เล่มที่ 16 ตอนที่ 3

Memorize

มีพลังอำนาจบางอย่างพุ่งขึ้นสูงมากจนสามารถรู้สึกได้ สัญญาณบ่งบอกว่ากำลังมีบางอย่างเข้ามาใกล้ยิ่งชัดเจนมากขึ้น สัญญาณนั้นบ่งบอกว่ามีคนอยู่ราวๆ สิบกว่าคน หากอิงตามความรู้สึก ก็จะมีคนทั้งหมดสิบเอ็ดคนอย่างแน่นอน แต่มีอะไรที่ออกจะแปลกไปสักน้อย สิบเอ็ดคนนี้กำลังมุ่งหน้ามายังสถานที่ที่พวกเราอยู่ แต่กลับไม่คิดว่าจะเป็นพวกเร่ร่อนแต่อย่างใด เพราะการเคลื่อนไหวครั้งนี้รู้สึกได้ถึงความเงอะๆ เงิ่นๆ จำนวนคนก็ไม่ได้มากมายอะไรอีกด้วย ยิ่งไปกว่านั้นพวกเราไม่รับรู้ถึงความกระหายเลือดเลยสักนิด ดูแล้วเหมือนค่อยๆ ย่างก้าวเข้ามาอย่างระมัดระวังเสียมากกว่า ให้ความรู้สึกเหมือนกำลังร้อนอกร้อนใจหาใครบางคนอยู่อย่างนั้นเลย 

 

 

‘หรือว่า…’ 

 

 

“ซูฮยอน ข้างหน้าห้าสิบเมตรค่ะ” 

 

 

“รับทราบครับ” 

 

 

เสียงที่เรียกผมเมื่อครู่นี้คือเสียงโกยอนจู ไม่มีทางที่หล่อนจะไม่รู้สึกถึงสิ่งเดียวกับที่ผมสัมผัสได้ ผมพยักหน้ารับ แล้วจึงกลั้นลมหายใจอย่างค่อยเป็นค่อยไป แล้วโกยอนจูจึงเริ่มพูดต่อ 

 

 

“มีกลิ่นเลือดด้วยนะคะ มาจากมิวล์แน่นอน เอาล่ะ พร้อมรบหรือยังคะ” 

 

 

“เหมือนไม่ใช่พวกเร่ร่อนเลยนะ แต่เราก็ไม่รู้อยู่ดีว่าพวกไหน เอาเป็นว่าเตรียมตัวไว้ก่อนดีกว่า” 

 

 

สมาชิกเผ่าต่างมีท่าทีสงสัยเล็กน้อยในตอนแรก แต่หลังจากที่ได้ยินประโยคเมื่อครู่จบ ก็พลันบังเกิดเงาดำพาดผ่านบนใบหน้า หลังจากนั้นโกยอนจูก็คว้าไทร์ฟิงค์ ส่วนคิมฮันบยอล, อันซล และท่านผู้เฒ่าเองก็นำไม้เท้าออกมา แล้วจึงเดินไปข้างหน้าอย่างระมัดระวัง ความกังวลเริ่มก่อตัวช้าๆ และแล้วผมก็รับรู้ได้ถึงปฏิกิริยาบางอย่าง 

 

 

สวบ! 

 

 

เสียงเหยียบพงหญ้าดังขึ้น อีกทั้งในพงหญ้าอันเขียวชอุ่มก็เหมือนมีอะไรบางอย่างกำลังสั่นไหวอยู่ด้านใน แล้วแรงสั่นไหวที่ว่านั้นก็ค่อยๆ สั่นแรงมากยิ่งขึ้น เหมือนรับรู้ว่าเรากำลังเข้ามาใกล้ๆ  

 

 

เป็นแบบนั้นอยู่ได้สักสิบวินาทีเห็นจะได้ และในตอนที่ไม้เท้าของพวกเรากำลังหันไปทางทิศที่อยู่ตรงหน้านั่นเอง พงไม้กลับแยกออกจากกัน แล้วจึงบังเกิดเป็นช่องแคบเล็กๆ ช่องหนึ่ง และในขณะนั้นเอง มีศีรษะน้อยๆ โผล่พรวดออกมาจากช่อง 

 

 

“ฮึบ” 

 

 

“…” 

 

 

และแล้วความเงียบก็กลับเข้ามาปกคลุมอยู่ชั่วขณะหนึ่ง สิ่งที่โผล่พรวดออกมาจากช่องนั้นคือเด็กผู้หญิงคนหนึ่งที่ดูเด็กมากๆ เหมือนเด็กม.ปลาย หรือไม่ก็แค่เด็กม.ต้นเท่านั้น เป็นเด็กสาวแก้มกลมจ้ำม่ำ หน้าตาน่ารักน่าเอ็นดูเลยก็ว่าได้  

 

 

เด็กหญิงคนนั้นเอียงคอไปมา พลางมองไปที่ไม้เท้าที่ตนเพ่งเล็งมาแต่แรก เธอกะพริบตาซ้ำๆ อยู่หลายครั้ง แล้วเริ่มใช้สายตากวาดมองพวกเราอย่างช้าๆ ทำทีเหมือนกับว่าไม้เท้านั้นไม่ได้อยู่ในสายตาอีกต่อไปแล้ว 

 

 

ผมสบตากับเธอเข้า ในขณะที่สมาชิกเผ่าไม่รู้ว่าจะต้องทำอย่างไรต่อไป จึงได้แต่มองหน้ากันไปมาอยู่อย่างนั้น และวินาทีนั้นเอง ใบหน้าของเธอที่เอาแต่หมุนไปหมุนมาก็หยุดชะงักลง แล้วเริ่มจ้องเขม็งมาทางผม ผมจึงเปิดประเด็นคำถามไปว่า 

 

 

“เธอเป็นใครเหรอ” 

 

 

“…” 

 

 

ถึงผมจะใช้เสียงโทนต่ำในการถามเธอ แต่กลับไม่ได้รับคำตอบใดๆ กลับมา และแล้วสัญญาณของคนสิบเอ็ดคนที่เรารับรู้ก่อนหน้านี้ก็ได้หยุดลงอยู่ที่ด้านหลังของเด็กหญิงผู้นี้ 

 

 

พวกเราไม่ได้เอื้อนเอ่ยอะไรต่อกันอีก ทำได้แต่จ้องมองอยู่อย่างนั้น จนรู้สึกอึดอัดใจไปชั่วขณะหนึ่ง และในตอนนั้นเอง เด็กหญิงคนนั้นค่อยๆ เผยริมฝีปาก ส่งเสียงออกมาว่า 

 

 

“ฟู่ว” 

 

 

เธอถอนหายใจออกมาสั้นๆ พร้อมเอนศีรษะไปข้างหลังอย่างโล่งใจ หลังจากนั้นพวกเราจึงได้ยินเสียงเล็กๆ ของเธอเหมือนกับพูดกับใครบางคนว่า 

 

 

“เจอแล้ว” 

 

 

 

 

 

* * * 

 

 

 

 

 

พรินซิก้า คือเมืองทั่วไปทางตะวันออกของทวีปเหนือ  

 

 

หลังจากคิมซูฮยอนไปเยี่ยมเยือนเผ่าแฮมิล เขาก็ได้พูดคุยกับเหล่าพี่ๆ ที่พบกันโดยบังเอิญ และวันนี้นับเป็นวันที่ห้าแล้วที่เขาได้ออกเดินทางจากพรินซิก้ามา ในระยะเวลาห้าวันที่ผ่านมานั้น ทวีปเหนือกำลังอยู่ในช่วงดุเดือด มีแต่พวกจ้องจะทำลายอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน 

 

 

ในวันที่คิมซูฮยอนออกจากพรินซิก้ามานั้น เหล่าพวกเร่ร่อนฉวยโอกาสบุกเข้าโจมตีมิวล์ในเวลากลางคืน จนวาร์ปเกตถูกทำลายเสียหาย จากสาเหตุนี้จึงทำให้เส้นทางที่ใช้สัญจรผ่านทุกเมืองเองก็ถูกตัดขาดเช่นกัน 

 

 

ในตอนแรกบรรดาผู้เล่นก็ไม่ได้คิดว่ามันแปลกอะไรมากมาย เพียงแค่ไม่พอใจที่ช่วงนี้เส้นทางที่ใช้สัญจรโดนตัดขาดบ่อยๆ เท่านั้น ไม่ได้คิดว่าพวกเร่ร่อนจะเข้ามาบุกโจมตีแต่อย่างใดเลย  

 

 

แต่ทว่าพอผ่านพ้นวันแรกไป จนล่วงเลยมาเป็นสองวันติดต่อกัน เหล่าผู้เล่นจึงเริ่มคิดว่าสถานการณ์ในตอนนี้มีอะไรบางอย่างไม่ชอบมาพากล เมื่อช่วงที่ทั้งศูนย์กลางและทิศตะวันตก รวมไปถึงทั้งสองเมืองทางทิศเหนือทราบข่าวเรื่องเส้นทางไปยังมิวล์ถูกตัดขาด จากเหตุการณ์ในครั้งนี้จึงกลายเป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้จากความไม่พอใจที่มีมากขึ้นทุกวัน ได้แปรเปลี่ยนมาเป็นเหตุการณ์ความวุ่นวายในที่สุด 

 

 

ถึงอย่างนั้นไม่ได้มีเพียงแค่เส้นทางที่ถูกตัดขาดอย่างเดียวเท่านั้น การติดต่อสื่อสารเองเช่นกัน ปกติแล้วถึงจะไม่สามารถไปมาหาสู่กันระหว่างเมืองได้ แต่อย่างน้อยก็ยังติดต่อกันได้ ซึ่งผู้เล่นบางส่วนที่เคลือบแคลงในจุดนี้ จึงลองใช้คริสตัลสื่อสารกับคนรู้จัก แต่ทว่ากลับล้มเหลวไม่เป็นท่า เนื่องจากมีพลังอำนาจบางอย่างคอยขวางกั้นอยู่ ด้วย  

 

 

สาเหตุนี้จึงทำให้เหล่าผู้เล่นเริ่มกระวนกระวายใจ จากความสงสัยเคลือบแคลงที่เคยถูกมองข้ามเมื่อครู่ ก็กลับมาได้รับความสนใจอีกครั้งหนึ่งในขณะนี้ 

 

 

แต่ว่ามันไม่ได้จบลงแค่ที่นี่ หลังจากเวลาผ่านไปสองวัน คราวนี้เส้นทางของทั้งโดโรธี(เมืองเล็กทางตะวันตกเฉียงเหนือ)และเบธ(เมืองเล็กทางตะวันตกเฉียงใต้)เองก็ถูกตัดขาดด้วยเช่นกัน ซึ่งล้วนเกิดขึ้นในช่วงเวลาเดียวกันราวกับนัดแนะไว้ไม่มีผิด  

 

 

ทั้งโดโรธีและเบธต่างก็ไม่ได้เตรียมมาตรการในการรับมือใดๆ ในครั้งนี้ ช่วงที่ทั้งสองเมืองยืนยันมาว่าต้องการความช่วยเหลือนั้น เป็นช่วงเวลาเดียวกันที่ข่าวลือเรื่องการบุกโจมตีที่เคยแพร่สะพัดกลับกลายเป็นความจริงขึ้นมา  

 

 

จากการบุกโจมตีที่เกิดขึ้นอย่างกะทันหันและไม่มีใครล่วงรู้มาก่อนเช่นนี้ จึงทำให้ทุกเมืองต่างตกอยู่ในสภาวะความวุ่นวายพร้อมๆ กัน  

 

 

ไม่เว้นแม้แต่พรินซิก้า ซึ่งเป็นเมืองที่อยู่ห่างไกลจากพื้นที่ที่เกิดความขัดแย้ง 

 

 

“แฮ่ก! แฮ่ก!” 

 

 

ชายผู้หนึ่งวิ่งเข้ามาในตึก เขาคือ อีจุนซอง หนึ่งในผู้เล่นที่คิมซูฮยอนเคยแวะมาเยี่ยมเยียนเมื่อคราวก่อน โดยปกติแล้วเป็นคนที่ออกจะเย็นชา ดูแล้งน้ำใจ แต่มาคราวนี้ไม่รู้ว่ามีเรื่องด่วนอะไร เขาถึงได้ดูร้อนรนวิ่งหน้าแดงก่ำมาขนาดนี้  

 

 

หลังจากนั้นเมื่ออีจุนซองวิ่งขึ้นมาถึงชั้นสี่ เป็นช่วงเดียวกันที่ซอกาฮีก็เปิดประตูห้องออกมาพอดี เขาหันไปหาหล่อนแล้วพูดเสียงดังว่า 

 

 

“แฮ่ก เปิด…แฮ่ก เปิดประตู!” 

 

 

“พี่จุนซอง? พี่ยูฮยอน…!” 

 

 

“ฉันได้รับการติดต่อแล้ว ก็เลยมานี่ไง!” 

 

 

อีจุนซองตอบออกไปสั้นๆ อย่างเหน็ดเหนื่อย และเมื่อตอนเขาพูดว่า ‘มานี่ไง!’ เขาก็วิ่งมาอยู่หน้าประตูเป็นที่เรียบร้อย เขาพูดเสียงดังทั้งๆ ที่ยังไม่จบคำดี พร้อมกับถีบประตูเข้ามา 

 

 

เสียงประตูเปิดดังปัง! 

 

 

“อยู่นี่เอง! แฮ่ก! แฮ่ก” 

 

 

“แม่จ๋า! โอ๊ย! นี่! ตกใจหมดเลย เจ้าบ้านี่!” 

 

 

ภายในห้องมีผู้หญิงคนหนึ่งกำลังนั่งพิงพนักเตียงอยู่ และเมื่ออีจุนซองถีบประตูเข้ามา หญิงสาวผู้นั้นก็ตะโกนด้วยสีหน้าบูดบึ้ง ถึงรูปลักษณ์ภายนอกจะดูเป็นผู้ใหญ่และเย็นชาไปเสียบ้าง แต่เสียงของหล่อนกลับแหลมปรี๊ดเหมือนกับเด็กไม่มีผิด 

 

 

“แฮ่ก! แฮ่ก! ทะ…ท่านพี่ฮโย, ท่านพี่ฮโยอึล! แฮ่ก! แฮ่ก! กะ…เกิดเรื่องใหญ่แล้ว…! มะ ไม่สิ ในที่สุดก็…! แฮ่ก! แฮ่ก!”ี 

 

 

“แฮ่กๆ อะไรของนาย ชักจะอารมณ์เสียแล้วเนี่ย! หยุดพักหายใจเสียก่อนสิ เจ้าโง่!” 

 

 

อีฮโยอึลตะโกนบอกเขาด้วยเสียงแหลมปรี๊ด พร้อมปาขวดน้ำไป อีจุนซองรับขวดน้ำนั้นมาไว้ในมือได้ แล้วดื่มน้ำแก้กระหายเข้าไปอึกใหญ่ หล่อนจิ๊ปากด้วยสีหน้าไม่พอใจเท่าไหร่นัก แล้วส่ายหัวไปมา  

 

 

“อะไรกันเนี่ย ผู้ชายที่ฉันตื่นมาเจอเลยดันเป็นนายหรอเนี่ย น่ารำคาญชะมัด” 

 

 

“เฮ้อ ทะ…ท่านพี่ ไม่ใช่อย่างนั้นนะครับ…ต้องเริ่มพูดอะไรก่อนดีล่ะเนี่ย…ยังไงก็ดีใจด้วยนะครับที่ฟื้นแล้ว…” 

 

 

อีฮโยอึลโบกมือพร้อมขำแห้งๆ ให้กับคำพูดของอีจุนซอง  

 

 

“พอเหอะ ไหนบอกว่าเกิดเรื่องใหญ่ไง อย่ามัวพูดอึกๆ อักๆ อยู่ พูดออกมาตรงๆ เลย” 

 

 

อีจุนซองกลืนน้ำลาย สูดลมหายใจเข้าไปเฮือกใหญ่ แล้วจึงเริ่มจ้องอีฮโยอึล หล่อนที่กำลังนอนอยู่บนเตียงเองก็จ้องเขากลับด้วยใบหน้าที่เย่อหยิ่งเช่นเดียวกัน  

 

 

“ตอนนี้เมืองในทวีปเหนือกำลังถูกโจมตีอยู่ครับ เจ้าพวกเร่ร่อนมันร่วมมือกับไอ้พวกทวีปตะวันตกแล้ว!” 

 

 

“แม่งเอ๊ย” 

 

 

“ท่านพี่! ไม่ได้โกหกนะครับ!” 

 

 

“เออ รู้แล้ว อยู่เงียบๆ หน่อยได้ไหม” 

 

 

อีจุนซองมองอีฮโยอึลด้วยใบหน้าที่กำลังตกตะลึง ชัดเจนแล้วว่าข่าวนี้เป็นข่าวสำคัญมาก หล่อนไม่กะพริบตาเลยสักครั้งเดียว ผู้เล่นที่ได้รับรู้ข่าวนี้เป็นครั้งแรก ส่วนใหญ่ต่างก็ไม่เชื่อกันทั้งนั้น แม้แต่อีฮโยอึลเองยังคาดไม่ถึง 

 

 

“เฮ้อ ในที่สุดยัยหนูลอว์เรนซ์ก็แพ้แล้วสินะ ว่าแต่ที่ไหนโดนโจมตีล่ะ” 

 

 

“มิวล์ โดโรธีและเบธครับ มิวล์โดนบุกเข้าไปก่อน ส่วนโดโรธีกับเบธโดนบุกเข้าพร้อมกัน” 

 

 

“มิวล์งั้นเหรอ…” 

 

 

อีฮโยอึลเกาหัวยิ้มออกมาอย่างขมขื่น สีหน้าหล่อนราวกับคนปวดหัวมิปาน หลังจากนั้นหล่อนจึงยื่นฝ่ามือไปหาอีจุนซองเพื่อแสดงความมุ่งมั่น เขามองมือเรียวอันขาวใสของหล่อนด้วยสีหน้าที่เต็มไปด้วยความสงสัย แล้วจึงเปิดปากพูดด้วยน้ำเสียงสั่นๆ  

 

 

“ท่านพี่…ฟื้นขึ้นมา ร่างกายไม่ใช่ว่าจะดีพร้อมเลยนะครับ…” 

 

 

“…” 

 

 

“อ้า…รับทราบครับ เดี๋ยวผมจัดการให้” 

 

 

อีฮโยอึลมองเขาด้วยหางตาทันที อีจุนซองจึงรีบส่งเหล้าให้หล่อนหนึ่งขวด อีฮโยอึลดื่มเข้าไปอึกหนึ่งด้วยสีหน้าพึงพอใจ 

 

 

“อ้า~ ต้องแบบนี้ถึงจะต่อชีวิตฉันได้ แล้วไง เรื่องใหญ่ที่ว่าน่ะ เรื่องนี้น่ะเหรอ” 

 

 

“ครับ? ก็ใช่ครับ แต่ว่า…ความจริงมันก็ไม่ใช่ปัญหาอะไรหรอกครับ ท่านพี่เองก็ฟื้นขึ้นมาแล้ว”  

 

 

อีฮโยอึลพยักหน้าให้พูด อีจุนซองจึงรีบเผยความไม่ยุติธรรมที่ตนได้รับ ราวกับต้องการฟ้องหล่อน 

 

 

“คือ…ตอนนี้แคลนลอร์ดกำลังจะมุ่งหน้าไปมิวล์ครับ ทั้งที่มิวล์กำลังเกิดสงคราม…!” 

 

 

อาจเพราะข่าวนี้น่าตกใจสุดขีด ทันทีที่เขาพูดประโยคจบ อีฮโยอึลถึงกับไออย่างหนัก 

 

 

“แค่กๆ! อะ…อะไรนะ” 

 

 

“สถานการณ์ตอนนี้มันไม่ใช่เล่น ๆ แล้วนะครับ มีน้องคนสนิทอยู่ที่มิวล์ด้วย…!” 

 

 

“เดี๋ยว น้องคนสนิท? ของคิมยูฮยอนน่ะเหรอ พูดเพ้อเจ้ออะไรอีกล่ะ” 

 

 

“เพ้อเจอตรงไหน อีฮโยอึล” 

 

 

และในตอนนั้นเอง มีเสียงอันแสนเย็นยะเยือกดังขึ้นจากมาหลังอีจุนซอง เสียงนั้นเปรียบได้กับมีสายฟ้าฟาดลงมากลางห้อง 

 

 

 

 

 

* * *