บทที่ 667 เจ้าห้ากินมังสวิรัติ

องค์ชายวายร้ายอยากเป็นพ่อ

องค์ชายวายร้ายอยากเป็นพ่อ บทที่ 667 เจ้าห้ากินมังสวิรัติ

ฉีเฟยอวิ๋นนึกถึงการตายอย่างสงบของซูมู่หรงที่ดูราวกับว่าทุกสิ่งทุกอย่างถูกจัดเตรียมไว้ แต่ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใดนางจึงรู้สึกมีบางอย่างที่ไม่ถูกต้อง

“อวิ๋นจิ่น ท่านอ๋องล่ะ”

ฉีเฟยอวิ๋นไม่ได้รู้สึกเสียใจแม้แต่น้อยเพราะรู้สึกราวกับว่าซูมู่หรงยังไม่ตาย

อวิ๋นจิ่นเหลือบมองหนานกงเย่ที่ยังคงไม่ฟื้น “ท่านอ๋องได้รับบาดเจ็บเจ้าค่ะ”

ฉีเฟยอวิ๋นหันไปมอง “อะไรนะ”

เมื่อหันไปจึงเห็นว่าหนานกงเย่นอนอยู่ข้างกายของตน

ฉีเฟยอวิ๋นเพิ่งจะลุกขึ้นและรีบตรวจอาการของหนานกงเย่ แม้ว่าอาการบาดเจ็บภายในของหนานกงเย่จะดีขึ้นมากแล้ว แต่ก็ยังนับว่าแย่อยู่ดี นอกจากนี้ดวงตาของเขายังได้รับบาดเจ็บ เส้นลมปราณในร่างกายก็ขาดไปไม่น้อย เส้นประสาทตายังถูกกดทับไว้อีก ดังนั้นจึงทำให้เขามองไม่เห็น

“ส่งมีดให้ข้าทีอวิ๋นจิ่น แล้วไปคอยเฝ้าที่หน้าประตู”

“เจ้าค่ะ”

อวิ๋นจิ่นรีบทำตามคำสั่ง ฉีเฟยอวิ๋นรับมีดมากรีดข้อมือและบีบปากหนานกงเย่ให้เปิดออก จากนั้นจึงให้เขาดื่มเลือดของนาง!

ลมหายใจของหนานกงเย่ค่อยๆ สม่ำเสมอขึ้นหลังจากดื่มเลือด ลมปราณก็เริ่มกลับมามั่นคงขึ้นด้วย

ฉีเฟยอวิ๋นกุมมือหนานกงเย่เอาไว้และมองเขา หลังจากผ่านไปครู่หนึ่งหนานกงเย่ก็ลืมตาขึ้น

หนานกงเย่ยิ้มเมื่อมองเห็นฉีเฟยอวิ๋น “กลับมาแล้วหรือ”

“ท่านอ๋อง ท่านได้รับบาดเจ็บได้อย่างไรเพคะ” ฉีเฟยอวิ๋นไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นและยิ่งรู้สึกเป็นกังวล

หนานกงเย่รู้สึกสบายตัวแล้วจึงลุกขึ้นนั่ง หลังจากสำรวจดูแล้วว่าฉีเฟยอวิ๋นไม่เป็นอะไรเขาจึงค่อยวางใจและดึงฉีเฟยอวิ๋นเข้ามาในอ้อมกอด

“ท่านอ๋อง…”

“ข้าฝัน ฝันว่าซูมู่หรงมาที่นี่” หนานกงเย่ลดเสียงต่ำ ฉีเฟยอวิ๋นชะงักไปนิดหนึ่งและเงยหน้ามองเขา

“ท่านอ๋องพูดอะไรน่ะ”

ซูมู่หรงอยู่ที่นี่หรือ

หนานกงเย่สูดลมหายใจเข้าลึกๆ “อวิ๋นอวิ๋นเชื่อไหม ซูมู่หรงแก่แล้วและผมของเขาก็หงอกไปครึ่งหัว”

“ท่านอ๋อง ท่านรู้ได้อย่างไรเพคะ” ฉีเฟยอวิ๋นไม่เชื่อว่าหนานกงเย่จะกลับสู่โลกในยุคหลังได้อย่างนาง แต่สิ่งที่เขาพูดทุกอย่างคือความจริง ซูมู่หรงตายแล้ว และผมของเขาก็หงอกไปครึ่งหนึ่ง

“รู้สิ สิ่งที่ข้าเห็นคือความจริง ก่อนเขาตายเขาอยู่ที่ชั้นล่างในที่ที่เขาอาศัยอยู่ ที่นั่นมีห้องทดลองอยู่ห้องหนึ่ง มีขั้นบันไดสองขั้น ตรงกลางมีมุมลงไปด้านล่าง

ด้านล่างไม่ได้แตกต่างอะไรมากนักจากห้องทดลองของสถาบันวิจัยที่อวิ๋นอวิ๋นพาข้าไป ข้าเห็นว่าเขามีกล่องใส่ของอยู่หลายชิ้น เป็นกล่องที่อวิ๋นอวิ๋นบอกว่าใส่คนไว้ได้ หลังจากตายแล้วเขาก็อยู่ในนั้น ยังมีอีกกล่องหนึ่งที่มีคนอยู่ในนั้น ข้ารู้สึกคุ้นมาก น่าจะเป็นผู้หญิงคนหนึ่ง ข้าจะดูว่าเป็นใครแต่ก็กลับมาเสียก่อน”

ฉีเฟยอวิ๋นรู้สึกหม่นหมอง “ข้าเองก็เกือบจะมองเห็นคนที่อยู่ในนั้นเช่นกัน แต่ยังไม่ทันเห็นก็กลับมาเสียแล้ว”

หนานกงเย่มองฉีเฟยอวิ๋น “อวิ๋นอวิ๋น ตอนที่ข้ากลับมาข้ารู้สึกเหมือนเขาตามมาด้วย”

“อะไรนะ” ฉีเฟยอวิ๋นประหลาดใจ แต่ทันใดนั้นก็นึกบางอย่างขึ้นมาได้ “ซูมู่หรงมากับท่านอ๋องงั้นหรือ”

แม้จะไม่อยากยอมรับแต่หนานกงเย่ก็ต้องยอมรับว่าซูมู่หรงอาจจะมาที่นี่แล้ว

ฉีเฟยอวิ๋นและหนานกงเย่ไม่ได้พูดอะไร หากเขามาที่นี่จริงๆ ก็แสดงให้เห็นว่าซูมู่หรงใช้ความพยายามทั้งชีวิตหาทางมาที่นี่จนได้ และเป็นไปได้มากว่าเขาอาจจะหาวิธีกลับไปได้แล้วเช่นกัน

เพียงแต่ไม่มีใครรู้แน่ชัดว่าซูมู่หรงอยู่ที่ไหน!

“ท่านได้รับบาดเจ็บได้อย่างไรเพคะท่านอ๋อง” เมื่อเจอกับเรื่องที่หาคำตอบไม่ได้ นางจึงยังไม่พูดถึง

นั่นเองหนานกงเย่จึงเล่าเรื่องที่ได้รับบาดเจ็บให้ฉีเฟยอวิ๋นฟัง ฉีเฟยอวิ๋นถอนใจ “ดูไม่ออกเลยว่าหวาชิงจะรับมือยากขนาดนี้ ข้าว่าท่านอ๋องต้องเตรียมตัวให้พร้อมไว้จึงจะดี”

“ยังไม่ใช่อวิ๋นอวิ๋นรึ” หนานกงเย่มองฉีเฟยอวิ๋นอย่างกระเง้ากระงอด ขณะที่ฉีเฟยอวิ๋นกำลังจะเอ่ยแย้ง หนานกงเย่ก็โน้มศีรษะลงมาจูบนาง

ฉีเฟยอวิ๋นหันไปมองทางประตูทั้งหน้าแดง อวิ๋นจิ่นอยู่ที่นอกประตูนั่น

หนานกงเย่ยิ้ม “ถ้าไม่สูญเสียก็ไม่รู้ว่าเคยมีอยู่ ข้าเป็นเช่นนั้น”

ฉีเฟยอวิ๋นเหลือบมองหนานกงเย่อย่างกระเง้ากระงอด “พูดอย่างกับจะพรากจากกันไปตลอดกาลอย่างนั้นละ”

“ข้ารู้สึกเหมือนจะต้องพรากจากกันทุกครั้งที่อวิ๋นอวิ๋นกลับไป เขามาที่นี่ก็ดีแล้ว ไว้ข้าพบเขาเมื่อไร ข้าจะฟันเขาให้เป็นชิ้นๆ เลยคอยดู”

“…ท่านอ๋องคิดว่าถ้าเขามาที่นี่จริงๆ ด้วยความสามารถของท่านอ๋องตอนนี้ ท่านจะเป็นคู่มือของเขาจริงหรือ”

“ท่านว่าอะไรนะ” หนานกงเย่กัดฟันกรอดด้วยความโกรธ

ฉีเฟยอวิ๋นเพียงแค่ยิ้ม “ทำเป็นว่าข้าไม่ได้พูดก็แล้วกันเพคะ”

หนานกงเย่มึนตึง “รอข้าเจอเขาก่อนเถิด แล้วอวิ๋นอวิ๋นจะรู้เอง”

หนานกงเย่ลุกขึ้นและมีท่าทีราวกับว่าจะเผาผลาญทั้งโลกและสวรรค์จริงๆ ดังนั้นฉีเฟยอวิ๋นจึงไม่คิดจะพูดไร้สาระอีก

เมื่อดูเวลาแล้วก็ยังไม่รู้ว่าหลับไปนานแค่ไหน

“อวิ๋นจิ่น” ฉีเฟยอวิ๋นตะโกนเรียก อวิ๋นจิ่นรีบเปิดประตูเข้ามาทันที

“ตอนนี้กี่ยามแล้ว วันนี้วันอะไรหรือ”

“เมื่อคืนนายท่านหลับเจ้าค่ะ เวลานี้เพิ่งจะเที่ยงเท่านั้น”

“เข้าใจละ เจ้าไปเถอะ ข้ากับท่านอ๋องอยากจะอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าเสียหน่อย เจ้าเตรียมชุดสำหรับเข้าวังให้ข้ากับท่านอ๋องคืนนี้ด้วย อีกเดี๋ยวข้ากับท่านอ๋องจะไปหาหวาชิง”

“เจ้าแห่งอีกาได้รับบาดเจ็บเจ้าค่ะนายท่าน มีเรื่องแปลกๆ ที่เรือนจวินจื่อของพวกนายน้อยซื่อจื่อด้วยเจ้าค่ะ”

“มีอะไรหรือ”

อวิ๋นจิ่นเล่าเรื่องที่เจ้าแห่งอีกามาที่เรือนของซื่อจื่อให้ฟัง แล้วฉีเฟยอวิ๋นก็รู้ได้ทันทีว่าเจ้าห้าช่วยชีวิตเจ้าแห่งอีกาเอาไว้ ฉีเฟยอวิ๋นกังวลว่าจะยังมีคราบเลือดบนตัวของเจ้าห้า ดังนั้นจึงรีบไปหาเจ้าห้าทันที

เมื่อฉีเฟยอวิ๋นไปถึงเรือนของลูกๆ นางก็เข้าไปหาเจ้าห้าทันที เมื่อแม่ทัพฉีเห็นบุตรสาวตรงเข้ามาอย่างร้อนรน เขาจึงค่อยคลายกังวล

แม่ทัพฉีลุกขึ้นยืนและส่งเจ้าห้าที่กำลังผล็อยหลับให้ฉีเฟยอวิ๋น

“หลับตลอดเลย”

ลำคอของแม่ทัพฉีแห้งผากราวกับราวกับถูกไฟแผดเผา

ฉีเฟยอวิ๋นเหลือบมองแม่ทัพฉีและรีบกล่าวว่า “ท่านพ่อ เจ้าห้าไม่เป็นอะไรแล้วเจ้าค่ะ ท่านคลายกังวลได้”

“อื้ม”

แม่ทัพฉีเหลือบมองมือของเจ้าห้านิดหนึ่งและดึงมาให้ฉีเฟยอวิ๋นดู “ตรงนี้มีรอยแดงอยู่รอยหนึ่ง”

แม่ทัพฉีรักและเอ็นดูเด็กที่สุด เขาไม่กลัวทั้งนรกและสวรรค์ แต่เขาไม่สบายใจเลยที่เห็นเจ้าห้าต้องทุกข์ทรมานในวันนี้

ฉีเฟยอวิ๋นเองก็ทุกข์ใจเช่นกัน ดวงตาของนางเป็นสีแดงก่ำ จากนั้นนางจึงเดินเข้าไปด้านใน

หนานกงเย่มองเจ้าแห่งอีกาที่หายดีอยู่บนพื้น เจ้าแห่งอีกาไม่มีชีวิตชีวาราวกับว่ากำลังทุกข์ใจเหมือนกัน มันยืนอยู่บนพื้นและคอยมองหนานกงเย่ตลอด

“เจ้าห้าจัดการเรื่องนี้อย่างเด็ดเดี่ยว พวกเจ้าต้องคิดพิเคราะห์ให้ดีๆ หลีกเลี่ยงไม่ให้เขาก่อเรื่องวุ่นวายในอนาคต” เจ้าแห่งอีกาเบือนหน้าหนีไปทางอื่นและไม่อยากจะใส่ใจหนานกงเย่

เจ้าเสือน้อยส่งเสียงคราง

มีเพียงจิ้งจอกหางสั้นที่เข้าไปข้างใน

ฉีเฟยอวิ๋นให้เจ้าห้าดื่มเลือดของนาง นางเชื่อว่านี่คือยาบำรุงที่ดีที่สุดที่จะช่วยให้เจ้าห้าฟื้นฟูพลัง

เจ้าห้าค่อยๆ ลืมตาขึ้นและลมหายใจก็ค่อยๆ มั่นคง

เมื่อเห็นฉีเฟยอวิ๋น เจ้าห้าก็เอื้อมมือเล็กๆ ไปคว้าเสื้อของฉีเฟยอวิ๋นเอาไว้ ฉีเฟยอวิ๋นก้มลงจูบเขา “ต่อไปอย่าทำอย่างนี้อีก ผลีผลามเกินไปแล้วนะ!”

แม้จะเป็นคำตำหนิ แต่ฉีเฟยอวิ๋นก็แทบจะร้องไห้

เจ้าห้าทำได้เพียงหลับตาลง

ฉีเฟยอวิ๋นออกมาจากข้างในโดยที่แผลบนข้อมือสมานดีแล้ว แม่ทัพฉีมองสองแม่ลูกที่ออกมาและหันหลังจากไป

ฉีเฟยอวิ๋นกล่าวว่า “อวิ๋นจิ่น ตามท่านพ่อไปที ท่านจะได้ไม่ไปคิดบัญชีใคร”

“เจ้าค่ะ”

อวิ๋นจิ่นหมุนตัวและรีบตามแม่ทัพฉีไป จากนั้นฉีเฟยอวิ๋นจึงเรียกอาอวี่และคนอื่นๆ ให้มาหาและคอยดูแลเด็กๆ ไว้ก่อน ส่วนนางกับหนานกงเย่ก็อุ้มเจ้าห้าไปล้างเนื้อล้างตัว

หลังจากเปลี่ยนเสื้อผ้าเรียบร้อยแล้ว ฉีเฟยอวิ๋นกับหนานกงเย่จึงกลับไปที่ห้องของลูกๆ และกินข้าวกลางวันด้วยกัน

ตอนนี้ลูกๆ ไม่ใช่เด็กเล็กๆ อีกแล้ว การกินอาหารไม่ใช่เรื่องยาก เพียงแต่ว่าจะเหนื่อยหน่อยเท่านั้นเวลากินเพราะต้องมีคนป้อน

ฉีเฟยอวิ๋นอยากจะให้เจ้าห้ากินไขกระดูกนิดหน่อย ทว่าเจ้าห้าตัวน้อยไม่ชอบกิน นั่นเองฉีเฟยอวิ๋นจึงพบว่าเจ้าห้าไม่ชอบกินเนื้อ นางให้เขากิน แต่เขาดื้อดึงไม่ยอมอ้าปากเลยแม้แต่น้อย

ฉีเฟยอวิ๋นทำได้เพียงให้เขาดื่มซุปผัก นั่นเองเขาจึงยอมเปิดปาก

นางอุ้มเจ้าห้าและตบหลังเบาๆ เอ่ยอย่างประหลาดใจ “เขาไม่กินเนื้อหรือ”

หนานกงเย่เหลือบมองเจ้าเสือน้อยและตัวอื่นๆ “รอบกายเขามีแต่พวกก้อนเนื้อ เขาจะกินลงได้อย่างไร”

ฉีเฟยอวิ๋นก็คิดว่าน่าจะอย่างนั้น นางอุ้มเจ้าห้าไปชมทิวทัศน์ที่หน้าต่าง เจ้าห้าชอบเห็นโลกภายนอก ดังนั้นจึงชอบออกไปข้างนอกมาก

เมื่อมีผู้เป็นมารดาอุ้มไว้เช่นนี้ เจ้าห้าก็ผล็อยหลับไปอย่างสงบ