เล่มที่ 16 ตอนที่ 1

Memorize

ในที่สุดก็หนีเอาชีวิตรอดจากแผนทำลายล้างของพวกเร่ร่อนได้สำเร็จ เจ้าพวกนี้ที่บินข้ามทวีป ข้ามผืนแผ่นดินที่ไร้ซึ่งการพัฒนา และในบรรดาสิ่งที่สุดยอดที่สุดเท่าที่จะมีได้ เจ้าพวกนี้นี่แหละที่ได้ครอบครองไป  

 

 

นึกแล้วยังน่าหวาดเสียวไม่หาย พวกเร่ร่อนนี้มีกำลังมหาศาล และกำลังมหาศาลเหล่านั้นยังสามารถแยกย่อยออกมาเป็นพลังขั้นสูงได้อีกด้วย 

 

 

ในบรรดาพวกเร่ร่อนทั้งหมดสองพันแปดร้อยคน มีพวกเร่ร่อนที่อยู่ภายใต้การบังคับบัญชาของแพคซอยอนอยู่แปดร้อยคน และในจำนวนสามร้อยคนนี้ไม่ต้องสั่งการก็สามารถดำเนินการได้ ส่วนที่เหลืออีกห้าร้อยคน จะแบ่งออกเป็นสามร้อยคนกับสองร้อยคน ซึ่งถูกสั่งให้บุกเข้าไปทางซ้ายและทางขวา  

 

 

ส่วนบริเวณที่มีพวกชาวเมืองอาศัยอยู่นั้นให้สองร้อยคนรับผิดชอบดูแล โดยผู้คนที่อาศัยอยู่ ณ ที่แห่งนี้ เกือบเจ็ดสิบเปอร์เซ็นต์เป็นชาวเมืองที่ล้วนมีความเกี่ยวข้องสัมพันธ์กันทั้งหมด เพราะฉะนั้นในการตัดสินเรื่องสิทธิ์ในการถือครองจึงไม่ได้มีอะไรมากมายนัก เพียงแบ่งคนออกมาให้เหลือแค่หนึ่งร้อยคนเท่านั้น  

 

 

อย่างไรก็ตามถึงแม้ว่าระดับของพวกเร่ร่อนนี้จะสูงส่งถึงเพียงใด สิ่งที่ยิ่งใหญ่ที่สุดนอกเหนือจากการบุกโจมตีเมืองในครั้งนี้นั้น คือการต้องยอมจำนนกับความเสียหายที่จะเกิดขึ้นในครั้งนี้ 

 

 

แต่ทว่าตั้งแต่เริ่มบุกโจมตีมา กำลังพลกลับหายไปแล้วถึงสิบเปอร์เซ็นต์แล้ว และในบรรดากำลังพลเหล่านั้นคือผู้ใต้บังคับบัญชาของแพคซอยอนทั้งสิ้น ซึ่งจำนวนในตอนนี้ใกล้เคียงกับเลขจำนวนผู้เสียชีวิตไปครึ่งหนึ่งแล้ว และนอกจากนี้เขตพื้นที่ภายนอกที่ได้คาดการณ์ไว้ว่าน่าจะได้รับความเสียหายน้อยที่สุด กลับเป็นเขตพื้นที่ที่ได้รับความเสียหายมากที่สุดเสียอย่างนั้น และนี่แหละคือสาเหตุที่ทำให้แพคซอยอนเสียสติอยู่ ณ ขณะนี้ 

 

 

และตอนนั้นเอง มีชายผู้หนึ่งที่เป็นกองกำลังเสริมของเขตพื้นที่ภายนอกวิ่งกระหืดกระหอบเข้ามา 

 

 

“กะ…เกิดเรื่องใหญ่แล้วครับ!” 

 

 

สายตาทุกคู่ล้วนจับจ้องไปที่ชายผู้นั้น ทุกคนยกเว้นแพคซอยอนล้วนหลับตาและเม้มปากแน่น แล้วชายผู้นั้นก็ได้พูดในสิ่งที่ทุกคนล้วนคิดกันเอาไว้ตั้งแต่แรกว่า 

 

 

“บริเวณชายแดนนอก มีจำนวนคนตายเพิ่มขึ้นอีกแล้วครับ!” 

 

 

“…กี่คน” 

 

 

“สิบเจ็ดคนครับ! ตะ…แต่ว่าในจำนวนนี้มีท่านจองคยูกังกับท่านอีจีฮยอนรวมอยู่ด้วยครับ!” 

 

 

“สิบเจ็ดคน…แก…แกว่าไงนะ” 

 

 

วินาทีที่ชายผู้นั้นพูดจบลง รอบข้างก็พลันเกิดเสียงชุลมุนวุ่นวาย ความสามารถของจองคยูกังเป็นที่ประจักษ์กันอยู่แล้ว และในบรรดาพวกเร่ร่อน จองคยูกังถือเป็นอีกหนึ่งคนที่อยู่ในกลุ่มลำดับสูงมาตลอด เป็นบุคคลที่มีชื่อเสียงเลยก็ว่าได้ ส่วนอีจีฮยอนนั้นเป็นกำลังพลสำคัญ เป็นผู้ถือครองคลาสลับ ‘กระสุนปีศาจ’ และเหนือสิ่งอื่นใด ทั้งสองคนนี้เป็นคนที่แพคซอยอนไว้เนื้อเชื่อใจมากที่สุด 

 

 

สีหน้าของแพคซอยอนยังคงเดิม ไร้ซึ่งการเปลี่ยนแปลง หล่อนจ้องไปที่ใบหน้าอันแสนซื่อของชายผู้นั้น แล้วจึงเดินไปหาเขาอย่างช้าๆ หลังจากนั้นก็กระชากคอเสื้อของเขาขึ้นมา แต่กลับไม่มีคำพูดใดออกมาจากปากหล่อน สายตาของหล่อนจับจ้องไปที่ใบหน้าของเขาอีกครั้ง 

 

 

“ผะ…ผมไม่ได้โกหกนะครับ! ผมตรวจสอบศพเรียบร้อยหมดแล้ว ตอนนี้กำลังเคลื่อนย้ายมาครับ!” 

 

 

“ตรวจสอบดีแล้วเหรอ ดูผิดหรือเปล่า” 

 

 

“คะ…ครับ! ตอนนั้นมีหลายคนกำลังหนีเอาชีวิตรอดกันอยู่ แล้วก็มีไอ้เด็กที่ไหนไม่รู้มาบอกผมครับ! ดะ…โดยเฉพาะท่านจองคยูกัง เห็นบอกว่าโดนไอ้หมอนั่นโจมตีอยู่ฝ่ายเดียวเลยครับ! ส่วนท่านอีจีฮยอน ถึงจะยังไม่ได้ตรวจสอบ แต่ก็…” 

 

 

“…ยังไม่ได้ตรวจสอบงั้นหรือ” 

 

 

“คะ…คือ ร่างกายของท่านแยกออกจากกันไม่มีชิ้นดี แถมยังกระจัดกระจายไปทั่วอีกด้วย…พอผมไปตรวจดูหน้าและเสื้อผ้าก็พบว่า…” 

 

 

ตุ้บ 

 

 

แพคซอยอนปล่อยตัวชายผู้นั้นลง ส่วนดงซูเอามือมากุมหน้าผากเอาไว้ ไม่ใช่เพียงแค่ดงซูเท่านั้น ผู้คนรอบข้างเองก็ทราบดีเช่นเดียวกัน ทุกคนทราบดีว่าแพคซอยอนขาดสติไปเรียบร้อยแล้วตั้งแต่หล่อนเข้าไปจับคอเสื้อของผู้ใต้บังคับบัญชาผู้นั้น แพคซอยอนหมุนกายกลับมาอย่างเยือกเย็น หลังจากนั้นจึงเก็บมีดสั้นที่ทำหล่นเมื่อครู่ แล้วเอ่ยออกมาด้วยเสียงแผ่วเบา 

 

 

“อีแฮยอน” 

 

 

“ค่ะ!” 

 

 

“ไปลากหมอนั่นมาหาฉันเดี๋ยวนี้ เอามันมาอยู่ข้างศพเลย แล้วก็ถ้าแกยังอยากมีชีวิตอยู่ต่อ ไปสืบมาว่าหน้าค่าตา ลักษณะท่าทางของไอ้หมอนั่นเป็นยังไง!” 

 

 

“ทราบแล้วค่ะ!”  

 

 

อีแฮยอนวิ่งออกไปทันที ด้านแพคซอยอนก็เบนสายตามาจับจ้องอยู่ที่ดงซู 

 

 

“พัคดงซู” 

 

 

“คะ…ครับ” 

 

 

“เตรียมล่าตัวมันตอนนี้ เดี๋ยวนี้เลย ไปรวบรวมกำลังพล เอาแต่คนที่วิ่งเร็วมาสักห้าสิบคน” 

 

 

“พะ พี่ ตอนนี้พวกเรากำลังบุกโจมตีอยู่นะ จะให้ไปไล่ล่าตอนนี้มัน…อึก!” 

 

 

พริบตาเดียว ประกายสีแดงฉานในดวงตาของแพคซอยอนก็ไหลออกมาราวกับจะปะทุ พัคดงซูขนลุกซู่ไปทั่วทั้งร่าง แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็คิดว่าจะต้องพูดอะไรออกไปสักอย่าง จึงค่อยๆ เริ่มเปิดปากพูด 

 

 

“ถึงสถานการณ์จะออกมาเป็นแบบนี้ แต่พี่ควรทำใจให้…อ๊อก!” 

 

 

“อาจจะยังมีคนหลงเหลืออยู่ก็ได้ ฉันบอกให้แกรีบออกไป จะได้ตามจับมันได้เร็วๆ” 

 

 

“โธ่ พี่! แต่…เขาก็…รายงานมาแล้วไม่ใช่หรือไง! พี่!” 

 

 

“….” 

 

 

“โธ่เอ๊ย! ทราบแล้วครับ! ผมทราบดีว่าพี่สนิทสนมกับท่านจีฮยอนและคุณลุงคยูกังมานานเท่าไหร่ ผมเข้าใจความรู้สึกของพี่ เพราะฉะนั้นผมขอพูดอะไรสักหน่อยนะครับ ตอนนี้จะที่จัตุรัสหรือวาร์ปเกตต่างก็เกิดสถานการณ์แบบนี้ทั้งนั้น เหล่าผู้เล่นกำลังชุมนุมกันอยู่แถวประตูทางใต้ ซึ่งพวกนั้นเร็วกว่าที่พวกเราคาดการณ์ไว้มาก ประตูทางใต้ไงครับพี่ หืม? พี่ทราบดีใช่ไหมว่ามันหมายความว่ายังไง พี่ ต่อให้พวกเราบุกไป เราก็ทำอะไรมากไม่ได้หรอกครับ! พี่ปล่อยวางเสียบ้างก็ดีนะครับ การให้คนไปตามไล่ล่ามันไม่จำเป็นเลยสักนิดเดียว!” 

 

 

แพคซอยอนค่อยๆ หันกลับมามองพัคดงซูอีกครั้ง หลังจากนั้นประกายสีแดงฉานที่เคยพรั่งพรูออกมาจากดวงตาหล่อนก็ค่อยๆ เหือดแห้งหายไป วินาทีที่ลูกกระเดือกของพัคดงซูขยับขึ้นลง แพคซอยอนจึงค่อยเปิดปากพูดช้าๆ  

 

 

“ถึงอย่างไรก็รวบรวมกำลังพลมาก่อนเถอะ รวบรวมมาไว้ก่อน เข้าใจไหม”  

 

 

“ให้ตายเถอะ ก่อนจะมีข่าวบ้าๆ นี่ ผมก็ไม่คิดที่จะออกไป…เฮ้อ รับทราบครับ ผมจะรวบรวมกำลังพลให้ จะจัดการให้เดี๋ยวนี้เลย” 

 

 

พัคดงซูถอนหายใจเฮือกใหญ่แล้วพยักหน้า หลังจากนั้นจึงเริ่มวิ่งออกไปยังทิศหนึ่ง แพคซอยอนมองไล่หลังพัคดงซูอยู่ชั่วครู่ แล้วจึงค่อยออกแรงมุ่งไปข้างหน้าอย่างรวดเร็ว นัยน์ตาของหล่อนเต็มไปด้วยไฟแค้นที่กำลังลุกโชนอย่างมิอาจซ่อนเร้นไว้ได้ แต่ทว่าจนกระทั่งถึงตอนนี้ แพคซอยอนก็ยังไม่รู้ตัวว่าการเลือกเส้นทางนี้ อาจจะทำให้ตนเองประสบกับเรื่องเลวร้ายในภายภาคหน้า และจะส่งผลกระทบร้ายต่อทวีปของตัวเอง ดวงตาหล่อนเต็มไปด้วยไฟแค้นที่มีอยู่มากมายจนมิอาจคาดเดาอะไรได้เลย 

 

 

 

 

 

* * * 

 

 

 

 

 

ท้องฟ้ามืดลง และดวงจันทร์ประดับนภาในค่ำคืนนี้กำลังส่องประกายแสงสีน้ำเงินเรืองรอง ทั้งต้นไม้ ใบหญ้าอันเขียวชอุ่มต่างก็ถูกอาบย้อมไปด้วยแสงที่ส่องประกายจากดวงจันทร์  

 

 

ป่าเขาในช่วงเที่ยงคืนเช่นนี้ ทั้งมืดสลัว ไร้ซึ่งแสงสว่างต่างจากในเมือง แต่ถึงกระนั้น สภาพแวดล้อมที่มืดมิดเช่นนี้แหละ คือสิ่งที่ผมยินดีเป็นอย่างมาก ประสบการณ์ที่ผมเคยได้เจอ ณ ป่าแห่งเอลฟ์ในอดีตนั้นได้กลายมาเป็นตัวช่วยสำคัญสำหรับพวกเราที่กำลังตกอยู่ในสถานการณ์เช่นนี้ 

 

 

หลังจากที่พวกเราจัดการกับนักธนูหญิงได้สำเร็จ ผมกับสมาชิกเผ่าก็ออกเดินทางจากมิวล์ทันที และพวกเราจะไม่มีวันประมาทแน่นอน เพราะถึงแม้พวกเราจะสามารถหลุดพ้นออกจากเมืองนี้ได้สำเร็จ แต่ไม่ได้หมายความว่าพวกเราจะอยู่รอดปลอดภัยเสียทีเดียว  

 

 

ไม่สิ หนทางการเอาชีวิตรอดได้เริ่มต้นขึ้นตั้งแต่ตอนนี้ต่างหาก เหล่าผู้เล่นที่สามารถหนีรอดออกมาได้สำเร็จ จะต้องเดินทางไปจนกว่าจะถึงอีกเมือง เนื่องจากว่าขณะนี้วาร์ปเกตได้ถูกปิดไปแล้ว และแน่นอนว่าพวกเราเองก็ต้องทำอย่างนั้นเหมือนกัน  

 

 

อย่างไรก็ตาม หลังจากที่ผมและสมาชิกเผ่าออกมาจากประตูทิศตะวันออกแล้ว ทิศทางที่พวกเรากำลังมุ่งหน้าไปขณะนี้คือ ทิศใต้ โดยมิวล์เป็นเมืองที่ตั้งอยู่ทางเหนือค่อนไปข้างทิศตะวันออก หากจะพูดถึงเมืองที่อยู่ใกล้ๆ จากตรงนี้ จะมีเอเดน(เมืองเล็กอยู่ทางภาคตะวันออก ค่อนไปทางตะวันเฉียงเหนือ) หรือไม่ก็พาเมล่า(เมืองทั่วไปทางเหนือ) เพราะฉะนั้นเราจะต้องเกาะทิศใต้ไว้เป็นที่แรก และหากต้องการจะเดินเลาะลงไปอีก อาจจะบิดเส้นทางไปยังทิศตะวันออกหรือทิศตะวันตกก็ย่อมได้ 

 

 

เส้นทางของเอเดนและพาเมล่ามีความคล้ายคลึงกันก็จริง แต่ปัญหาอยู่ที่เมืองมิวล์ มิวล์เป็นเมืองที่ได้รับการพัฒนาแล้ว แต่กลับเป็นที่ที่มีความมั่นคงและเสถียรภาพต่ำ เนื่องจากเหล่าสัตว์ประหลาดมักจะปรากฏกายออกมาอยู่บ่อยครั้ง  

 

 

ไม่ใช่เพียงเท่านั้น เรื่องอาหารและน้ำดื่มเองก็ถือเป็นปัญหาเช่นเดียวกัน เมื่อครั้งที่เราออกเดินทางครั้งแรก ต่างก็เตรียมตัวกันมาเป็นอย่างดี แต่สุดท้ายกลับอยู่เต็มที่ได้เพียงสามวันเท่านั้น 

 

 

‘อันดับแรกเราจะต้องผ่านป่าไม้ก่อน ถึงจะเจอกับแม่น้ำ’ 

 

 

ผมตั้งปณิธานไว้เช่นนั้น แล้วจึงเริ่มเคลื่อนตัวไปยังทิศทางที่มีเสียงน้ำไหลแว่วเข้ามาในหู 

 

 

หลังจากนั้นผมจึงเริ่มใช้สายตาไล่มองไปยังพื้นดินที่เชื่อมติดกับแม่น้ำสายนี้ แล้วจึงเริ่มลงมือแหวกเถาวัลย์ที่คดเคี้ยวพันเกี่ยวอยู่ตรงหน้า หลังจากสามารถฝ่ากำแพงเถาวัลย์มาได้สำเร็จ ลมเย็นๆ เริ่มโชยพัดมารอบกาย พร้อมกับกลิ่นน้ำที่ลอยมาจากริมแม่น้ำฝั่งตรงข้าม พอสูดลมหายใจเข้าไปแล้วก็จะรับรู้ได้ถึงความสดชื่น สายน้ำที่กำลังไหลเอื่อยอยู่ตรงหน้านี้เรืองรองไปด้วยประกายแสงสีเงินจากดวงจันทร์ที่สาดส่องลงมา ผมยืนปล่อยตัวปล่อยใจอยู่ข้างแม่น้ำสายนั้นครู่หนึ่ง หลังจากนั้นจึงเริ่มออกเดินทางไปยังทิศใต้อีกครั้ง และในตอนนั้นเอง 

 

 

ฟุ้บ! 

 

 

“แฮ่กๆ” 

 

 

ผมได้ยินเสียงลมหายใจของใครบางคนที่เหมือนกำลังจะหมดแรง ทันทีที่ผมค่อยๆ หันกลับไปมอง ก็พบกับอันซลที่กำลังนั่งคุกเข้าเอามือเท้ากับพื้นดิน หล่อนกำลังสูดลมหายใจเข้าออกอย่างยากลำบาก มิหนำซ้ำยังมีรอยคราบน้ำตาเปรอะเปื้อนอยู่ทั่วทั้งใบหน้า  

 

 

“ให้ตายเถอะ! เมื่อกี้ฉันหยุดหายใจไปชั่วขณะ เลยต้องมานั่งหายใจเข้าเฮือกใหญ่อยู่แบบนี้” 

 

 

ท่านผู้เฒ่าเห็นดังนั้นจึงรีบโน้มตัวลงไปช่วยปลอบประโลมลูบหลังอันซล ด้านอันซลเองก็คอยพยักหน้าขึ้นลงอยู่อย่างนั้นซ้ำๆ นัยน์ตาของของอันซลสั่นไหวไปมาไม่หยุด ริมฝีปากของหล่อนเองก็สั่นระริกไม่แพ้กัน ผมเข้าใจหล่อนดี การเผชิญหน้าครั้งแรกกับสงครามครั้งยิ่งใหญ่ที่มีคนตายจำนวนนับไม่ถ้วน ไหนจะภาพอันโหดร้ายทารุณ ที่ดูแล้วช่างสยดสยอง สภาพหล่อนราวกับว่าในที่สุดก็ได้ก้าวเท้าออกมาจากเมืองๆ หนึ่งได้ ซึ่งเมืองนั้นเป็นที่ที่มีแต่ความกดดันและความกดขี่ข่มเหงสารพัดรูปแบบ 

 

 

สภาพของสมาชิกเผ่าคนอื่นๆ ยกเว้นโกยอนจู ก็ไม่ได้แตกต่างอะไรมากนัก แต่คิมฮันบยอลกลับมีสีหน้าซีดเผือด ด้านท่านผู้เฒ่าที่กำลังปลอบประโลมอันซลอยู่ก็ดูมีสีหน้าอ่อนแรงเช่นเดียวกัน  

 

 

ถึงกระนั้นผมก็ยังไม่วางใจอยู่ดี สุดท้ายแล้วผมจึงได้ตัดสินใจที่จะหยุดพักชั่วครู่ เพราะการดูแลและควบคุมความแข็งแรงของร่ายกายให้พอเหมาะพอดีกับการออกเดินทางไปยังเมืองข้างหน้า ซึ่งต้องใช้ระยะเวลานานนั้นเป็นปัจจัยที่สำคัญและจำเป็นที่สุด  

 

 

“ผมจะพักอยู่ที่นี่ครู่หนึ่ง แล้วค่อยเริ่มออกเดินทางนะครับ” 

 

 

ไม่รู้ว่าอันซลได้ยินในสิ่งที่ผมพูดหรือไม่ แต่หล่อนก็ยังพยักหน้ารับ ผมมองไหล่เล็กๆ ของหล่อนที่กำลังสั่นเทิ้ม เสียงร้องไห้ปานจะขาดใจตายเริ่มดังขึ้น สมาชิกเผ่าทุกคนรวมถึงท่านผู้เฒ่าต่างตกอกตกใจ รีบปรี่เข้าไปจะช่วยหล่อน แต่ผมยกมือห้ามไว้เสียก่อน ผมคิดว่าสถานการณ์ตอนนี้ควรปล่อยให้หล่อนร้องไห้ไปเสียก่อน ดีกว่าการไปเก้ๆ กังๆ ปลอบหล่อน