เล่มที่ 16 ตอนที่ 4

Memorize

พรึ่บ พรึ่บ! 

 

 

กองไฟกำลังลุกโชติช่วง ณ จุดกึ่งกลางของค่ายพักแรมในค่ำคืนนี้ ผมวางใบไม้แห้งลง แล้วนั่งจ้องกองเพลิงตรงหน้า ในขณะที่ผมกำลังมองกองไฟอยู่อย่างเงียบๆ ก็ได้ยินเสียงเหมือนมีใครบางคนกำลังเดินเข้ามาจากด้านหลัง 

 

 

“ลอร์ดเมอร์เซนต์นารี่ คงเหนื่อยแย่เลยนะครับ เปลี่ยนเวรกันหน่อยดีไหม” 

 

 

เสียงที่ดังเข้าหูมาโดยบังเอิญ ทำให้ผมต้องค่อยๆ หันหน้าไปมอง มีผู้ชายท่าทางดูสะอาดสะอ้านกำลังส่งยิ้มมาให้ ชื่อของเขาคือโจซึงอู เป็นหนึ่งในผู้เล่นที่ได้มาร่วมทีมกันเมื่อไม่กี่วันก่อน ผมพยักหน้าตอบอย่างใจเย็น แล้วตอบกลับไปว่า 

 

 

“ไม่เป็นไรครับ ยังไม่ถึงเวลาเปลี่ยนเวรเลย” 

 

 

“ฮ่าๆ วันนี้ผมนอนไม่หลับน่ะ แปลกๆ ยังไงไม่รู้” 

 

 

โจซึงอูหัวเราะร่วน แล้วหลังจากนั้นก็มานั่งลงข้างผม ผมจึงเขยิบตัวไปด้านข้างเล็กน้อย ความเงียบเข้ามาปกคลุมไปชั่วขณะ มีเพียงแค่เสียงจากกองไฟที่กำลังลุกซู่ รวมไปถึงประกายไฟจากกองเพลิง เป็นอยู่แบบนั้นได้สักพักหนึ่ง โจซึงอูที่ดูอยากจะนั่งชมกองไฟเงียบๆ จึงค่อยเริ่มเปิดปากพูด 

 

 

“ผมกำลังนึกขอบคุณที่คุณเข้ามาช่วยเหลือพวกเราไว้” 

 

 

“ไม่เป็นไรหรอกครับ ผมก็ไม่ถึงกับช่วยอะไรคุณไว้มากมายหรอก เพียงแค่ได้ร่วมเดินทางไปด้วยกันเท่านั้น…” 

 

 

“ไม่ครับ ผมไม่ได้พูดถึงเรื่องการเข้ามาร่วมทีมเฉยๆ นะ ผมกำลังนึกขอบคุณที่คุณมาช่วยพวกเราที่จัตุรัส ช่วยพาให้เรารอดตายมาได้ ไหนจะรับพวกเราที่มีคนเจ็บเข้าร่วมทีมอีก” 

 

 

“ฮ่าๆ ถ้าผมได้ยินคุณพูดแบบนี้อีกละก็หูผมคงชาแน่ๆ ไม่เป็นไรจริงๆ ครับ ไม่ต้องขอบคุณผมแล้ว” 

 

 

“ลอร์ดเมอร์เซนต์นารี่นี่เป็นคนนอบน้อมจริงๆ เลยนะ น่านับถือจริงๆ ครับ” 

 

 

‘เจ้านี่นี่ไหวพริบใช้ได้เลยแฮะ’ 

 

 

ไม่ว่าเขาจะพูดอะไรมา ผมก็ตีความได้แต่ว่าเขาชื่นชมผมอยู่ตลอด ผมจึงได้แต่ถอนหายใจออกไปยาวๆ  

 

 

โจซึงอูเป็นหนึ่งในผู้เล่นทั้งหมดสิบคนที่ตามผมมาตั้งแต่อยู่ในจัตุรัส และเป็นหนึ่งในสิบเอ็ดคนที่โชคดี ที่สามารถหนีเอาตัวรอดจากพวกเร่ร่อนมาได้  

 

 

คำพูดของโจซึงอูเมื่อครู่นี้ไม่ได้ผิดไปหมดเสียทีเดียว แต่คำพูดเขากำลังทำให้ตอนนี้ผมแทบจะอดขำกับตัวเองไม่ได้เสียแล้วสิ 

 

 

เป้าหมายหลักข้อเดียวของผมคือพาสมาชิกเผ่าจากเมืองหนึ่งไปสู่สถานที่อื่นๆ ต่อไปในอนาคต ส่วนเป้าหมายอื่นๆ นั้นไม่จำเป็นจะต้องจำให้ขึ้นใจอะไรเลย จริงๆ แล้วพอเราออกมาจากมิวล์ได้ เราก็ต้องสนใจ รับผิดชอบแต่กับสมาชิกเผ่าของเราเท่านั้น ผู้เล่นคนอื่นๆ ไม่ได้อยู่ในสายตาเลยสักนิด  

 

 

แต่โจซึงอูก็ตามผมมา ในขณะที่ผมเองก็พาเหล่าผู้เล่นคนอื่นๆ ที่ผ่านไปผ่านมาเข้าร่วมทีมด้วยเท่านั้น ในความจริงแล้วผู้เล่นที่สมควรจะได้รับคำชมนั้น ควรจะเป็นโจซึงอูเสียมากกว่า 

 

 

ไม่ใช่เรื่องที่มีเจตนาดีคอยช่วยเหลือรับคนเจ็บเข้าทีม เพราะถึงแม้จะมีคนเจ็บเข้ามาอยู่ด้วย แต่เขาก็ไม่ได้รับบาดเจ็บที่ขาแต่อย่างใด การรักษาเองก็คืบหน้าไปประมาณหนึ่งแล้ว อีกทั้งความเร็วในการเดินทางก็ไม่มีอุปสรรคอะไรอีกด้วย เหมือนกับมีนักเวทสามคนเข้ามาร่วมทีมอย่างไรอย่างงั้น นอกจากนี้เมื่อเกิดเรื่องโชคไม่ดีขึ้นมา ยังสามารถใช้โล่กำบังของเหล่าผู้ร่วมทีมคนอื่นๆ ได้อีกด้วย 

 

 

ไม่ว่าจะมองอย่างไร การเดินทางไปด้วยกันในสถานการณ์ที่เป็นอยู่ ณ ขณะนี้ ถือเป็นผลดีทั้งสิ้น ดังนั้นผมจึงเห็นด้วยที่มีการรวมกลุ่มเกิดขึ้น และแน่นอนว่าพอมีจำนวนคนเพิ่มขึ้น เรื่องอาหารกับน้ำดื่มจึงกลายมาเป็นปัญหา แต่ทว่า ณ ตอนนี้ พวกเรากำลังเดินเลียบตามแม่น้ำอยู่ จึงทำให้สามารถลำเลียงอาหารและน้ำดื่มได้สะดวก หากไม่เป็นไปตามแผนที่วางไว้ ก็ยังสามารถแก้ไขได้ด้วยการจับสัตว์ที่สามารถกินได้มาทำเป็นอาหารเสียก็หมดเรื่อง  

 

 

แต่ถึงอย่างนั้นสถานการณ์ในตอนนี้ยังมีสิ่งที่ต้องเฝ้าระวังอยู่สองสิ่ง นั่นก็คือสัตว์ประหลาดกับพวกสะกดรอยตาม เดินป่าฝ่าดงทีไร ก็ต้องปะทะกับพวกสัตว์ประหลาดอยู่แล้ว แต่การจัดการกับพวกมันก็ไม่ได้ยากอะไรมากมายนัก  

 

 

และอีกหนึ่งสิ่งที่ว่านั้นก็คือ พวกสะกดรอยตาม แม้พวกมันจะมีมุมที่แสนจะซื่อบื้อแฝงอยู่ด้วยก็ตาม 

 

 

ส่วนตัวแล้วผมมองว่าศักยภาพในการรับมือของพวกสะกดรอยของพวกเร่ร่อนนั้นยังต่ำอยู่ พวกนั้นมีทักษะพิเศษก็จริง แต่ว่าพวกมันก็ไม่ใช่ระดับผู้บังคับบัญชาอยู่ดี เพราะฉะนั้นจึงไม่สามารถส่งพวกสะกดรอยมาจับตัวผู้เล่นที่หนีรอดไปได้อยู่วันยังค่ำ 

 

 

แต่ผมก็ยังไม่วางใจอยู่ดี ตอนนี้ก็กำลังเตรียมรับมือพวกสะกดรอยตามอยู่ ผมจึงได้มอบหน้าที่ให้โกยอนจูดูแลสั่งการเรื่องเส้นทางที่เราใช้สัญจร อีกทั้งยังตั้งให้มีเวรยามคอยเฝ้าตอนกลางคืนอีกด้วย 

 

 

การที่ไม่มีสิ่งใดเข้ามาตอนนี้ก็นับว่าเป็นโชคดีของทุกคน แต่ทว่าลึกๆ แล้วผมก็ไม่ได้อยากให้คนมาร่วมทีมถึงสิบคนหรอก เพราะใจจริงแล้วผมสงสัยมากว่าอะไรคือสาเหตุที่ไปบุกมิวล์ก่อนเป็นที่แรก และหากคนของเราโดนพวกเร่ร่อนจับไป มันอาจจะล้วงข้อมูลเราไปได้ 

 

 

“คิดอะไรอยู่ครับ” 

 

 

ในช่วงที่ผมตกอยู่ในห้วงความคิด เสียงของโจซึงอูก็ดังขึ้นมาขัดจังหวะ เขากำลังมองมาที่ผมอยู่ 

 

 

“ก็คิดอะไรเรื่อยเปื่อยน่ะครับ” 

 

 

“ฮ่าๆ เห็นคุณหลับตา ผมเลยนึกว่าหลับไปแล้วเสียอีก ตอนนี้ได้เวลาเปลี่ยนเวรกันแล้วครับ เข้าไปพักผ่อนเถอะ” 

 

 

ผมพยักหน้าตอบคำชักชวนของโจซึงอู 

 

 

“ทราบแล้วครับ งั้นฝากด้วยนะ ถ้าคุณเฝ้าเวรกลางคืนอยู่เงียบๆ คนเดียวและไม่ได้ปลุกให้ใครมาเฝ้าเวรต่อ ผมจะเว้นไม่ให้คุณต้องมาเฝ้าอีกสองวันไปเลยครับ” 

 

 

“งั้นคืนนี้ผมต้องโต้รุ่งเพื่อสองคืนในอนาคตสิเนอะ” 

 

 

“งั้นผมขอถอนคำพูดละกันครับ” 

 

 

“ฮ่าๆ ล้อเล่นน่ะครับ” 

 

 

หลังจากพูดอะไรหาสาระไม่ได้กับโจซึงอูเสร็จ ผมก็เอามือสองข้างยันไว้กับพื้นดิน แต่ถึงอย่างไรผมก็ยังมีใจที่คิดอยากจะทำอย่างที่ว่า เลยคิดว่าอยากจะลองไปดูสักครั้ง มือขวาของผมตอนนี้รู้สึกได้ถึงใบไม้ที่ทั้งแห้งและสาก แต่มือซ้ายของผมกลับรู้สึกได้ถึงดินอันแสนนุ่มเสียอย่างนั้น ผมค่อยๆ เพิ่มพลังเวทและลุกขึ้น ไม่ใช่สิ ตอนที่กำลังจะลุกขึ้นต่างหาก 

 

 

และในตอนนั้นเอง 

 

 

“หืม? ไม่เข้าไปเหรอครับ” 

 

 

“…” 

 

 

“ลอร์ดเมอร์เซนต์นารี่ครับ?” 

 

 

พลังของมือผมที่กำลังค้ำพื้นดินอยู่ตอนนี้กลับรู้สึกได้ถึงเพียงพลังคลื่นบางๆ เท่านั้น หากมือผมไม่ได้ยันอยู่กับพื้นดินแบบนี้ ตัวผมคงสั่นจนไม่สามารถรับรู้ได้แน่นอน และแล้วอาการสั่นนั้นก็ค่อยๆ ทวีคูณมากยิ่งขึ้น 

 

 

“อะไรกันเนี่ย พวกนายดูสิ” 

 

 

โกยอนจูที่วางมือเท้าลงกับดิน เริ่มออกอาการมือสั่น หลังจากที่หล่อนลุกขึ้นยืน ทุกสายตาก็ล้วนจับจ้องไปที่หล่อน 

 

 

โกยอนจูยิ้มออกมาอย่างขมขื่น พร้อมเปิดปากพูดออกมาว่า 

 

 

“นี่พวกเธอ ดูสิ เขามันงอกขึ้นมาซะแน่นเลยนี่ แถมยังเหนียวเกาะแน่นด้วย…เรื่องพวกสะกดรอยตามท่าจะจริงซะแล้ว ไม่สิๆ ขอฟันธงเลยว่าใช่แน่นอน” 

 

 

ทุกคนล้วนใช้ความคิดหนักทันทีหลังจากโกยอนจูให้คำยืนยันมาเช่นนั้น หากอิงตามที่หล่อนพูด และตามที่ผมสัมผัสได้ แสดงว่ามีนักสะกดรอยตามของเจ้าพวกเร่ร่อนอยู่จริงๆ อารมณ์ของผมตอนนี้ตีกันมั่วไปหมด ไม่รู้ว่าจะต้องหัวเราะหรือร้องไห้ดี ความในใจที่ผมคิดไว้เมื่อตอนนั่งดูกองไฟก่อนหน้านี้ดูท่าจะเป็นความจริงเสียแล้ว 

 

 

“งั้น…เราจะทำยังไงกันดี เราต้องรีบหนีไปให้เร็วที่สุดเลยใช่ไหม” 

 

 

“ใช่แล้ว! รีบหนีก่อนที่พวกเร่ร่อนจะบุกเข้ามากันเถอะ! นะ…นะครับ” 

 

 

หลังจากนั้นเริ่มมีเสียงที่เต็มไปด้วยความหวาดกลัวดังขึ้นทั่วทุกหนแห่ง ความน่ากลัวของพวกมันได้ซึมลึกเข้าไปถึงกระดูก ถึงขนาดเปรียบได้กับว่าพวกเราเป็นคนที่เกือบจะโดนพวกมันฆ่าอย่างโหดเ**้ยมเมื่อครั้งอยู่มิวล์ ความน่ากลัวของพวกมันนี้ยากที่จะลืมเลือนกันเลยทีเดียว แต่ทว่าโกยอนจูกับส่ายหน้าไปมาแรงๆ กับคำตะโกนของเหล่าผู้เล่นคนอื่นๆ  

 

 

“หนีไปก็เท่านั้น เจ้าพวกนี้มันรู้แล้วว่าตอนนี้เราอยู่กันที่นี่” 

 

 

“แต่ว่า…” 

 

 

“ความตายมันกำลังคืบคลานเข้ามาใช่ไหมล่ะ แต่ตอนนี้ต่อให้เราจะหนีไปยังไง สุดท้ายก็จะโดนมันจับอยู่ดี” 

 

 

การตัดสินใจในครั้งนี้ไม่ใช่การตัดสินใจจากใครอื่นใด แต่เป็นการตัดสินใจของราชินีแห่งเงามืดผู้นี้ ผู้เล่นหญิงคนหนึ่งที่เปิดประเด็นให้หนีไปในตอนแรกค่อยๆ แสดงสีหน้าสิ้นหวังออกมา 

 

 

สิ่งที่โกยอนจูพูดน่ะถูกต้องแล้ว หากลองสมมติว่าพวกเร่ร่อนสามารถคุมพวกสะกดรอยได้สำเร็จ แต่พวกเรากลับไม่โดนจับตัวไป อีกทั้งยังหนีรอดมาได้ ก็นับว่าเป็นเรื่องที่ยอดเยี่ยมแล้ว แม้เราจะหันหน้าไปมองข้างหลัง แล้วปากบอกให้รีบหนีไปอย่างไร สุดท้ายแล้วเหล่าผู้เล่นบางส่วนที่วิ่งช้า ก็ยังมีความเป็นไปได้สูงมากอยู่ดีที่จะถูกพวกมันจับตัวไป สุดท้ายคือปัญหาอยู่ที่เวลา  

 

 

แต่สิ่งที่สำคัญที่สุดเหนือสิ่งอื่นใดคือ ในตอนนี้ผมไม่มีความคิดที่จะหนีเลย ยิ่งไปกว่านั้นผมยังอยากรู้ข้อมูลของพวกมันด้วย ผมอยากจะอยู่ที่นี่ พุ่งไปหาพวกมันแล้วบอกว่า ‘ช่วยจับผมไปด้วย’ ให้พวกมันลากมือทั้งสองข้างของผมไป จะถือเป็นเรื่องที่น่ายินดีเลยละ 

 

 

“งั้นพวกเรา…จะตายกันอยู่ที่นี่เหรอ” 

 

 

เสียงเศร้าสร้อยของใครหนึ่งคนดังขึ้นมาจากทางไหนสักที่ ฟังดูแล้วช่างน่าสะเทือนใจในระดับหนึ่ง ถึงการมีชีวิตอยู่รอดในครั้งนี้จะยากลำบากไปเสียบ้าง แต่ผมก็ยังอยากมีชีวิตอยู่ต่อไป แต่ทว่าพอคิดถึงความตายที่กำลังใกล้เข้ามา ผมก็รู้สึกเหมือนตัวเองเป็นพวกไร้ความสามารถ นึกแล้วก็ช่างน่าละอาย หลังจากสิ้นเสียงอันแสนเศร้า บรรยากาศรอบข้างก็เริ่มหดหู่มากยิ่งขึ้น ตอนนั้นเองผมจึงก้าวออกมาข้างหน้าหนึ่งก้าว แล้วพูดว่า  

 

 

“ผู้เล่นโกยอนจู คุณทราบเส้นทางและจำนวนของพวกสะกดรอยตามไหมครับ” 

 

 

“ตอนที่สัมผัสได้ครั้งแรกน่าจะประมาณแปดร้อยเมตรนะ… อ้า แต่ตอนนี้ก็ลดลงมามากแล้วละ ส่วนจำนวนคน ฉันบอกแม่นๆ ไม่ได้หรอกค่ะ แต่น่าจะอยู่ที่ประมาณสี่สิบคนเห็นจะได้” 

 

 

‘สี่สิบคนงั้นเหรอ…’ 

 

 

“หากมีประมาณสี่สิบคนจริง ก็นับเป็นจำนวนที่น้อยกว่าตอนอยู่ในสนามเสียอีก พวกมันน่าจะจัดการได้ง่ายกว่าที่ผมคิดนะ” 

 

 

“จำนวน…นั่นสินะคะ คราวนี้ละพวกเร่ร่อนจะได้รู้จักชื่อเสียงของราชินีแห่งเงามืดผู้นี้สักที โฮะๆ” 

 

 

โกยอนจูตั้งใจจะพูดอะไรบางอย่างออกมา แต่หล่อนกลับเปลี่ยนคำพูดทันทีหลังจากที่ผมส่งสัญญาณไปให้ หลังจากนั้นเหล่าผู้เล่นที่เคยมีสีหน้าอมทุกข์ ต่างก็แปรเปลี่ยนมาเป็นสีหน้าที่มีความหวังเอ่อล้นอยู่เต็มเปี่ยมในเวลาต่อมา ผมยังจำได้ดี เหล่าผู้เล่นที่อยู่กับผม ณ ตอนนี้ ผมเฝ้ามองดูเขาตั้งแต่คราวอยู่ที่จัตุรัสแล้ว มองอย่างไรพวกเขาก็เหนือกว่าพวกเร่ร่อนหลายสิบคนนั้นอยู่ดี  

 

 

และยิ่งไปว่านั้น เรายังมีราชินีแห่งเงามืดอยู่ทั้งคน จึงทำให้สามารถเปลี่ยนความคิดจากที่คิดว่า ‘ตายแน่’ มาเป็น ‘อ้อ อย่างนั้นเองหรอกหรือ งั้นเรามาลองกันสักตั้งดีไหม’ ได้อีกด้วย และสิ่งที่ผมคาดหวังและมองไว้แต่แรกก็ได้เปลี่ยนมาเป็นความคิดแบบนั้นเช่นเดียวกัน 

 

 

กำลังใจในช่วงสงคราม ไม่ว่าจะน้อยหรือใหญ่ต่างก็ถือเป็นหน้าที่ที่สำคัญมาก ถึงผมจะไม่ได้ยินคำพูดที่โกยอนจูตั้งใจจะพูดในตอนแรก แต่ก็ยังสามารถเดาได้อยู่ดีว่าหล่อนจะพูดอะไร