เล่มที่ 16 ตอนที่ 2

Memorize

หลังจากทุกคนนั่งลงในที่ของตัวเอง บรรยากาศโดยรอบก็แปรเปลี่ยนมาเป็นความเงียบสงบแทนที่  

 

 

มีบางช่วงที่อันซลรู้สึกเหมือนได้ยินเสียงอะไรบางอย่าง แต่ทุกคนรอบข้างไม่ได้พูดอะไรออกมาเลย ส่วนผมนั่งเอามือเท้าคาง เหม่อมองไปยังทิศทางหนึ่ง 

 

 

‘ทำไมเราไม่ไปทางตะวันตกก่อนนะ ทำไมต้องมาทางเหนือก่อนด้วยจำนวนคนของเราก็ไม่ได้มากมายอะไรเลย…อืม’ 

 

 

เป็นเวลาชั่วขณะหนึ่งที่ผมตกอยู่ในห้วงคำถามที่อัดอั้นมาตั้งแต่ตอนอยู่ในเมือง แล้วผมก็สบตากับคิมฮันบยอลเข้า หล่อนอยู่ไม่สุขเสียเลย เหมือนกับว่าจะทำอะไรสักอย่าง หลังจากที่สบตากัน หล่อนก็ผุดลุกผุดนั่ง ทำหน้าท่าทางเหมือนตัดสินใจเรื่องสำคัญอะไรบางอย่าง แล้วเริ่มสาวเท้าเข้ามาหาผม หลังจากนั้นก็มานั่งลงคุกเข่าอยู่ข้างๆ ผม 

 

 

“มีอะไรเหรอ” 

 

 

“ขอรบกวนพี่สักครู่นะคะ” 

 

 

พอผมถามกลับไป คิมฮันบยอลก็ตอบกลับมาโดยการยกมือขึ้นให้ผมดูแขนเสื้อคลุมสีน้ำเงินที่แขนขวาของหล่อน แล้วหลังจากนั้นผมรู้สึกเหมือนกับมีผ้าบางๆ มาสัมผัสเข้าที่ใบหน้า สัมผัสนั้นทั้งอ่อนโยนและแผ่วเบาราวกับกำลังล้างหน้าให้เด็กน้อยคนหนึ่งอย่างระมัดระวัง ชั่ววูบหนึ่งจึงพลันเกิดความคิดที่ว่าดวงหน้าของคิมฮันบยอลที่อาบย้อมไปด้วยแสงจันทร์นั้นช่างงดงามหาสิ่งใดเทียบ  

 

 

และแล้วชายแขนเสื้อที่เคยเป็นสีน้ำเงินสว่าง ก็กลับแปรเปลี่ยนมาเป็นแสงสีเข้มไปโดยไม่รู้ตัว ทั้งใบหน้าและศีรษะเหมือนโดนเช็ดด้วยอะไรบางอย่าง แต่กลับมีกลิ่นเลือดลอยเข้าเตะจมูก ขืนปล่อยไว้เช่นนี้ เหล่าสัตว์ประหลาดอาจมาทำร้ายเข้าได้ ดังนั้นผมจึงคว้ามือบางที่กำลังสัมผัสใบหน้าของผมเอาไว้ จากนั้นค่อยๆ ปล่อยมือที่กำลังสั่นเทาลง ถอดเข็มขัดออก แล้วปลดเปลื้องเกียรติยศแห่งสวรรค์ 

 

 

“พอแล้ว ขอบใจนะ” 

 

 

“ไม่เป็นไรค่ะ” 

 

 

“เดี๋ยวจะไปซักเสื้อเปื้อนเลือดนี้ก่อนแล้วกัน รออยู่ตรงนี้เดี๋ยวเดียว” 

 

 

“เดี๋ยวฉันเอาไปซักให้เอง ส่งมาเลยค่ะ” 

 

 

ก่อนผมจะเอ่ยปาก คิมฮันบยอลก็รีบปรี่มารับชุดไปแล้ว หลังจากนั้นผมก็มองไล่หลังฮันบยอลที่กำลังเดินมุ่งหน้าไปทางแม่น้ำ ไหล่ของผมเกิดสั่นไหวขึ้นมาเล็กน้อย ผมเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมจึงเกิดเรื่องราวเช่นนี้ แต่นั่นก็ไม่ใช่ความรู้สึกที่เลวร้ายอะไรนัก วินาทีที่ผมเห็นคิมฮันบยอลนั่งอยู่หน้าสายน้ำไหลเอื่อย ก็เกิดเสียงอันแสนอ่อนโยนดังแว่วเข้ามาในหู 

 

 

“หน็อย! ชิงมาก่อนเลยนะ เจ้าเล่ห์ไม่ใช่เล่นนะเนี่ย” 

 

 

“ครับ?” 

 

 

“เปล่า ไม่มีอะไรหรอกค่ะ” 

 

 

โกยอนจูโผล่มาตั้งแต่ตอนไหนก็ไม่ทราบ กำลังนั่งมองไปยังแม่น้ำอยู่เช่นเดียวกัน หล่อนเอาแต่พยักหน้าเอออออยู่ฝ่ายเดียว แล้วมานั่งลงข้างกายผม 

 

 

“ซูฮยอน คุณจะทำยังไงต่อไปคะ จะกลับไปที่เมืองหรือเปล่า” 

 

 

“ต้องเป็นอย่างนั้นอยู่แล้วสิครับ ผมคิดว่าจะไปเอเดนหรือไม่ก็พาเมล่าเสียก่อน” 

 

 

“ทางที่ว่านั่นไม่ใช่เล่นๆ เลยนะคะ คิดแล้วเครียดขึ้นมาเลยค่ะ” 

 

 

“ยังไงก็ต้องไปให้ได้ครับ ถ้าไม่เจออุปสรรคอะไร แล้วสามารถเดินมุ่งหน้าไปได้เรื่อๆ ล่ะก็…สักสามสัปดาห์ก็น่าจะถึงแล้วมั้งครับ” 

 

 

“มันจะไม่มีอุปสรรคอะไรมาขัดขวางจริงๆ น่ะเหรอคะ” 

 

 

โกยอนจูตอบกลับมาด้วยน้ำเสียงที่ฟังดูแล้วค่อนข้างขมขื่น ตัวผมเองก็ได้แต่นั่งกลืนน้ำลาย ไม่สามารถรับประกันได้เลยว่าจะสถานการณ์ในภายภาคหน้าจะเป็นเช่นไร ซึ่งในความเป็นจริงแล้วไม่ใช่เพียงแค่สามสัปดาห์แน่นอน ควรจะใช้ระยะนานกว่าสี่สัปดาห์เสียมากกว่าจึงจะถูกต้อง 

 

 

จ๋อม จ๋อม เสียงเสื้อที่กำลังแช่อยู่ในน้ำดังขึ้น ความมืดมิดและความเงียบสงัดกลับเข้ามาปกคลุมอีกครั้ง เป็นเช่นนั้นอยู่ได้สิบนาที ก็ได้ยินเสียงฝีเท้าแผ่วเบาที่กำลังเดินขึ้นมาจากสายน้ำ  

 

 

ทันทีที่ผมหันกลับไปมองก็เจอเข้ากับคิมฮันบยอลที่กำลังถือชุดของผมอยู่ ขณะนี้สีของมันกลับมาเป็นเหมือนเดิมแล้ว คราบเลือดที่เคยเปรอะเปื้อนหายไปจนหมด และแทบจะไม่มีความชื้นหลงเหลืออยู่ในเนื้อผ้า ผมจึงรู้ทันทีเลยว่าหล่อนทุ่มเทแรงกายแรงใจมากเพียงใด 

 

 

ผมเอ่ยขอบคุณคิมฮันบยอล หลังจากนั้นจึงลุกขึ้นมาสวมใส่เกียรติยศแห่งสวรรค์อีกครั้ง ด้วยความที่เปียกน้ำมา อาจทำให้รู้สึกชื้นไปเสียบ้าง แต่ทว่ากลิ่นคาวเลือดนั้นไม่ได้ส่งกลิ่นรุนแรงเหมือนเมื่อกี้ หลังจากที่ผูกเกียรติยศแห่งตะวันไว้อย่างแน่นหนาแล้ว ผมจึงจ้องมองไปยังอันซล หล่อนดูอ่อนเพลียอย่างเห็นได้ชัด แต่เสี้ยวหนึ่งของใบหน้านั้นดูเหมือนกำลังหักห้ามอะไรบางอย่างไว้ 

 

 

“เอาล่ะ จะเริ่มออกเดินทางแล้วนะครับ” 

 

 

โกยอนจูและท่านผู้เฒ่าลุกขึ้นมาทันทีหลังจากที่ได้ยินคำพูดของผม อันซลมองกลับไปด้านหลังด้วยสีหน้าที่ไม่ค่อยสู้ดีนัก แต่สุดท้ายก็ลุกตามขึ้นมา อาจจะดูลำบากไปบ้าง แต่ผมสังเกตได้ถึงความปราถนาที่ต้องการจะมุ่งสู่เส้นทางนี้ได้โดยเร็ว  

 

 

“ตอนนี้อาจเป็นช่วงกลางคืนก็จริง แต่หากเราออกแรงขยันเดินไปจนสามารถออกจากที่แห่งนี้ได้คงจะดีไม่น้อย เพราะฉะนั้นเราเริ่มออกเดินทางกันเลยดีกว่าครับ” 

 

 

และตอนนั้นเอง ขณะที่กำลังจะเริ่มออกเดินทาง ผมกลับรับรู้ได้ถึงสัญญาณบางอย่างจากทิศที่เราได้ผ่านมาแล้ว 

 

 

สัญญาณที่ว่านั้นคือ การเคลื่อนไหวของคนจำนวนมากนั่นเอง 

 

 

 

 

 

* * * 

 

 

 

 

 

“…ก็เลยออกไปนอกประตูปราสาท ทั้งที่เราบุกโจมตีกันอยู่เนี่ยนะ” 

 

 

“เขาว่ากันว่าท่านจองคยูกังกับกระสุนปีศาจโดนฆ่าตายไปแล้วเรียบร้อย ท่านแพคซอยอนเองก็ยืนยันศพแล้วด้วย กำลังจะเคลื่อนศพอยู่แล้วตอนนี้ บางทีตอนนี้อาจจะกำลังนำทางกำลังพลอยู่ก็ได้ครับ” 

 

 

“กำลังพลงั้นเหรอ พามากี่คนกันล่ะ” 

 

 

“น่าจะห้าสิบคนเห็นจะได้…เห็นว่าจะรีบมาให้ถึงโดยเร็ววันนี้ครับ” 

 

 

“อ๊าก!” 

 

 

นัมซองที่กำลังแจ้งข่าวนั้นหยุดพูดไปชั่วขณะหนึ่ง ฮยอนแกว่งแขนไปมาเล็กน้อย เพราะมีผู้เล่นคนหนึ่งถูกฆ่าตายต่อหน้าต่อตา เลือดสีแดงเข้มพุ่งกระจายไปทั่วทุกสารทิศ นัมซองจดจ้องไปที่ศีรษะที่กลิ้งวนไปมาอยู่ในห้อง แล้วจึงค่อยๆ เริ่มเปิดปากพูด 

 

 

“ใครกัน ใช่แคลนลอร์ดของเผ่าสวรรค์บนดินหรือเปล่า” 

 

 

“ไม่ใช่ เหมือนเป็นแค่สมาชิกเผ่าธรรมดาๆ คนหนึ่งดันโง่มาซุ่มอยู่ตรงนี้น่ะ” 

 

 

“แล้วแคลนลอร์ดล่ะ…” 

 

 

“อันดับแรกเราต้องทำให้พวกมันสลบก่อน พอโจมตีเสร็จแล้ว ฉันมีอะไรอยากจะถามดูสักหน่อย ส่วนชื่อเสียงเรียงนาม ก็ได้แต่หวังว่าจะเป็นพวกเผ่าตัวแทน” 

 

 

ฮยอนตอบด้วยน้ำเสียงอันแสนเย็นชา แล้วจึงค่อยๆ หันกายกลับไป วินาทีที่นัมซองประสานสายตากับฮยอน เขาก็รู้สึกขนลุกขนพองไปทั่วร่าง อาจมองได้ว่าฮยอนมีท่าทีนิ่งเฉยตลอดเวลา แต่ลึกๆ แล้วเขาไม่พอใจกับข่าวที่ได้รับมาเสียเท่าไหร่นัก ตัวนัมซองเองก็ทราบในจุดนี้ดี 

 

 

ฮยอนสั่งการกำลังพลมาประมาณหนึ่งพันสองร้อยคนและบุกเข้าโจมตีประตูทางเหนือ โดยสถานที่ที่ฮยอนเพ่งเล็งไว้ไม่ใช่ทั้งที่จัตุรัสหรือวาร์ปเกตแต่อย่างใด ทันทีที่ฮยอนสามารถบุกเข้าไปในประตูทางเหนือได้ เขาก็นำกำลังพลบุกโจมตีแคลนเฮาส์เผ่าสวรรค์บนดินโดยทันที ซึ่งห้องบัญชาการได้ถูกทำลายจนพังพินาศก่อนที่เหล่าผู้เล่นจะรวบรวมสติหรือทำการต่อต้านเสียอีก และตอนนี้ความสำเร็จก็อยู่ตรงหน้าไม่ไกลเกินเอื้อมแล้ว 

 

 

แต่แล้วในพริบตาเดียวก็เกิดข่าวร้ายเสียอย่างนั้น การบุกเข้าประตูทางตะวันออกเห็นทีจะไม่ทันการณ์ ผู้บัญชาการที่จำเป็นจะต้องจัดการ ณ ที่แห่งนี้กลับถอนตัวออกไป และยิ่งไปกว่านั้นยังนำพวกเร่ร่อนจำนวนห้าสิบคนเดินทางไปด้วย ในขณะที่กำลังพลของเขามีจำนวนน้อยมาก จากสถานการณ์ที่เคยคาดไว้ว่าจะสามารถผ่านไปได้อย่างฉลุย กลับกลายมาเป็นหยุดชะงักที่พวกเขาล้วนไม่อยากจะให้เกิดขึ้น 

 

 

“จิ๊! เป็นแบบนี้ไปซะได้ ฉันไม่อยากจะเป็นผู้บัญชาการแล้ว ความผิดครั้งนี้ใหญ่เกินจะรับผิดชอบ” 

 

 

“ตอนนี้ผมเองก็กังวลเหมือนกันครับ จากที่ได้ลองเข้าไปดู เหมือนเป็นผู้เล่นที่มีทักษะความสามารถอยู่พอสมควร หากเป็นเช่นนี้ ท่านแพคซอยอนเองก็คง…” 

 

 

“งั้นหรือ แต่ฉันไม่คิดว่าแพคซอยอนจะแพ้เอาง่าย ๆ หรอกนะ ลองเข้าไปดูโหมดของนังผู้หญิงคนนี้ดูซิ ฉันเองยังรู้สึกร้อนๆ หนาวๆ เลย เห็นว่าจะยกพรรคพวกไปประมาณห้าสิบคน สถานการณ์ตอนนี้พวกเรารู้กันดีอยู่แล้ว หากทะเล่อทะล่าออกไปก็ทำอะไรไม่ได้ และต้องมารับผิดชอบกับความผิดที่ตัวเองก่อไว้อีกด้วย คนที่ยังเหลืออยู่ตอนนี้ต่างก็กำลังใจจดใจจ่อกับการเข้ายึดของมิวล์อยู่”  

 

 

“ครับ แล้วถ้าเป็นเช่นนั้น จะทำยังไงล่ะครับ ทางฝั่งประตูตะวันออกก็ช้าลง ส่วนประตูทางใต้ก็มีเหล่าผู้เล่นมารวมตัวกันเร็วกว่าที่เราคาดการณ์ไว้เสียอีก” 

 

 

คำพูดของนัมซองทำให้ฮยอนเกิดฉุกคิดขึ้นมา เขาหักคอตัวเองซ้ายทีขวาที เสียงกระดูกดัง กร๊อบแกร๊บเป็นจังหวะ แล้วจึงส่งสายตาไปยังข้อมือของนัมซอง พร้อมพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชาว่า 

 

 

“….ก็จะให้ทำยังไงได้ คงต้องเปลี่ยนแผนสักหน่อยแล้วละ ฉันจะไปประตูทางตะวันออกเอง ส่วนประตูทางใต้ต้องพังให้ไวกว่าที่เราวางแผนกันไว้” 

 

 

“รับทราบครับ” 

 

 

“ฉันจะบัญชาการประตูทางเหนือ ส่วนนายไปจัดการประตูทางตะวันออก หลังจากนั้นค่อยมุ่งมาประตูทางใต้ คงต้องปรับเรื่องเวลากันสักหน่อย หากฉันติดต่อนายไป นายต้องรีบมาทันที” 

 

 

“ระวังตัวด้วยนะครับ เขาว่ากันว่าไซม่อนเป็นผู้เล่นมือหนึ่งของทวีปตะวันตก ผมเคยเห็นกับตาครั้งหนึ่งเมื่อคราวก่อน พลังระเบิดของเขามันมหาศาลเลยครับ” 

 

 

ฮยอนพยักหน้าช้าๆ ให้กับคำพูดที่แสดงถึงความกังวลของนัมซอง เขาเตะศพที่นอนอยู่กับพื้นเบาๆ แล้วหมุนกายไปยังประตู 

 

 

“อืม งั้นฝากที่นี่ด้วยนะ” 

 

 

“ผมจะออกไปด้วยครับ” 

 

 

นัมซองหมุนตัวตามฮยอนไป หลังจากนั้น ‘อะไรบางอย่าง’ ที่อยู่ในมือเขาก็ส่งเสียงร้องเบาๆ ออกมา ในขณะเดียวกันก็มีเสียงเหมือนมีของลากครืดไปกับพื้น 

 

 

ฮยอนจึงแค่นยิ้มและถามถึงสิ่งนั้นก่อนจะออกไป 

 

 

“ว่าแต่นั่นมันอะไรน่ะ” 

 

 

“อ้า ขอโทษครับ จริงๆ แล้วผมนึกว่าเป็นแคลนลอร์ดเลยจับมา แล้วจึงได้รู้ว่าเป็นอดีตตัวแทนแคลนลอร์ดของมิวล์ ไม่รู้ว่า…” 

 

 

“…” 

 

 

“ขอโทษครับ จะปล่อยให้โดนฆ่ามันก็น่าเสียดายอยู่ไม่ใช่เหรอครับ มันอาจจะรู้อะไรอยู่ก็ได้ แล้วก็…” 

 

 

นัมซองเกาหัวแก้เขิน ส่วนฮยอนก็เปล่งคำพูดออกมาด้วยเสียงขึ้นจมูกเบาๆ  

 

 

“ฉันไม่มีมานั่งขบคิดหรอกว่าสิ่งนั้นมันคืออะไร ยังไงตอนนี้รีบเอาไปซ่อนเสียเถอะ ทำให้มันสลบ แล้วเอาไปโยนไว้สักมุม ถ้าการโจมตีครั้งนี้จบลง ฉันจะให้นายเล่นสนุกเท่าที่นายต้องการเลย”  

 

 

“ขอบคุณครับ!” 

 

 

นัมซองตะโกนออกมาด้วยความดีใจพร้อมพยักหน้าหงึกหงัก หลังจากนั้นจึงจับต้นคอที่เขากำอยู่ในมือข้างขวาชูขึ้นมา ในมือของเขามีผู้เล่นหญิงคนหนึ่งกำลังมีสีหน้าหวาดกลัวอยู่ไม่น้อย 

 

 

“หลับพักผ่อนสักงีบก่อนนะ ถ้าเสร็จงานนี้ฉันจะตอบแทนให้อย่างงามเลย” 

 

 

“มะ…ไม่เอา…ชะ…ช่วยด้วย…” 

 

 

พลั่ก! 

 

 

“อึก!” 

 

 

หญิงสาวที่เอื้อนเอ่ยออกมาอย่างยากลำบากนั้นโดนนัมซองชกเข้าที่ท้องอย่างแรง จึงร้องดังลั่นออกมาทันที 

 

 

พลั่ก! พลั่ก! 

 

 

นัมซองต่อยท้องหล่อนนับครั้งไม่ถ้วน ร่างของหล่อนสั่นระริก ไม่รู้ว่ายังหายใจได้อยู่อีกหรือเปล่า แล้วจึงสลบไปในที่สุด หลังจากนั้นก็เกิดเส้นขนสีน้ำตาลผุดขึ้นมาบริเวณหน้าอกของหล่อน นัมซองเห็นดังนั้นจึงยกยิ้มมุมปาก 

 

 

 

 

 

* * *