ภาคที่ 3 ขยายแผนการอันยิ่งใหญ่ ตอนที่ 16.2 ผู้เบิกทางหนึ่งล้านคน (2)

กาลหนึ่งเคยมีเขากระบี่วิญญาณ

ตอนที่ 16 ผู้เบิกทางหนึ่งล้านคน (2) โดย Ink Stone_Fantasy

 

โลกแห่งเซียนนั้นกว้างใหญ่ไร้พรมแดน หากจะบรรจุอาณาจักรเก้าแคว้นลงไป มันก็เปรียบได้เพียงหยดน้ำในถังขนาดใหญ่เท่านั้น ในโลกแห่งเซียนที่ไร้ขอบเขตนี้มีเทพเซียนอยู่มากมาย เทพเซียนล้วนมีพละกำลังมหาศาลสามารถยกภูเขาคว่ำแผ่นดินได้ เทพเซียนในโลกเซียนไม่ได้มีข้อพิพาทไม่จบไม่สิ้นเหมือนพวกมนุษย์โลก พวกเขาปรองดอง ช่วยเหลือซึ่งกันและกัน ดังนั้นแม้โลกแห่งเซียนจะกว้างใหญ่ไพศาล แต่ก็สงบสุขเป็นที่สุด

ที่เป็นเช่นนั้นเพราะที่นี่มีผลิตผลและทรัพยากรธรรมชาติมหาศาล ไม่ว่าต้องการอะไร โลกแห่งเซียนก็ตอบสนองได้ทั้งนั้น ทรัพย์สมบัติที่ดูเหมือนประเมินค่าไม่ได้ในโลกมนุษย์กลับเป็นเพียงก้อนหินธรรมดาในโลกแห่งเซียน นั่นเพราะมันมีมากมายไปหมด ด้วยสภาพการณ์เช่นนี้ จึงยากที่จะมีเรื่องขัดแย้งเกิดขึ้น หนำซ้ำอารมณ์ความรู้สึกของเหล่าเซียนก็ต่างจากมนุษย์ธรรมดา ในเมื่อพวกเขามีชีวิตอยู่ชั่วกัปชั่วกัลป์ พวกเขาจะมามัวสนใจข้อพิพาทชั่วคราวอยู่ทำไม เพียงคำพูดไม่กี่คำ หวังลู่ก็ได้สร้างภาพโลกแห่งเซียนที่เลอเลิศงดงามจนประทับจิตประทับใจเหล่าชาวบ้าน

ก่อนหน้านี้ ความเข้าใจเรื่องโลกแห่งเซียนของพวกชาวบ้านจำกัดอยู่เพียงจินตนาการของมนุษย์และสิ่งที่ทูตของสำนักเจ็ดดารากล่าวไว้ แม้เจ้าทูตนั่นจะมีสาลิกาลิ้นทอง แต่โลกแห่งเซียนที่เขาพรรณนาก็เป็นเพียงภูเขาที่เต็มไปด้วยเงินทองเท่านั้น ต่างจากภาพที่หวังลู่บรรยายลิบลับ

ทว่าแรงจูงใจจากภาพในจินตนาการเพียงอย่างเดียวไม่เพียงพอที่จะเปลี่ยนใจของพวกชาวบ้านได้อย่างสมบูรณ์ ดังนั้นหวังลู่จึงเปลี่ยนหัวข้อ เพื่อให้เข้ากับรสนิยมของผู้ฟัง เขาจึงพูดถึงชีวิตของเทพเซียน

ซึ่งทั้งน่าหลงใหลและน่าตื่นเต้น

พักเรื่องเล่าของยักษ์อายุนับล้านๆ ปีเอาไว้ก่อน ใครก็ตามที่เพิ่งได้เป็นเซียน เมื่อย่างเท้าเข้ามาสู่โลกแห่งเซียนแล้ว จะมีเทพธิดาหน้าตางดงามกว่าหญิงใดในโลกเจ็ดสิบสองนางมาต้อนรับ ดูแลปรนนิบัติพัดวีจัดหาในสิ่งที่ต้องการ และพวกนางก็จะกลายเป็นสมบัติของเซียนผู้นั้นไป แล้วก็จะมีตำหนักโอ่อ่าไว้เป็นที่พำนักในโลกแห่งเซียน ในอาณาเขตที่กว้างใหญ่ไพศาล อำนาจของจักรพรรดิองค์ใดในโลกมนุษย์ก็มิอาจเทียบได้แม้กับเซียนที่อ่อนแอที่สุด หากเทพเซียนคนใดต้องการ เขาก็สามารถเปลี่ยนแปลงดินแดนนับล้านๆ แห่งในโลกแห่งเซียนได้

การพรรณนาในครั้งนี้ฟังดูฉาบฉวย แต่เหล่าผู้ฟังด้านล่างต่างทึ้งหูทึ้งแก้มของตนด้วยความดีใจ ไม่อาจปกปิดความยินดีบนใบหน้าได้

สำหรับพวกเขา นี่สิจึงเป็นโลกแห่งเซียนอย่างแท้จริง นี่คือสิ่งที่ผู้เป็นเซียนสมควรได้รับ! ภูเขาเงินภูเขาทองอะไรนั่นช่างรสนิยมต่ำยิ่งนัก! ที่ไหนจะเทียบกับเหล่านางฟ้าเจ็ดสิบสององค์ได้เล่า…

ไม่นานการบรรยายเรื่องโลกแห่งเซียนของหวังลู่ก็จบลง ทว่าที่ข้างล่างเวที ชาวบ้านบางคนก็อดรนทนไม่ได้ “ข้าถามได้ไหมท่านเทพเซียน แล้วเราจะไปยังโลกแห่งเซียนได้อย่างไร”

“เราสามารถบำเพ็ญเพื่อกลายเป็นเซียนได้หรือไม่”

“ท่านเทพเซียน ท่านว่าข้ามีคุณสมบัติพอที่จะเป็นผู้ฝึกเซียนหรือไม่”

“ท่านเทพเซียน…”

ทุกอย่างดูโกลาหล ทุกคนต่างพากันพูดขึ้นพร้อมกัน หวังลู่ที่อยู่บนเวทีโปรยยิ้มยินดี เขาไม่ห้ามพวกชาวบ้าน ทั้งยังไม่ตอบคำถาม ผ่านไปครู่ใหญ่ หัวหน้าหมู่บ้านหวังฉี่เหนียนก็กระทุ้งไม้เท้าลงพื้นพลางตะโกนเสียงดัง “เงียบปาก!”

อำนาจของคนเป็นหัวหน้าหมู่บ้านยังคงมีผล ทันใดนั้น เสียงจอแจของพวกชาวบ้านก็เงียบลง หัวหน้าหมู่บ้านหวังฉี่เหนียนโค้งคารวะหวังลู่อย่างนอบน้อม และถามเสียงต่ำ “ข้าขอถามหน่อยเถิดท่านเทพเซียน พวกเราที่เป็นมนุษย์ธรรมดา…มีสิทธิ์ที่จะได้เป็นเซียนหรือไม่”

หวังลู่ยิ้มบาง “มี”

หัวใจของหวังฉี่เหนียนเต้นแรงในทันที พลางคิด ‘แน่ล่ะ! แม้สำนักมารอย่างสำนักเจ็ดดาราจะชั่วช้าและโหดร้าย แต่ทฤษฎีของพวกเขาที่ว่าทุกคนสามารถเป็นเซียนได้นั้นไม่ผิด!’

หัวหน้าหมู่บ้านผู้นี้ถามต่อด้วยน้ำเสียงตื่นเต้น “เช่นนั้น ข้า ข้าสามารถ…เป็นเซียนได้เช่นกันหรือ”

แต่ดูเถิด หวังลู่กลับส่ายศีรษะ “ไม่ เจ้าเป็นไม่ได้”

หวังฉี่เหนียนนิ่งอึ้ง “ข้า ข้าเป็นไม่ได้?”

ชาวบ้านที่อยู่ข้างล่างเวทีต่างหันไปคุยกันเอง เมื่อครู่พวกเขาได้ฟังว่าทุกคนสามารถเป็นเซียนได้ แต่หวังฉี่เหนียนกลับเป็นเซียนไม่ได้ หรือจะเป็นเพราะว่าหวังฉี่เหนียนไม่ใช่มนุษย์ธรรมดา

จากนั้นหวังลู่ก็ถอนหายใจ “เมื่อครู่ข้าได้พูดถึงเรื่องราวแห่งสวรรค์ไปแล้ว แล้วพวกเจ้ารู้หรือไม่ว่าสวรรค์มีกี่ชั้น”

พวกชาวบ้านมองหน้ากัน พวกเขาจะรู้คำตอบได้อย่างไร

“เหนือจากโลกมนุษย์ขึ้นไป มีสวรรค์อยู่ทั้งหมดเก้าชั้น เมื่อครั้งที่จักรวาลถือกำเนิดขึ้น สวรรค์ทั้งเก้าชั้นนี้ยังไม่ปรากฏ แต่เราเปลี่ยนสภาพมันขึ้นมาทีละชั้น”

“เปลี่ยนสภาพ?”

“ถูกต้อง มันถูกเปลี่ยนสภาพมาจากโลกมนุษย์ สวรรค์สามชั้นสุดท้ายมาจากการเปลี่ยนสภาพของโลกมนุษย์ ยุคหนึ่งก็ชั้นหนึ่ง”

“หา!?”

ครั้งนี้ไม่เพียงชาวบ้านที่อยู่ด้านล่างเวทีเท่านั้นที่ตื่นตกใจ แม้แต่ผู้อาวุโสของสำนักภูมิปัญญาที่อยู่บนเวทีก็อดงุนงงมิได้ พวกเขาต่างคิด ‘เจ้าสำนัก นี่มันไม่เกินไปหน่อยหรือ!?’

หวังลู่กล่าวต่อ “โลกมนุษย์นั้น หลังจากเกิดการเปลี่ยนแปลงมานับพันๆ ปีก็จะเคลื่อนสู่สวรรค์ แน่นอนว่าโลกทั้งโลกจะเคลื่อนขึ้นไปในคราวเดียว ในตอนนั้นทุกคนจะกลายเป็นเซียน และเพลิดเพลินกับความสำราญไม่มีวันจบ… เช่นนี้ข้าถึงได้พูดว่าทุกคนสามารถเป็นเซียนได้”

“เช่นนั้นเราต้องรอไปอีกเป็นพันๆ ปีหรือ”

“จำนวนปีมิได้กำหนดตายตัว การเคลื่อนสู่สวรรค์ของโลกนั้นไม่ได้ขึ้นอยู่กับเวลา แต่ขึ้นอยู่กับความอุตสาหะอันยิ่งใหญ่ของผู้บำเพ็ญเซียนนับพันนับหมื่นคนต่างหาก”

“ความอุตสาหะอันยิ่งใหญ่ของผู้บำเพ็ญเซียนนับพันนับหมื่นคน มัน…หมายความว่าอย่างไร”

หวังลู่ถอนหายใจ “ตำนานเก่าแก่ของโลกแห่งเซียนกล่าวไว้ว่า หากโลกนี้มีผู้ที่คู่ควรถึงหนึ่งล้านคน มันจะไปกระตุ้นให้โลกเคลื่อนสู่สวรรค์เพื่อไปรวมกับโลกเซียนอื่นๆ และในตอนนั้นเอง เหล่ามนุษย์ปุถุชนก็จะ ‘เกาะชายเสื้อคลุมของผู้บำเพ็ญเซียน’ ขึ้นไปด้วย… แต่อย่างน้อยต้องมีผู้เบิกทางถึงหนึ่งล้านคนเสียก่อน”

“แล้วตอนนี้มีผู้เบิกทางในโลกของเรากี่คนแล้ว”

“จนถึงตอนนี้ยังไม่ถึงหนึ่งร้อยคนเลย”

“โอ้…” ฝูงชนต่างรู้สึกผิดหวังและหมดกำลังใจ

หวังลู่นิ่งรอให้ความหดหู่แพร่ขยายออกไป จากนั้นจึงกล่าวต่อ “พวกเจ้าถอดใจเสียแล้วหรือ”

หวังฉี่เหนียนยิ้มขัน “พวกเรามิกล้าหลอกลวงท่านหรอก ท่านเทพเซียน พวกเราต่างอยากกลายเป็นเซียนทั้งนั้น ทว่าเกรงว่าจะต้องรอไปอีกเป็นแสนๆ ปีกว่าจะมีผู้เบิกทางถึงหนึ่งล้านคนทุกคนจึงจะได้กลายเป็นเซียน แต่พอถึงตอนนั้น พวกเรามิกลายเป็นกระดูกผุๆ กันไปหมดแล้วหรือ!”

หวังลู่หัวเราะ “เช่นนั้นเหตุใดพวกเจ้าจึงไม่มาเป็นผู้เบิกทางเล่า”

“หา?”

“ผู้เบิกทางนับล้านนี้ ย่อมต้องมีคนอาสาที่จะเป็น มิเช่นนั้นหากปล่อยเวลาให้ล่วงเลยไป เกรงว่าจะไม่มีการเคลื่อนสู่สวรรค์ของโลก และหากเราไม่ระวัง ก็อาจกลายเป็นเหยื่อพวกมารและถูกลืมเลือนไปตลอดกาล ในเมื่อพวกเจ้าต้องการที่จะเป็นเซียนอยู่แล้ว เหตุใดจึงไม่มาเป็นผู้เบิกทางเสียเลยเล่า”

“ระ เราเป็นได้หรือ”

“หากพวกเจ้าไม่อุตสาหะ ไม่ผึกฝน ย่อมเป็นไม่ได้ ในการที่จะทำให้โลกเคลื่อนสู่สวรรค์ ต้องใช้แรงอุตสาหะ ต้องใช้ความพยายามของมนุษย์ปุถุชนนับล้านๆ สิ่งสำคัญที่สุดในชีวิตก็คือชีวิต และในเมื่อคนเราเกิดมามีชีวิตเดียว เช่นนั้นผู้คนจึงควรดำเนินชีวิตให้ดี เมื่อมองย้อนกลับไป จะได้ไม่เศร้าเสียใจที่ปล่อยเวลาในชีวิตให้เสียเปล่า หรือละอายต่อความเป็นมนุษย์ของตน เช่นนั้นเมื่อตายไป ก็จะสามารถพูดได้ว่าตนนั้นอุทิศชีวิตและกำลังกายให้กับเรื่องที่ดีเลิศที่สุด นั่นคือ การพากเพียรเพื่อให้โลกได้เคลื่อนสู่สวรรค์นั่นเอง”

………………………………………….