เฝิงจิ้งเหวินเองก็คิดไม่ถึงว่าจะได้คำตอบเช่นนี้ จึงอึ้งไปเช่นกัน

 

 

มือข้างที่ถือถ้วยชาของเฝิงจิ้งซูกำแน่นว่าเดิม “เขาเป็นถึงท่านแม่ทัพผู้ยิ่งใหญ่ ข้าเป็นเพียงลูกสาวพ่อค้าเท่านั้นไม่คู่ควรกับเขา หากเขาสู่ขอข้าจะถูกคนหัวเราะเยาะเอาได้ และข้าก็เองไม่ได้หวังจะใช้เหตุผลนี้บังคับให้เขาต้องมาแต่งงานกับข้า”

 

 

เหตุผลนี้เอง เมิ่งเชี่ยนโยวถอนหายใจเบาๆ อย่างโล่งอก น้ำเสียงแฝงไปด้วยความขันว่า “ไม่มีแล้วหรือ”

 

 

“แต่วันนี้ท่านแม่ทัพบอกกับพระชายาว่าท่านพอใจในตัวเจ้ามากนะ” เมิ่งเชี่ยนโยวกล่าว

 

 

เฝิงจิ้งซูมองนางอย่างประหลาดใจ เมื่อเห็นแววตาจริงจังของนาง ไม่มีการล้อเล่น จึงอึ้งไปเล็กน้อย

 

 

เมื่อเฝิงจิ้งเหวินเพิ่งได้สติกลับมา เมื่อได้ยินคำของเมิ่งเชี่ยนโยวก็อึ้งไปอีกครั้ง

 

 

เฝิงจิ้งซูไม่เชื่อคำของเมิ่งเชี่ยนโยว จึงเอาแต่จ้องมองนางนิ่งๆ

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวเก็บอาการของนาง และถอนหายใจออกมา เฝิงจิ้งซูได้สติ จึงมองนางด้วยความสงสัย

 

 

สีหน้าของเมิ่งเชี่ยนโยวจริงจังขึ้น “ซูเอ๋อร์ วันนี้หลังเจ้าจากไปแล้ว ท่านแม่ทัพก็แสดงท่าทีรับผิดชอบอย่างมาก ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลใด เรื่องที่เขาทำให้เจ้ามีมลทินนั้นก็เป็นเรื่องจริง ดังนั้นหากเจ้าไม่ตกลงเรื่องการแต่งงานครั้งนี้ วันรุ่งขึ้นเขาก็จะไปหาฮ่องเต้เพื่อทำการลาออกจากตำแหน่งแม่ทัพ และจะออกจากเมืองนี้ไปให้ไกล ชาตินี้คงจะไม่กลับมาอีก”

 

 

เฝิงจิ้งซูตกใจจนอ้าปากค้าง ริมฝีปากนางขยับเล็กน้อย ก่อนจะรีบพูดด้วยเสียงแหบแห้งว่า “จะเป็นไปได้อย่างไร ข้ารู้ดีว่าเขาทำไปเพราะฤทธ์ยา ข้าไม่กล่าวโทษเขาหรอก เขาไม่จำเป็นจะต้องทำเช่นนี้เลย”

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวทำหน้าจริงจังต่อไป “เจ้าไม่รู้หรอกว่าท่านแม่ทัพเป็นคนซื่อตรง ทำการใดก็ทำอย่างตรงไปตรงมา เขาไม่เคยทำความผิดกับผู้ใดเลย มีเพียงกับเจ้าเท่านั้น ต่อให้เป็นเพราะฤทธิ์ยา แต่เรื่องที่เขาขืนใจเจ้าก็เป็นเรื่องจริง เขาไม่มีหน้ามาพบเจ้า และไม่กล้าไปเผชิญหน้ากับเหล่าพลทหารที่ตนเองควบคุมอย่างเข้มงวดมาตลอด ดังนั้นจึงได้มีความคิดเช่นนี้ขึ้น แม้ว่าพระชายาและพวกเราจะคอยห้ามไว้ เขาเองก็ไม่ได้มีท่าทีที่จะยกเลิกความตั้งใจนี้ ดังนั้น พี่โยวเอ๋อร์จึงได้แบกหน้ามาพบเจ้า เจ้าได้โปรดเห็นแก่พระชายาและพี่ ช่วยตกลงแต่งงานเถิดนะ”

 

 

เฝิงจิ้งซูอ้าปากน้อยๆ ของนาง ตกใจจนพูดอะไรไม่ออก

 

 

เมื่อเห็นนางไม่พยักหน้ายอมรับ เมิ่งเชี่ยนโยวถอนหายใจออก และจงใจพูดว่า “ข้าเข้าใจความหมายของเจ้าแล้ว ข้ากลับไปจะรีบบอกพระชายาว่าเจ้าไม่ยินยอมในการแต่งงานครั้งนี้ หากท่านแม่ทัพอยากจะลาออกจากตำแหน่งก็ลาออกไปเถอะ ต่อจากนี้ชาวอู่กั๋วก็ต้องสูญเสียแม่ทัพที่คอยปกป้องประเทศชาติไป”

 

 

“ข้ายอมแต่งงานกับเขา!” เฝิงจิ้งซูตอบอย่างร้อนรน พูดจบก็พูดซ้ำอย่างรีบร้อนว่า “เจ้าอย่าให้เขาลาออกจากตำแหน่งเป็นอันขาด ข้ายอมแต่งงานกับเขาแล้ว”

 

 

ในใจของเมิ่งเชี่ยนโยวยินดีอย่างมาก แต่ใบหน้าของนางไม่แสดงออก ซ้ำยังบอกกับจิ้งซูว่า “ซูเอ๋อร์ แม้ว้าข้าเองก็นับถือท่านแม่ทัพมาก และหวังให้เจ้าแต่งงานกับเขา แต่ข้าก็มิอยากบังคับใจเจ้า เรื่องงานแต่งครานี้เจ้าไตร่ตรองให้ถี่ถ้วนอีกครั้งเถิด ไม่ว่าเจ้าจะตัดสินใจอย่างไร พี่โยวเอ๋อร์ก็จะอยู่ข้างเจ้า”

 

 

เฝิงจิ้งซูกลับร้อนใจขึ้น รีบวางถ้วยชาในมือไว้บนเตียง โดยไม่สนใจว่าน้ำชาจะหกออกมาหรือไม่ นางรีบคว้ามือของเมิ่งเชี่ยนโยวเอาไว้และพูดอย่างร้อนรนว่า “ข้าไม่ฝืนใจเลย ข้ายินดีแต่งงานกับเขาจริงๆ”

 

 

สีหน้าของเมิ่งเชี่ยนโยวจริงจังขึ้น “เจ้าคิดให้ถี่ถ้วนนะ หากข้าตอบพระชายาแล้ว งานแต่งครานี้ก็จะกลับลำไม่ได้อีก”

 

 

เฝิงจิ้งซูพยักหน้า น้ำเสียงร้อนรนกว่าเดิม “ข้าไม่เปลี่ยนใจ ข้าเต็มใจ เจ้ารีบกลับไปบอกเขา อย่ารอจนช้าแล้วเขาไปลาออกเสียก่อน”

 

 

“เจ้าไม่ฝืนใจจริงหรือ” เมิ่งเชี่ยนโยวแสร้งถามอย่างไม่แน่ใจ

 

 

เฝิงจิ้งซูพยักหน้าอย่างมั่นใจว่า “ข้าไม่ฝืนใจ”

 

 

“อย่างนั้นก็ดี” เมิ่งเชี่ยนโยวตอบอย่างดีใจว่า “อีกครู่ข้าจะกลับจวนอ๋องฉีเพื่อไปแจ้งข่าวดีกับพระชายา”

 

 

ใบหน้าแดงระเรื่อของเฝิงจิ้งซูเผยรอยยิ้มออกมา

 

 

สถานการณ์ทั้งหมดนี้เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว เฝิงจิ้งเหวินยืนมองด้วยความงุนงงอยู่ด้านข้าง

 

 

เมื่อเฝิงจิ้งซูเงยหน้าขึ้นมา เห็นพี่ใหญ่ที่ปกติแล้วเป็นคนนิ่งเฉย ขนาดต่อให้ภูเขาถล่มต่อหน้านางก็ยากที่จะเผยสีหน้าเช่นนี้ออกมา จิ้งซูจึงขำออกมา

 

 

เมื่อได้ยินเสียงหัวเราะของน้อง จิ้งเหวินได้สติกลับมา ดีใจอย่างเต็มเปี่ยม เป็นครั้งแรกที่นางก้าวไปยังเตียงของน้องด้วยท่าทีราวกับเป็นเด็ก ถามอย่างดีใจว่า “ซูเอ๋อร์ เจ้าตกลงแล้วหรือ”

 

 

เฝิงจิ้งซูพยักหน้า พร้อมเปล่งเสียง “อื้ม” ออกมา ใบหน้าของนางเต็มไปด้วยความรู้สึกผิด พูดด้วยเสียงแหบแห้งว่า “พี่ใหญ่ ข้าขอโทษที่ทำให้ท่านไม่สบายใจ”

 

 

น้ำตาแห่งความดีใจของเฝิงจิ้งเหวินไหลออกมา สวมกอดนางทันที “เจ้าเด็กโง่ เจ้าไม่เป็นอะไรก็ดีแล้ว” พูดไปหยดน้ำตาก็พลางหยดลงบนหัวของเฝิงจิ้งซู

 

 

เฝิงจิ้งซูรู้สึกได้ถึงความชื้น จึงเงยหน้าขึ้น ยื่นมือไปเช็ดน้ำตาให้นาง และพูดว่า “พี่ใหญ่ ข้าไม่เป็นไร ท่านไม่ต้องเป็นห่วง ข้าอยากแต่งงานกับท่านแม่ทัพจริงๆ”

 

 

เฝิงจิ้งเหวินพูดทั้งน้ำตาว่า “เจ้ายอมตอบตกลง ช่างดีเหลือเกิน ข้าดีใจเหลือเกิน”

 

 

เฝิงจิ้งซูยิ้มกว้างให้นาง พร้อมเอาก้มหัวซุกอกนาง และพูดเสียงอู้อี้อีกครั้งว่า “พี่ใหญ่ ข้าทำให้พี่และพ่อแม่ต้องกังวลอีกแล้ว”

 

 

เฝิงจิ้งเหวินตบหลังนางเบาๆ “เจ้าเด็กโง่ เจ้ารู้ก็ดีแล้ว พี่และพี่แม่กังวลว่าเจ้าจะคิดสั้นขึ้นมา บัดนี้ไม่ต้องกังวลแล้ว เจ้าคิดได้แล้วเสียที”

 

 

หลังจากเฝิงฮูหยินเดินออกจากห้องของเฝิงจิ้งซู ก็ตรงไปที่จวนหลักเพื่อไปหานายท่านเฝิงทันที นำคำของเมิ่งเชี่ยนโยวไปบอกนายท่านอย่างไม่ขาดตกบกพร่อง เมื่อนายท่านได้ยินแล้วก็ขมวดคิ้วลง พูดว่า “ที่แม่นางเมิ่งพูดก็มีเหตุผล หากซูเอ๋อร์ตั้งท้องลูกของท่านแม่ทัพขึ้นมา คงเป็นปัญหาที่ยากจะจัดการเป็นแน่”

 

 

แววตาของเฝิงฮูหยินร้อนรน “อย่างนั้นจะทำอย่างไรดีเจ้าคะ บัดนี้ซูเอ๋อร์ไม่พูดอะไรเลยนอกเสียจากร้องไห้ พวกข้าก็ไม่กล้าตอบตกลง หากนางดึงดันไม่ยินยอม อย่างนั้นจะไม่เป็นการทำร้ายนางซ้ำสองหรือเจ้าคะ”

 

 

“เรื่องมาจนบัดนี้แล้ว ไม่มีทางอื่นแล้ว รอซูเอ๋อร์ตื่น พวกเรากับเหวินเอ๋อร์ค่อยไปช่วยกันพูดกับนาง บอกนางว่า พวกเราไม่ได้เห็นแก่อำนาจของท่านแม่ทัพ เพียงแต่พวกเราอยากจะปกป้องชื่อเสียงของนางและท่านแม่ทัพเท่านั้น และนำคำพูดของแม่นางเมิ่งบอกนางไป ให้นางเข้าใจว่าเรื่องบางเรื่องก็มิใช่ดังที่พวกเราคาดเดาเอาไว้”

 

 

เฝิงฮูหยินพยักหน้า “แม่นางเมิ่งกำลังรักษาเหวินเอ๋อร์อยู่ คาดว่าคงต้องใช้เวลาอีกกว่าครึ่งชั่วโมง ข้ารออีกครู่จึงค่อยไปดูนาง”

 

 

หลังจากครึ่งชั่วโมงผ่านไป เฝิงฮูหยินเดินทางมาที่เรือนของเฝิงจิ้งซู สาวใช้บอกนางว่าเฝิงจิ้งเหวินและเมิ่งเชี่ยนโยวได้ไปที่เรือนของเฝิงจิ้งซูแล้ว เฝิงฮูหยินรีบตามมา เมื่อเข้ามาในห้องก็เห็นลูกสาวคนโตยืนอยู่ข้างเตียง กอดเฝิงจิ้งซูไว้แน่น จึงถามอย่างตกใจว่า “ซูเอ๋อร์เป็นอะไรไปหรือ”

 

 

เฝิงจิ้งเหวินหันกลับมา ตอบอย่างดีใจว่า “ท่านแม่ ซูเอ๋อร์ตอบตกลงแต่งงานกับท่านแม่ทัพแล้วเจ้าค่ะ”

 

 

ฮูหยินยังไม่เข้าใจเหตุการณ์ดี เฝิงจิ้งซูก็เงยหน้าขึ้น และยิ้มให้เฝิงฮูหยิน ตะโกนออกไปด้วยเสียงแหบแห้งว่า “ท่านแม่!”

 

 

เฝิงฮูหยินตกใจปนดีใจ เดินมาถึงเตียงและถามอย่างดีใจว่า “ซูเอ๋อร์ เจ้าตื่นแล้วหรือ ไม่สบายที่ใดหรือไม่”

 

 

เฝิงจิ้งซูส่ายหน้า “ท่านแม่ ข้ามิเป็นไรแล้ว ท่านไม่ต้องเป็นกังวล”

 

 

เฝิงฮูหยินเอื้อมมือไปลูบหัวนาง พร้องกลั้นน้ำตาเอาไว้ พูดว่า “ไม่เป็นไรก็ดีแล้ว ไม่เป็นไรก็ดีแล้ว แม่เป็นห่วงเจ้าเหลือเกิน”

 

 

พูดจบ จึงได้นึกถึงคำที่เฝิงจิ้งเหวินได้พูดไปเมื่อครู่ และถามอย่างประหลาดใจว่า “ซูเอ๋อร์ เจ้ายอมรับการแต่งงานกับท่านแม่ทัพแล้วหรือ”

 

 

เฝิงจิ้งซูพยักหน้า “ข้าตกลงแต่งงานแล้วเจ้าค่ะ”

 

 

“ช่างดีเหลือเกิน เมื่อครู่พ่อของเจ้าเพิ่งจะให้แม่มาคุยกับเจ้า คิดไม่ถึงว่าเจ้าจะเข้าใจได้เอง” พูดจบ ก็พูดต่อว่า “ซูเอ๋อร์ ท่านพ่อของเจ้าพูดแล้ว ที่พวกเรายอมรับการแต่งงาน มิใช่เพราะเห็นแก่อำนาจของท่านแม่ทัพ แต่เพราะคิดถึงชื่อเสียงของเจ้าและท่านแม่ทัพต่างหาก”

 

 

เฝิงจิ้งซูพยักหน้า พูดอย่างว่าง่ายว่า “ข้ารู้ดีว่าพ่อและแม่ทำเพื่อข้า พวกท่านวางใจเถิด ข้าเต็มใจตอบตกลงการสมรสครั้งนี้เจ้าค่ะ”

 

 

เมื่อได้ยินนางพูดเช่นนี้ เฝิงฮูหยินก็สบายใจ

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวยืนอยู่ด้านข้าง ยิ้มแล้วพูดว่า “เมื่อน้องซูเอ๋อร์ตกลงแต่งงานแล้ว ข้าก็ขอกลับไปรายงายให้กับพระชายาก่อนนะเจ้าคะ” พูดจบ ก็พูดอย่างมีเลิศนัยว่า “ขอให้พวกท่านเตรียมการณ์ไว้ให้ดี มิแน่ว่าวันพรุ่งท่านแม่ทัพอาจเดินทางมาสู่ขอเลยก็เป็นได้”

 

 

เฝิงฮูหยินเป็นคนฉลาด ฟังแล้วก็เข้าใจทันที นางพยักหน้า “ขอบน้ำใจแม่นางเมิ่ง พวกเราจะเตรียมตัวอย่างดี”

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวพยักหน้า พูดว่า “เฝิงฮูหยิน ซูเอ๋อร์ ข้าขอตัวก่อนนะ”

 

 

เฝิงฮูหยินอยากไปส่งนาง แต่เมิ่งเชี่ยนโยวปฏิเสธว่า “ท่านอยู่กับน้องซูเอ๋อร์เถิดเจ้าค่ะ ให้ซ้อไปส่งข้าก็พอ พอดีข้าเองก็มีเรื่องจะคุยกับซ้อด้วย”

 

 

เฝิงฮูหยินคิดว่านางจะอาจจะพูดเรื่องอาการป่วย จึงพยักหน้า “ได้ อย่างนั้นข้าก็ไม่ไปส่งเจ้า ฟ้ามืดแล้ว เดินทางระวังด้วย”

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวกล่าวขอบคุณ เดินออกจากเรือนของเฝิงจิ้งซูพร้อมกับเฝิงจิ้งเหวิน เดินออกมาไกลพอสมควรจึงหยุดลง พูดอย่างไตร่ตรองว่า “ซ้อคะ ข้ามีเรื่องอยากจะแนะนำน้องซูเอ๋อร์สักหน่อย”

 

 

“เรื่องอะไรหรือ”

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวมองซ้ายมองขวา

 

 

เฝิงจิ้งเหวินเข้าใจความหมาย จึงสั่งสาวใช้ว่า “พวกเจ้าออกไปก่อน ข้ากับแม่นางเมิ่งมีเรื่องจะคุยกัน”

 

 

สาวใช้ถอยออกไป ชิงหลวนและจูหลีเองก็ถอยออกห่างเช่นกัน เมิ่งเชี่ยนโยวกระซิบข้างหูเฝิงจิ้งเหวิน เฝิงจิ้งเหวินตาโต มองนางอย่างตกใจ

 

 

“ทางที่ดีซ้อคุยกับซูเอ๋อร์เสียหน่อย หากปล่อยให้เป็นปมในใจ เกรงว่าหลังจากนางแต่งงานกับท่านแม่ทัพแล้วจะมีเรื่องบาดหมางขึ้น ถึงตอนนั้นทั้งสองจะเจ็บปวดกันทั้งคู่ พวกเราเองไม่ต้องการเห็นภาพเช่นนั้น” เมิ่งเชี่ยนโยวพูด

 

 

เมื่อนึกถึงภาพของเฝิงจิ้งซูเมื่อครู่ เฝิงจิ้งเหวินจึงพยักหน้า “น้องโยวเอ๋อร์วางใจเถิด สักครู่ข้าจะกลับไปเจรจากับท่านแม่ ดูว่าจะแนะนำนางอย่างไร”

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวเข้าใกล้นาง ออกความเห็นกับนางด้วยเสียงเบา “ซ้อก็ให้น้องโยวเอ๋อร์ดูภาพชุนกง สิเจ้าคะ เล่าให้นางฟังถึงความสุขในห้องนอนระหว่างสามีภรรยา อย่าให้นางปิดกั้นเรื่องนี้”

 

 

เฝิงจิ้งเหวินหน้าแดงระเรื่อ “น้องโยวเอ๋อร์ เจ้า…”

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวรู้ดีว่าคนในสมัยนี้ค่อนข้างอนุรักษ์นิยม จึงไม่ได้พูดอะไรต่อ

 

 

เฝิงจิ้งเหวินส่งนางออกจากจวนทั้งหน้าตาที่แดงก่ำ เมื่อเห็นนางขึ้นรถม้าที่อยู่ไกลๆ แล้ว จึงรู้ว่าหวงฝู่อี้เซวียนตามมาด้วย มองจนกว่ารถม้าลับตาไปแล้ว นางจึงเดินกลับจวนไป

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวเดินเข้าใกล้รถม้า หวงฝู่อี้เซวียนจึงเปิดผ้าม่านออก เอื้อมมือไปดึงนางเข้ามา ถามด้วยรอยยิ้มว่า “ใช้เวลาสั้นกว่าที่ข้าคิดเอาไว้ แสดงว่าตระกูลเฝิงตกลงแล้วใช่หรือไม่”

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวพยักหน้า “เฝิงฮูหยินและนายท่านเองไม่ได้ปฏิเสธ มีเพียงน้องซูเอ๋อร์ที่ยังลังเล ข้าจึงทั้งปลอบทั้งหลอกล่อนาง นางจึงยอมตกลง”

 

 

ได้ยินดังนั้นหวงฝู่อี้เซวียนจึงยิ้มออก และถามอย่างสงสัยว่า “เจ้าหลอกล่อนางอย่างไรหรือ”

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวหัวเราะออกมา นำสิ่งที่ตนได้พูดทั้งหมดเล่าให้หวงฝู่อี้เซวียนฟัง

 

 

เขายื่นนิ้วมาจิ้มหน้าผากนางอย่างเอ็นดู หวงฝู้อี้เซวียนพูดว่า “เจ้านี่ช่าง…”

 

 

“อย่างไรหรือเจ้าคะ ข้าทำไม่ถูกหรือ” นางถามอย่างซุกซน

 

 

“ถูก ถูก ถูก เจ้าทำถูกแล้ว รอให้งานแต่งของท่านน้าผ่านไปก่อน ข้าจะต้องเอาคืนเขาเป็นแน่ ใครใช้ให้เขาทำผิดแล้วยังต้องให้พระชายาของซื่อจื่อไปออกหน้าแทน”

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวพยักหน้าเห็นด้วย “ข้าเห็นด้วยกับท่าน แต่ว่าท่านแม่ทัพกำลังจะมีภรรยาแล้ว เกรงว่าคงจะเอาคืนเขาได้ยาก”

 

 

หวงฝู่อี้เซวียนหัวเราะออกมา เมิ่งเชี่ยนโยวก็หัวเราะตาม

 

 

คนรถไม่รอคำสั่ง เดินรถไปทางฝั่งหนานเฉิงทันที รถม้าเพิ่งเคลื่อนตัวออกได้ไม่นาน หวงฝู่อี้เซวียนก็สั่งออกไปด้านนอกว่า “ชิงหลวน จูหลี ตรงหัวมุมด้านขวามีคนสองคน พวกเจ้าไปจัดการให้เรียบร้อยที อย่าให้พวกมันรู้ตัว เสร็จเรียบร้อยแล้วก็รีบตามพวกข้ามา” เมื่อเขาพูดจบ ชิงหลวนและจูหลีก็ดีดตัวออกไปทันที

 

 

หลังจากเมิ่งเชี่ยนโยวออกจากจวนตระกูลเฝิงก็รู้สึกได้ว่ามีคนจับตามองอยู่ แต่หวงฝู่อี้เซวียนไม่ขยับ นางจึงไม่ได้ใส่ใจ เมื่อได้ยินที่เขาสั่งนางจึงหันไปมองเขา

 

 

หวงฝู่อี้เซวียนอธิบายว่า “เป็นคนที่อยู่ที่จวนตระกูลเฝิงนานแล้ว คาดว่าคงจะมาดูลาดเลาที่จวนตระกูลเฝิง”

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวพยักหน้า ไม่ได้ถามต่อ

 

 

คนรถเดินรถม้าอย่างนุ่มนวล กระทั่งใกล้ถึงหนานเฉิงแล้ว ชิงหลวนและจูหลีถึงได้ตามมา ชิงหลวนรายงานเสียงต่ำว่า “จัดการเรียบร้อยแล้ว”

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวได้กลิ่นจางๆ ของเลือดออกมาจากตัวพวกเขา จึงขมวดคิ้ว ถามว่า “เจ้าได้รับบาดเจ็บหรือ”

 

 

“มิใช่ เป็นเลือดของพวกมัน” ชิงหลวนตอบ

 

 

“หลังกลับจวนไปแล้วก็รีบเปลี่ยนเสื้อผ้าเสีย อย่าให้นายท่านรองพบเข้า”

 

 

ทั้งสองตอบรับ

 

 

รถม้ามาถึงใกล้ประตู เมิ่งเชี่ยนโยวรั้งไม่ให้หวงฝู่อี้เซวียนลงรถม้า “พระชายารอข่าวจากเจ้าอยู่ อย่าลงมาเลย รีบกลับไปเถิด”

 

 

วันนี้เกิดเรื่องขึ้นมากมายในจวน พระชายามีอาการรับไม่ไหว สีหน้าไม่สู้ดีเป็นอย่างมาก หวงฝู่อี้เซวียนเองก็รับรู้ได้ถึงอาการทั้งหมด