นับว่ายากพอสมควรกับการที่เราจะมานั่งขบคิดว่าเจ้าพวกเร่ร่อนจะคัดเลือกกำลังพลมาอย่างไร ซึ่งอาจเป็นใครก็ได้ให้มาเป็นนักสะกดรอยแทน ทั้งที่เป็นอย่างนั้นการที่ส่งมาถึงหกสิบคนนั้นหมายถึงมาตรฐานของพวกนักสะกดรอยนั้นคงจะไม่ใช่เล่นๆ ถ้าไม่อย่างนั้นก็มีความเป็นไปได้สูงว่าน่าจะมีคนที่มีความสามารถสูงรวมอยู่ในนั้นด้วย
“ถูกต้องแล้วครับ คราวนี้แหละ ผมจะทำให้เจ้าพวกเร่ร่อนรู้เสียบ้างว่าการสูญเสียสหายคนสำคัญมันเป็นยังไง หากจะให้ตายอยู่เงียบๆ ที่นี่ก็คงเศร้าน่าดูนะครับ แต่อย่างไรก็ตาม ถึงภายนอกพวกเราจะดูเป็นคนเรียบร้อย ไม่สุงสิง ยุ่มย่ามกับใคร แต่พอถึงเวลาสู้ ผมก็สู้สุดใจขาดดิ้นเหมือนกัน เพราะฉะนั้นผมจะลองท้าชนกับพวกมันสักตั้งครับ”
“พูดอะไรออกมา ไอ้เจ้าพวกบ้า! อวดเก่งนักนะ ตอนนี้ถึงฉันจะเสียแขนซ้ายไปแล้ว แต่ฉันก็ยังเหลือแขนขวาอยู่ดี และเมื่อถึงคราวที่ฉันจะต้องตาย ต่อให้ฉันตายหรือไม่ตายยังไง ฉันก็จะพาเพื่อนไปด้วยอยู่ดี”
โจซึงอูพูดเสริมมาทันทีทันใด หลังจากผมได้ขยิบตาไปให้ เหมือนเขาจะรู้จุดประสงค์ของผมดี ว่าผมอยากจะให้กำลังใจพวกเราในการต่อสู้ครั้งนี้ คุณลุงที่อยู่ข้างๆ เองก็ดูจะไม่พอใจเรื่องแขนที่สูญเสียไปสักเท่าไหร่นัก แต่อย่างไรก็ตามก็ดูท่าว่าจะได้ผลดีจากการใช้วิธีนี้
ผมค่อยๆ มองเหล่าผู้เล่นที่อยู่รอบกายผมอย่างช้าๆ ในเผ่าเมอร์เซนต์นารี่ที่มีผม รวมไปถึงเหล่าผู้เล่นคนอื่นๆ ที่เพิ่งมาร่วมทีมกันใหม่ มีอยู่ทั้งหมดสิบห้าคน หากลองแบ่งตามคลาส ก็จะแบ่งได้เป็นนักสู้ระยะประชิดหกคน, นักธนูสองคน, นักเวทห้าคนและนักบวชอีกสองคน ซึ่งผู้ร่วมทีมคนเก่าๆ ล้วนเป็นนักสู้ในสงครามทั้งนั้น ซึ่งตามหลักความเป็นจริงแล้วก็ถือว่าโชคดีมาก แต่ทว่าผมกลับมองไม่เห็นถึงความอยากเอาชนะในตัวพวกเขาเลยแม้แต่นิดเดียว
หากจะให้พูดอย่างละเอียดถึงระดับความสามารถของผู้ร่วมทีมคนเก่า ยกเว้นผมกับโกยอนจู ก็ขอบอกได้เลยว่าระดับของพวกเขาคนละชั้นกับพวกเร่ร่อนที่ไปบุกมิวล์แน่นอน พวกเขาถือว่าเป็นกำลังหลักในการต่อสู้ ถึงจะมีอยู่เพียงหกถึงเจ็ดคน อีกทั้งในจำนวนนี้ยังรวมคนเจ็บเข้าไปอีกด้วย
แต่ถึงอย่างนั้นก็ไม่ได้ส่งผลกระทบร้ายแรงอะไรเลย ซึ่งผมเองก็ไม่ได้เอ่ยปากพูดความจริงในจุดนี้ออกไปตรงๆ ถึงแม้พวกเขาจะไม่ได้เป็นส่วนช่วยสำคัญในการต่อสู้ครั้งนี้ แต่อย่างน้อยเขาก็ยังสามารถเป็นโล่กำบังได้เช่นกัน
‘แล้วต้องทำยังไงล่ะเนี่ย…’
ในระหว่างที่ผมกำลังคิดนู่นคิดนี่ไปเรื่อยเปื่อย จู่ๆ ก็รู้สึกเจ็บที่ใบหน้า ทุกคนที่อยู่ ณ ที่แห่งนี้กำลังส่งสายตาคาดหวังอะไรบางอย่างในตัวผม แม้ผมจะบอกว่าศักยภาพในการต่อสู้ของพวกเรามันคล้ายๆ กัน แต่พอเห็นว่าระดับความสามารถที่มีแต่แรกเริ่มได้ตกต่ำลงไป จึงทำให้ขอบเขตที่เราสามารถคัดเลือกผู้เล่นที่มีศักยภาพมากพอต่อการสู้รบในครั้งนี้แคบลงมากกว่าที่คิด จนผมแอบมาคิดเองว่าอย่างน้อยก็ตั้งให้โกยอนจูเป็นคีปเปอร์ไป ส่วนผมจะสู้เองอยู่คนเดียว เห็นทีจะเข้าท่ามากกว่าเสียด้วยซ้ำ
หลังจากที่สามารถจัดการกับความคิดและสรุปออกมาได้คร่าวๆ แล้ว ผมจึงเปิดปากพูดอย่างเงียบๆ โดยพูดออกไปว่า
“ก่อนอื่น เราจะต้องย้ายออกไปจากที่นี่กันก่อนครับ”
* * *
หลังจากน้ำเสียงอันแสนเย็นชาของใครคนหนึ่งดังขึ้นมาในห้อง อีจุนซองจึงหันหลังกลับไปมองต้นเสียงนั้นด้วยใบหน้าตกใจสุดขีด ประตูห้องเปิดกว้างตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้ เงาสีดำทะมึนพาดผ่านบนใบหน้าของชายหนุ่มรูปงามที่กำลังยืนอยู่ตรงนั้น ลักษณะท่าทีดูจะเย็นชาไม่น้อย
“โอ๊ะ คิมยูฮยอน ไม่เจอกันนานเลยนะ เอ้า อีจุนซอง? ออกไปซะสิ”
“อีฮโยอึล ดีใจด้วยนะที่เธอฟื้นขึ้นมาได้สักที น้องชายของฉันนี่เก่งจริงๆ ส่วนอีจุนซอง นายน่ะออกไปได้แล้ว”
จากคำพูดที่ฟังดูแล้วช่างจะขับไสไล่ส่งเสียเหลือเกิน อีจุนซองจึงได้แต่หันรีหันขวาง ทำหน้าทำตาไม่ถูกกันเลยทีเดียว แต่ทว่าหลังจากนั้นไหล่ของเขาก็สั่นขึ้นมาดื้อๆ แล้วเริ่มเดินออกจากห้องไปอย่างหมดแรง
หลังจากประตูปิดสนิท คิมยูฮยอนจึงเดินเข้ามาทางเตียงช้าๆ แล้วก้มมองอีฮโยอึล หล่อนประสานสายตากับเขาอยู่ครู่หนึ่ง แล้วจึงส่งเสียง ‘ชิ’ อย่างไม่พอใจ หลังจากนั้นจึงพูดออกมาว่า
“ที่นายพูดออกมาเมื่อกี้คืออะไร มันจะไม่มากไปหน่อยเหรอ คนเขาเพิ่งเจอความเป็นความตายมาหยกๆ ถ้าฉันฟื้นขึ้นมา นายต้องดูดีใจกว่านี้หน่อยสิ”
“งั้นดีใจด้วยอีกครั้งแล้วกันนะที่ฟื้นขึ้นมาได้เนี่ย ถ้าไม่ใช่เพราะน้องชายฉัน เธอคงลุกขึ้นมาแบบนี้ไม่ได้แน่ๆ แล้วก็เธอควรไปขอบคุณซูฮยอนเขาด้วยนะ”
คำพูดที่คิมยูฮยอนเอ่ยออกมาเสียงเรียบ ทำเอาอีฮโยอึลมีสีหน้างุนงงไปชั่วขณะ แต่หลังจากนั้นไม่นาน หล่อนก็สามารถเก็บสีหน้าไว้ได้ แล้วพูดออกมาว่า
“งั้นหรอ นี่ฉันกำลังหวังอะไรจากนายอยู่เนี่ย แล้วจู่ๆ ทำไมถึงได้พูดเรื่องน้องขึ้นมา แล้วมิวล์มันทำไมอีกล่ะ”
“ผู้เล่นที่ช่วยรักษาเธอจากคำสาปของพวกแบนชี ตอนที่เธอไม่ได้สติน่ะ คือคิมซูฮยอน น้องชายของฉันเอง ซูฮยอนเขาช่วยรักษาเธอแล้วเดินทางต่อไปยังมิวล์ แต่หลังจากนั้นมาฉันยังติดต่อกับเขาไม่ได้เลย”
คำตอบที่เขาพูดออกมาชัดเจนอยู่ในตัวแล้ว อีฮโยอึลได้แต่เอียงหัวไปมา หล่อนกะพริบตาอยู่หลายครั้ง ไม่รู้ว่ากำลังคิดอะไรอยู่ หลังจากนั้นจึงถอนหายใจออกมาเบาๆ แล้วพูดออกมาว่า
“การบุกโจมตีของพวกเร่ร่อนได้เริ่มต้นขึ้นแล้ว และหนึ่งในที่ที่พวกมันบุกไปก็คือมิวล์ คนที่ช่วยรักษาฉันก็คือ เจ้าคนที่ชื่อคิมซูฮยอน ซึ่งเป็นน้องชายของนาย และหลังจากนั้นน้องของนายก็เดินทางต่อไปยังมิวล์ แล้วก็ติดต่อกันไม่ได้เลยหลังจากนั้น ถ้าฉันพูดอะไรผิดไป ก็ช่วยแก้ให้ด้วยแล้วกัน”
“ไม่มี”
“เป็นน้องชายจริงๆ สินะ โอเคๆ งั้นฉันจะเดินทางไปที่มิวล์เพื่อไปตามหาน้องชายของนายก็แล้วกัน นี่พูดจริงนะ แต่ถ้าการติดต่อถูกตัดสัญญาณไป แสดงว่าวาร์ปเกตก็ถูกปิดไปด้วย ถ้ายังงั้นจะทำไงล่ะ”
“ยังมีวาร์ปเกตของเอเดนอยู่ ฉันคิดว่าจะไปที่นั่นก่อน”
“งั้นนายจะเดินไปเอเดนงั้นน่ะเหรอ”
คิมยูฮยอนพยักหน้ารับอย่างช้าๆ อีฮโยอึลที่เห็นปฏิกิริยาของเขาเป็นเช่นนี้ จึงได้จ้องมองไปที่เขาด้วยสายตาอันแสนดุร้าย ลองคิดดูสิ หากเดินไปโดยใช้ความเร็วตามปกติ และไร้ซึ่งสิ่งขีดกวางใดๆ เส้นทางของเอเดนกับมิวล์ก็กินเวลาไปกว่าสามสัปดาห์แล้ว หากมองในมุมทั่วไปก็ถือว่าเป็นการกระทำที่เป็นไปไม่ได้เลยทีเดียว
อีฮโยอึลกัดปากใช้ความคิด แล้วถอนหายใจออกมาเต็มแรง หากเป็นคนอื่น คงด่าไล่ส่งไปแล้ว แต่คนที่อยู่ตรงหน้า ณ ขณะนี้คือคิมยูฮยอน หล่อนรู้นิสัยและการกระทำในยามปกติของเขาดี เพราะฉะนั้นข้ามเรื่องคำพูดติดตลกไปได้เลย เพราะลักษณะการพูดของคิมยูฮยอนน่ะ ล้วนแฝงไปด้วยความจริงจังทั้งสิ้น
“คิมยูฮยอน เพราะเป็นนาย ฉันเลยจะไม่พูดอะไรออกไปนะ แต่จะทิ้งคำพูดไว้ให้คิดสักสองคำนะ ตั้งใจฟังให้ดีละ”
“…”
“ต่อให้นายมาบอกว่านายจะไปเอเดน แต่กว่าจะไปถึงมิวล์น่ะ ไม่ว่านายจะไปช้าไปเร็วยังไง ก็ใช้เวลาไปตั้งสามอาทิตย์แล้ว ส่วนเรื่องบุกโจมตีนั่นน่ะเต็มที่ก็สองวัน สงครามมันก็จบแล้ว เข้าใจใช่ไหมว่าฉันจะสื่ออะไร”
“คำพูดของเธอน่ะเหมือนจะบอกว่ามีโอกาสสูงที่ซูฮยอนอาจตายไปแล้วยังไงไม่รู้เนอะ”
“ฉันกำลังบอกว่าตอนที่นายไปถึงที่นู่นแล้วน่ะ มันมีโอกาสสูงมากที่สถานการณ์ทุกอย่างมันได้จบลงแล้ว เขาอาจจะตายไปแล้วก็ได้ หรือไม่ก็อาจจะยังมีชีวิตอยู่ แล้วหนีออกไปแล้วก็ได้ เรื่องของน้องนายน่ะมันก็น่าสงสารอยู่หรอกนะ แต่ตอนนี้พวกเราก็ทำอะไรไม่ได้นี่นา ลองคิดโดยใช้เหตุผลเป็นหลักบ้างสิ”
คำพูดโน้มน้าวของอีฮโยอึลถูกต้องที่สุดก็จริง แต่หล่อนกำลังมองข้ามสิ่งสำคัญอีกสิ่งหนึ่งไป สิ่งนั้นก็คือคิมยูฮยอนมองว่าแท้จริงแล้วคิมซูฮยอนเป็นเด็กซื่อบื้อ ในหัวของคิมยูฮยอนมีแต่ภาพคิมซูฮยอนที่กำลังน้ำตาคลอหน่วย ริมฝีปากสั่นเทิ้ม เรียกร้องหาพี่ไปมาไม่หยุดหย่อน
“ไม่รู้เหมือนกันนะว่าคำที่เธอว่ามามันจะถูกจริงหรือเปล่า”
“ชิ รู้แล้วก็จบๆ ไป ตกใจมากเลยละพอมาดูสถานการณ์ตอนนี้ เอ๊ะ เดี๋ยวก่อน เมื่อกี้ใช่คิมยูฮยอนจริงๆ หรือเปล่าเนี่ย”
“อีฮโยอึล”
“…?”
คิมยูฮยอนโน้มตัวลงมาช้าๆ ลดระยะห่างระหว่างเขากับอีฮโยอึล ในช่วงที่คนทั้งคู่ต่างช้อนสายตาประสานกัน หน้าของหล่อนขึ้นสีระเรื่อ หลังจากนั้นหล่อนจึงหลบสายตาเขาไปก่อน แล้วคิมยูฮยอนจึงเปิดปากพูดออกมาว่า
“ฉันหมายถึงว่า สถานการณ์ในตอนนี้น่ะมันจะเป็นไปในทิศทางไหนก็ยังไม่รู้ แต่ถ้าจะให้ถูกต้องเลยก็คือเธอน่ะไม่ได้สนใจอะไรเลยด้วยซ้ำ”
“หา นายว่าอะไรนะ”
“อย่างน้อยพูดมาว่าเขายังมีโอกาสรอดชีวิตอยู่น่าจะดีกว่านะ สำหรับฉันนะ การพาตัวคิมซูฮยอนกลับมาคือสิ่งที่ฉันจะทำเป็นอันดับแรก ส่วนเรื่องคิดโดยใช้เหตุผลที่เธอว่า หรือจะให้มองตามสภาพการณ์ปัจจุบันน่ะ มันเป็นเรื่องที่จะต้องคิดหลังจากนั้นต่างหาก”
“นาย…!”
“ฟังให้ดีนะ ฉันจะไปหาน้องของฉัน ไม่ว่าเขาจะยังมีชีวิตอยู่ หรือตายไปแล้ว หรือโดนจับตัวไปอะไรก็แล้วแต่ แต่การตัดสินใจในครั้งนี้ของฉันก็จะยังคงเดิม ไม่เปลี่ยนแปลงแน่นอน ถึงแม้จะต้องไปดึงพลังของท่านเทพผู้ประทานให้เกิดฟ้าร้องมาก็ตาม และไม่ว่าจะต้องทำอย่างไร ฉันก็คิดจะไปตามหาน้องฉันอยู่แล้ว รักษาเนื้อรักษาตัวให้ดีเถอะ ฉันไม่มีความคิดที่จะไปส่งสมาชิกเผ่าคนอื่นๆ ไปหรอก”
คิมยูฮยอนกลับมายืนตัวตรงดั่งเดิมหลังจากพูดประโยคเหล่านั้นจบ อีฮโยอึลมองเขาด้วยสายตางุนงง หลังจากนั้นหน้าหล่อนก็เริ่มบูดเบี้ยวไม่พอใจ แล้วตะโกนออกมาว่า
“นาย คำพูดของนายนี่นะ! พูดอะไรออกมา…! ไอ้เจ้าโง่!
“ก็มีเขียนไว้อยู่ไม่ใช่หรือไง จงคิดภูมิใจกับการเป็นตัวของตัวเองเสียเถอะ”
“หนวกหู! นายน่ะคิดจะทำอะไรอยู่ตัวคนเดียวตลอด! แล้วก็อะไรนะ ท่านเทพผู้ประทานให้เกิดฟ้าร้องงั้นเหรอ นายจะใช้พลังของท่านน่ะเหรอ ในกรณีที่เลวร้ายที่สุดคือนายนั่นแหละที่จะต้องตายนะ!”
“ถ้าหากซูฮยอนตายไปแล้ว ฉันเองก็คงทรมานเหมือนตายไปด้วยเหมือนกัน ถ้าฉันต้องอยู่ในสภาพนั้น จะตายไปก็ไม่เลวนี่”
“แล้วพวกสมาชิกเผ่าที่ตามนายมาตลอดล่ะ จะทำยังไง! ทำเท่าที่ทำได้ก็พอแล้ว เอ๊ะ ไอ้เจ้านี่! เดี๋ยวสิ? ยะ อย่าไป นี่! นาย!”
และในตอนนั้นเอง ในช่วงที่คิมยูฮยอนเมินเฉยต่อคำพูดของคิมฮโยอึลแล้วเดินออกไปจากห้อง ประตูห้องก็เปิดกว้างออกมา
“ขออนุญาตค่ะ…”
หลังจากนั้นเสียงเล็กๆ ก็ดังลอดออกมาผ่านช่องประตู พร้อมกับซอกาฮีที่ค่อยๆ ยื่นหน้ามาอย่างระมัดระวัง หล่อนสอดส่องมองเข้าไปในห้องด้วยสีหน้าที่ดูแล้วช่างอึดอัดเสียเหลือเกิน หลังจากนั้นจึงค่อยๆ เอื้อนเอ่ยออกมาว่า
“มีคนจากเผ่าเมอร์เซนต์นารี่มาหาค่ะ”
* * *