ลงมาจากโลกเซียน หรือความจริงคือโผล่ออกมาจากคาถาอำพรางร่างนั่นเอง

ในฐานะผู้กำกับและนักแสดงหลักของละครเรื่องนี้ หวังลู่พิสูจน์ให้เห็นความสำเร็จด้านอาชีพได้อย่างดีเยี่ยม ทันทีที่เขาปรากฏตัว เขาก็แผ่รังสีน่าเกรงขามคุกคามจิตใจของชาวบ้าน จนพวกเขาโค้งคำนับด้วยความสมัครใจ

จากนั้นหวังลู่จึงเปิดปากออกช้าๆ “วันนี้ข้าจะพูดเรื่องราวแห่งสวรรค์” “เรื่องราวแห่งสวรรค์?”

ไม่เพียงพวกชาวบ้านจะสงสัย แม้แต่ตาแก่ลามกและคนที่เหลือที่ยืนอยู่บนเวทีต่างก็สงสัยเช่นกัน

พวกเขาไม่รู้เลยว่าหวังลู่ต้องการพูดสิ่งใด ธิดาเทพเฟิงหลิงนั้นไม่ใส่ใจจะรู้ ส่วนเหออวิ๋นกับอู้เฟยฮวาไม่กล้าที่จะถาม ทว่าเหวินเป่าซึ่งกล้าเอ่ยปากถามก็ได้คำตอบมาแล้วซึ่งเป็นเนื้อหาที่เปิดเผยไม่ได้…

ดังนั้นเมื่อหวังลู่เอ่ยคำว่าเรื่องราวแห่งสวรรค์ ผู้คนเหล่านี้จึงสนอกสนใจอยากจะฟังว่าเรื่องราวแห่งสวรรค์ที่แท้คืออะไร

“บนสวรรค์มีเหล่าเซียนมากมาย ดังนั้นสิ่งที่เรียกว่าเรื่องราวแห่งสวรรค์แท้จริงแล้วก็คือเรื่องราวของโลกแห่งเซียน หรือเรื่องราวแห่งเซียนนั่นเอง”

ข้างใต้เวที มีชาวบ้านหลายคนที่พยักหน้าอย่างหนักแน่น พวกเขามารวมตัวกันเพื่อฟังเรื่องราวแห่งเซียน รวมทั้งเรื่องราวแห่งเทพเซียน ส่วนเรื่องเมฆและดวงจันทร์บนสวรรค์นั้น แม้ดูจะมีความลี้ลับมากมาย ก็ไม่เกี่ยวอะไรกับพวกเขาแม้แต่น้อย!

เมื่อเห็นว่าชาวบ้านทั้งหลายดูกระหายใคร่รู้ หวังลู่จึงยิ้มน้อยๆ และเริ่มอธิบายทัศนียภาพที่น่าตื่นตาตื่นใจของโลกเซียน

………………………………………………..