เซี่ยวเฟิงวูดูโกลืนพลังจากหยกอย่างลึกซึ้ง ด้วยเหตุนั้น การบาดเจ็บของร่างกายและเส้นลมปราณของเขาได้รับการฟื้นฟู เขารู้ว่าเขาถูกใช้เป็นเหยื่อล่อ เนื่องจาก หยกเสริมวิญญาณ ของเขา และ จักเป็นเท็จหากจะบอกว่าเขามิได้หวาดกลัว มีโอกาสที่ปรมาจารย์ลึกลับจักไม่สังหารเขาเนื่องจาก เด็กหนุ่มนั้นอยู่ด้อยกว่าเขาในเรื่องของอันดับ อย่างไรก็ตาม เซี่ยวเฟิงวู แตกตื่นเมื่อคิดว่าการบาดเจ็บของเขาอาจไม่สามารถฟื้นฟูได้อย่างเต็มที่หาก ปรมาจารย์ลึกลับแสดงตัวออกมาในไม่ช้านี้ .. แม้นว่า ความกลัวนั้นไม่อาจเป็นจริง เขาได้รับบาดเจ็บมาหลายวัน…
ดังนั้น เขาจึงเร่งรีบดูดกลืนพลังบริสุทธิ์จากหยก ผลของพลังบริสุทธิ์ในเส้นลมปราณของเขา ทำให้เขารู้สึกได้อย่างชัดเจน ราวกับร่างชุ่มด้วยเหงื่อในยามวสัตฤดู เขารู้สึกอบอุ่น ผ่อนคลาย ปลอดภัย และสุขใจ เส้นลมปราณที่เสียหายอย่างรุนแรงของเขาได้รับการรักษาด้วยความเร็วมิอาจเชื่อได้ ความรู้สึกประหลาดและสุขสบายนี้ ทำให้เขาเกือบร้องครางออกมา ราวกับสมองของเขาล่องลอยไปยังสุดขอบแห่งสรวงสวรรค์ เซี่ยวเฟิงวู รู้สึกมึนเมา และเพ้อฝัน
จากนั้น หยกที่เขาถือไว้หายไปในระหว่างช่วงเวลาแห่งความสุขสบายนั้น
เซี่ยวเฟิงวู ลืมตาขึ้นรวดเร็วด้วยตื่นตกใจ เขาเห็นว่าหยกมิได้อยู่ตรงหน้าอกของเขา แต่แท้จริงแล้วมันล่องลอยอยู่ในอากาศ อย่างไรก็ตาม มันเคลื่อนที่ห่างเขาไปอย่างรวดเร็วยิ่ง สิ่งที่ทำให้ เซี่ยวเฟิงวู ประหลาดใจที่สุดนั้นคือ เขามิได้เห็นแม้แต่เงา หรือสัมผัสถึงกลิ่นไอของผู้ใดได้ ราวกับหยกนั้นมีขา มีชีวิต และหลบหนีเขาไป
สิ่งนี้เกิดขึ้นได้อย่างไร ? เกิดอันใดขึ้น ? หรือ ปรมาจารย์ลึกลับจักใช้ปราณเชวียน ดึงเอา หยกเสริมวิญญาณ ไปจากข้า … ? แต่มิได้มีความผันผวนของ ปราณเชวียนแม้แต่น้อย เซี่ยวเฟิงวูมิอาจคาดการถึงความจริงของสิ่งที่เขาได้ประสบได้
เซี่ยวเฟิงวู
สติของ เซี่ยวเฟิงวู ยังคงเลือนลางอยู่เล็กน้อย เขารู้สึกราวอยู่ในความฝัน เขาผงกหัวเพื่อเรียกคืนสติ และตระหนักได้ว่า หยกชิ้นนั้นได้หายไปแล้ว เขาตกตะลึง เมื่อคิดถึงการหายไปอย่างน่าอัศจรรย์ของ หยกเสริมวิญญาณ แรกเริ่มเขาลัเงเลยิ่ง แต่เขารวบรวมความกล้าและตะโกนออกไปสุดเสียง
” ใครก็ได้ … มานี่ .. หยกวิ่งหนีหายไป ! ”
หยกวิ่งหนีหายไป ?
จวินโม่เซี่ยเกือบหัวเราะและแสดงตำแหน่งของเขาในความว่างเปล่านั้นออกมา
แม่เจ้า ! คนผู้นี้ช่างสามารถยิ่ง ! หยกเป็นสิ่งอัศจรรย์อย่างมิต้องสงสัย แต่ มันยังคงเป็นสิ่งของที่ไร้ชีวิต จักเอ่ยว่า .. มันวิ่งหนีไป … ข้าไร้วาจาอย่างแท้จริง …
อย่างไรก็ตาม เซี่ยวเฟิงวูสิ้นหวังยิ่ง ยิ่งไปกว่านั้น เขามิรู้ว่าต้องอธิบายสิ่งที่เกิดขึ้นต่อหน้าต่อตาของเขาได้อย่างไร จักบอกว่ามีคนขโมยมันไปจากเขาและวิ่งหนีไป … เขาก็มองไม่เห็นผู้ใด .. ความจริง เขามิได้มองเห็นแม้แต่เงาของภูติผี ดังนั้น เซี่ยวเฟิงวูจึงตะโกนอย่างสิ้นหวัง ” หยกวิ่งหนีไป ” มิรู้เลยว่ามันฟังดูน่าขันเช่นไร แม้นว่า วาจาของเขาจักเอ่ยถึงรายละเอียดของสิ่งที่เขาเห็นได้อย่างชัดเจน
” ผู้ใดพยายามจักแย่งชิง หยกเสริมวิญญาณ ! ”
เซี่ยวปู้หยูอยู่ในอีกห้องหนึ่ง แต่ คิ้วสีขาวของเขากระตุกขึ้น ในตอนที่ จวินโม่เซี่ย คว้าเอาหยกไปจากมือของ เซี่ยวเฟิงวู เดิมทีเขามี เคล็ดแก่นวิญญาณ และมันได้ส่งข้อความไปยังสมองของเขาในทันที จากนั้น อินทรีสีเขียวอันงดงามบินออกมาจากหน้าอกของเขา และพุ่งตรงไปยังห้องของ เซี่ยวเฟิงวู
ผลเช่นนี้เป็นบางสิ่งที่เขามิอาจคาด ความจริง มันเกินกว่าจักเป็นเหตุผล !
ผู้อาวุโสสามารถ พรรณนาถึงความป่าเถื่อนและนิสัยใจคอของ ชายลึกลับ และ ตั้งแต่ดูถูกสถานะของคู่ต่อสู้ของเขา และช่วงชิงเอาสมบัติของเด็กหนุ่ม เป็นไปไม่ได้ที่เขาจักไม่พยายามเอาอีกครึ่งหนึ่งไป ความจริง เขามิได้คลางแคลงใจ
แต่ ห้องนั้นเต็มไปด้วยชั้นของ แก่นวิญญาณมากมาย ดังนั้น มันจึงมีกลไกการป้องกันที่ทรงพลัง แม้แต่ปรมาจารย์อันดับหนึ่ง จุ้นเป้ยเฉิน ก็ยากยิ่งจักปกปิดตำแหน่งของเขา ดังนั้น จึงเป็นไปไม่ได้ที่คนธรรมดาจักรอดพ้น แก่นวิญญาณ ที่ใช้ป้องกันอยู่ไปได้ แต่ ผู้ลึกลับผู้นี้แทรกซึมเข้ามาได้โดยไม่ทิ้งสิ่งใดไว้ ฝีมือเกินสามัญนี้หาได้ยากยิ่ง
เวลาถัดมา ร่างผอมบางของ เซี่ยวปู้หยูเหาะมาอย่างรวดเร็ว ราวกับแสดงของขนนกม่านหมอก
เขาเหาะไปยังห้องลับที่ซึ่ง เซี่ยวูที่บาดเจ็บรักษาตัวอยู่
ในเวลาเดียวกันที่ เซี่ยวปู้หยู กรีดร้องขึ้น เสียงกรีดร้องนั้นมีได้ดังนัก แต่มันสะท้อนก้องไปทั่วทั้ง หอมณีวิจิตร ยอดฝีมือเทพชเวียนตอบสนองด้วยความเร็วอันอัศจรรย์ ในทันที ที่นี่มียอดฝีมือยี่สิบคนผู้ยืนล้อมห้องของ เซี่ยวเฟิงวู ตามแผนการที่ได้วางเอาไวก่อนหน้านี้ ทุกผู้แน่วแน่และดูเหมือจักสามารถตอบโต้ได้ทุกเวลา
คนผู้นี้ แทรกซึมเข้าไปในชั้นของ แก่นวิญญาณ และขโมยเอาหยกไปได้ เขามิใช่ศัตรูโดยทั่วไป ทุกผู้เข้าใจถึงสิ่งนี้
คนผู้นี้เป็นศัตรูคนสำคัญ !
เสียงโหยหวนของ เซี่ยวปู้หยูยังไม่ทันหยุดลง ดวงตาของเขาเปล่งประกายด้วยจิตสังหาร ผู้อาวุโสผู้ที่เคลื่อนไวไปยังห้อง เซี่ยวเฟิงวูเป็นคนแรก
เขาโจมตีใส่ประตูไม้จันทร์สีแดงด้วยปราณเชวียน ในตอนที่เขาอยู่ห่างจากห้องไปประมาณเจ็ดฟุต จากนั้น ประตูแตกสลายเป็นเศษเล็กเศษน้อยและหายไปในอากาศ เซี่ยวปู้หยู พุ่งเข้าไปในห้อง ราวกับมังหรหนุ่ม เขาเคลื่อนที่รวดเร็วดั่ง อสุนีบาต
เซี่ยวปู้หยู สามารถนับไก่ได้ก่อนที่ไข่จักฟักออกมา เขากองกำลังของเขาจักเคลื่อนไหวพร้อมกันหากเขาเริ่มนำ แต่ เขามไต้องการให้มีคนไหลทะลักเข้ามาในห้องนี้ สิ่งนั้นจักทำให้เกิดความสับสน และช่วยให้ผู้ลึกลับผู้นั้นหลบหนีไปได้
ดังนั้น เขาจึงตัดสินใจว่ามีเพียงผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดเท่านั้น ที่จักผ่านประตูเข้ามาได้ ในขณะที่คนอื่นๆรอคอยและล้อมเป็นวงอยู่ภายนอก จากนั้นพวกเขาเริ่มการเฝ้าระวังอย่างเข้มงวด และปิดกันเส้นทางทั้งหมดที่ผู้หลบหนีจักออกไปได้ มิเช่นนั้น หัวขโมยจักต้องเผชิญหน้ากับพวกเขาคนหนึ่งหากก้าวออกมา ไม่ว่าเขาพยายามจักหลบหนีออกไปเส้นทางใด
หากมีผู้หนึ่งขวางเส้นทางเส้นทางของชายลึกลับผู้นั้นแสดงพลังออกมาได้อย่างเต็มที่ และหยุดเขาได้ … เท่านั้นก็เพียงพอที่จักให้ผู้ที่เหลือล้อมศัตรูและเข้าร่วมโจมตีได้
เซี่ยวปู้หยู ไว้เนื้อเชื่อใจคนของเขายิ่ง แม้แต่ผู้ทีอ่อนแอที่สุดในหมู่พวกเขา พวกเขาก็สามารถทำให้มันเป็นเรื่องยากยิ่งแม้แต่ผู้ที่แข็งแกร่งที่สุด เช่น แปดยอดปรมาจารย์ จุ้นเป้ยเฉิน ที่จักฝ่าวงล้อมออกไปได้ตราบใดที่พวกเขายังมีชีวิตอยู่ มีต้องเอ่ยถึงผู้อื่นเลย
เซี่ยวปู้หยู ไม่เชื่อว่ามีผู้ใดในโลกนี้ที่สามารถหลบหนีสายตาของเขาในช่วงเวลาอันคับขันนี้ได้ ยิ่งไปกว่านั้น ห้ายอดฝีมือเทพเชวียน และ เจ็ดกระบี่แห่ง นครพายุหิมะสีเงิน ก็รอคอยเขาอยู่ภายนอก !
ชายลึกลับผู้นั้นอาจสามารถแทรกซึมเข้าไปในห้องได้อย่างเงียบเฉียบ แต่มันจักเป็นเรื่องตลกหากจักคิดว่าเขาสามารถหลับหนีวงล้อมที่แน่นหนาขนาดนี้ไปได้
การเตรียมการนี้ปลอดภัย และไร้ที่ติ ไม่มีโอกาศให้เกิดเรื่องร้ายอันใด
แต่ เซี่ยวปู้หยูมิรู้เลยว่าเรื่องเลวร้ายนั้นเกิดขึ้นบ่อยครั้งอย่างมิอาจคาด
เขาพังและเหาะเข้าไปใภายในห้องของเซี่ยวเฟิงวู ทั่วทั้งร่างปลกคลุมไปด้วยปราณเทพเชวียน และพุ่งเข้าไปราวกับพายุขนาดมหึมา
เขาเคยได้ยินคำร่ำลือถคงความแข็งแกร่งอันน่าหวาดกลัวของชายสวมหน้ากากผู้นั้น แม้นว่า เขาจักไม่เกรงกลัวในเรื่องนั้น อีกทั้งเขายังได้รับการพรรณาถึงลักษณะของคนผู้นั้นจากผู้อาวุโสสามและหก และ สิ่งที่เขากลัว เขากังวลว่าความหละหลวมของเขาจักทำให้ ชายสวมหน้ากากหลบหนีไปได้ ดังนั้น เขาจักกล้าละเลยจุดนั้นได้เช่นไร?
ร่างของเขาปกคลุมไปด้วยปราณเชวียน จากนั้น เขาหมุนตัวเป็นวงกลมด้วยนิ้วเท้าอย่างรวดเร็ว ดูราวกับนางระบำกำลังพยายามจักเคลื่อนไหวในท่วงท่าที่ยากยิ่ง แต่ เซี่ยวปู้หยูไม่พบสิ่งแปลกประหลาดในห้อง
มีเพียงแค่ เซี่ยวเฟิงวู เท่านั้นที่ปรากฏตัวอยู่ภายในห้องนี้ เขากำลังยืนอยู่ด้วยสีหน้าโง่เขลา
” คนผู้นั้นอยู่ที่ใด ? “
เซี่ยวปู้หยูตะโกน เขาคิดกับตัวเอง
อย่าได้บอกว่าพวกเรามาช้าไป ! เป็นไปไม่ได้ ! อินทรีย์เสาวคนธ์บินทางทิศทางนี้ ! พวกเราพลาดสิ่งใด ?
” คนผู้ใด ? “
เซี่ยวเฟิงวู งุนงงในสิ่งที่ปูของเขาเพิ่งเอ่ยถาม ดังนั้น เขาจึงถามไปอย่างสับสน
” คนผู้ที่ขโมยหยกของเจ้า ! เจ้าโง่ไปแล้วหรือ ? “
เซี่ยวปู้ยู่รู้สึกเกือบกระอักเลือดเพราะหลานของเขา
แม่เจ้าเอ๋ย ! คนผู้นั้นแย่งชิงเอาหยกไปจากมือของเขา และตอนนี้เขายังจักมาถามว่า ” คนไหน ? “
เป็นสิ่งดีที่ เซี่ยวปู้หยูบำเพ็ญมาเพียงพอ มิเช่นนั้นเขาคงจักมอดไหม้ด้วยโทสะของตัวเอง
” ไม่มีผู้ใดที่นี่ ”
เซี่ยวเฟิงวูงุนงง เขามองไปยังมือที่ว่างเปล่า และโกรธเคืองปู่ของเขา เขาสับสนในสิ่งที่เกิดขึ้น และยังคงงุนงง
หยกบินหนีไปจกข้าได้อย่างไร ? แปลกประหลาดยิ่งนัก หรือมันแปรเปลี่ยนเป็นภูติผี ?
” ไม่มีผู้ใด ? ไม่มีผู้ใดเอาหยกไปจากมือของเจ้า ? เจ้าจักบอกอาวุโสผู้นี้ว่า หยกเสริมวิญญาณ มีปีกงอกออกมาและหินหนีไปด้วยตัวของมันเอง ? “
เสียงดุด่าดังกลับมา
” ใช่ ท่านปู่ แปลกประหลาดยิ่ง หยกมิได้มีปีก แต่มันลอยหนีไปด้วยตัวเอง … จริงๆ … ! ”
ใบหน้าของ เซี่ยวเฟิงวูจริงจัง
” เจ้าขยะ ! ”
เซี่ยวปู้หยูสาดคำสถบด้วยโทสะ เสื้อผ้าของเขา ส่งเสียง วู้วว ขณะเขาเหาะขึ้นในอากาศ ใบหน้าของเขามืดมนด้วยโทสะ
ข้าเคยเห็นคนพิการ .. ข้าเคยเห็นโง่เขลา …แต่มิเคยพบเจอขยะเช่นนี้ และมิคาดคิด ว่าขยะเช่นนั้นจักเป็นหลานชายข้า !
” เอาละ …. ข้ากำลังบอกความจริง … หยกหิยหนีไป … มันมิได้มีปีก … แต่มันบินหนีไป … และรวดเร็วยิ่งนัก … ”
เซี่ยวเฟิงวูพึมพัมต่อหน้าเซี่ยวปูยู่ เขารู้สึกผิด และรู้สึกว่าเขาได้รับการปฏิบัติอย่างไม่เป็นธรรม
เหตุใด เมื่อข้าพูดความจริงเมื่อใด ก็ไม่มีผู้ใดเชื่อข้าเลย ? ข้าเพียงเอ่ยถึงสิ่งที่ข้าได้เห็นด้วยตาตัวเอง !
” ข้าเป็นปู่ของเจ้า ! เจ้าชั่ว เจ้ากล้าเอ่ยวาจาไร้สาระเช่นนี้ต่อหน้าข้าได้เช่นไร ! ”
เซี่ยวปู้หยูสาดคำสถบขณะอยู่กลางอากาศ ปราณเข้มข้นบนฝ่ามือของเขา พุ่งลงมาราวสายลม และปะทะเข้าไปใบหน้าของหลานชายขณะร้องเสียง ปั้ง !
เซี่ยวเฟิงวู โซเซเล็กน้อย และล้มลง หน้าของเขาบวมขึ้น
เซี่ยวเฟิงวู ป้องใบหน้าด้วยความไม่พอใจ แต่ เขาต้องเก็บความรู้สึกเอาไว้
เจ้าโง่ ! เจ้าเป็นปู่ข้าหรือไม่ ? ไปหาคนผู้นั้นสิ แต่เจ้าจักมิใช่ปู่ของข้า หากเจ้ามิสามารถหาคนผู้นั้นได้ …
ร่างของ เซี่ยวปู้หยูพุ่งขึ้นราวดาวตกที่สุดขอบฟ้า และทะยานขึ้นไปสามสิบหลาเหนือ หอมณีวิจิตร เขาเริ่มวนไปเป็นวงกว้าง รวดเร็วดั่งสายฟ้า ดวงตาของขาจับจ้องทุกสิ่งภภายใต้แสงดาราในพื้นที่ ห้ากิโลเมตร แต่ เขามิอาจสาเบาะแสใดแม้แต่น้อย
หรือคนผู้นั้นเคลื่อนที่แบบหลบซ่อน ?
อินทรีย์เสาวคนธ์ขนาดเล็กก็บินวนไปกับเขา เห็นได้ชัดว่า มันได้หลุดจากเป้าหมายไปแล้ว
เป็นไปได้อย่างไรกัน ?