เมื่ออยู่บริษัทในวันนี้ แต่กลับไม่มีงานอะไรให้ทำ ยู่ยี่จึงวางแผนจะไปที่ไซต์ก่อสร้างสักหน่อย
หัสดินกลับมาอีกแล้ว ยู่ยี่ไม่มีอารมณ์จะสนใจเขาเลยสักนิด เขายังยืนหยัดไม่ยอมลดละ ขับรถ ตามหลังมาติดๆ
เมื่อเธอถึงที่นั้นก็เป็นเวลาพักเที่ยงพอดี คนงานส่วนใหญ่นั้นมีกล่องข้าวมากิน มีเพียงคนไม่กี่คนที่ยังทำงานอยู่บนที่สูง
ยู่ยี่เองก็ไม่มีข้อยกเว้น เธอนั่งยองอยู่ตรงนั้น กินข้าวกล่อง หัสดินขมวดคิ้วเล็กน้อย ไม่ได้กินข้าว
อากาศในฤดูหนาวแต่เดิมก็หนาวเย็นอยู่แล้ว อุณหภูมิเย็นลงค่อนข้างเร็ว เธอมองคนไม่กี่คนที่ทำงานบนที่สูง และเอ่ยปากว่า ลงมากินข้าวเถอะ กินเสร็จแล้วค่อยไปทำต่อ
ทั้งหมดนั้นกินข้าวด้วยกัน พวกเขาลงมาช้าแล้ว กินได้แต่ข้าวกล่องเย็นชืด ไม่มีคนจะอุ่นอาหารให้พวกเขาไม่กี่คนเป็นพิเศษอีกครั้ง
ยู่ยี่วางกล่องข้าวลง และเดินเข้าไป ยืนอยู่ด้านล่าง หัสดินก็เดินเข้าไปเช่นกัน เขาไปอยู่ข้างกายเธอ เธอโน้มตัวลง กำลังดูวัสดุก่อสร้าง
ทันใดนั้น ฝูงคนก็แตกตื่น ไม่รู้ว่าใครเป็นคนตะโกนบอก “ดูสิ!”
ยู่ยี่เงยหน้าขึ้นตามสัญชาตญาณ มองไปตามสายตาของทุกคน เห็นเพียงเปลที่ค้ำจุนอยู่กลางอากาศนั้นดูเหมือนจะเกิดปัญหาขึ้น หลังจากที่มันโคลงเคลงสักพัก คนงานก็ร่วงหล่นลงมาทันทีโดยไม่คาดคิด แต่ที่นั้นเป็นตึก 18 ชั้น!
หากหล่นลงมานั้น จะยังมีชีวิตอยู่ที่ไหน!
ยู่ยี่หายใจไม่ออก ในสมองนั้นว่างเปล่า และยังคงว่างเปล่าอย่างนี้ไปอีก 3 วิ หลังจากนั้น เธอก็หอบหายใจอย่างหนักหน่วง หยิบโทรศัพท์ออกมาจากกระเป๋า มือที่สั่นนั้น โทรศัพท์ขอความช่วยเหลืออย่างรีบร้อน พร้อมกับให้คนงานเหล่านั้นรีบไปหยิบเบาะลมมา
คนยังร่วงดิ่งอยู่กลางอากาศ สามารถเห็นเป็นเพียงจุดดำๆ จุดหนึ่ง เขาดูหวาดกลัวมาก มากไปกว่านั้นยังดูหมดหวังและดิ้นรน แขนขาทั้งสองปัดป่ายไม่หยุดอยู่กลางอากาศ
ฉากดังกล่าวนั้นค่อนข้างน่าตื่นตกใจอยู่ไม่น้อย ยู่ยี่สั่นเทิ้มไปทั้งตัว ทั่วทั้งร่างเย็นเฉียบ เธอกำลังต่อสายโทรศัพท์ พร้อมกับเดินไปข้างหน้าอย่างสับสนวุ่นวาย สติเริ่มพร่าเลือนกระจัดกระจาย
มีก้อนอิฐอยู่ใต้เท้า แต่เธอนั้นไม่ทันได้ระวัง ด้วยร่างกายที่แข็งทื่อและความคิดที่พร่าเลือนทำให้เธอเหยียบมันขึ้นไป เธอจึงสะดุดล้มลงไปข้างหน้า
ข้างหน้านั้นมีอิฐกองใหญ่และลวดเหล็ก หากพุ่งเข้าไปโดน หน้าทั้งหน้านั้นจะต้องเต็มไปด้วยเลือดแน่ และยิ่งเลวร้ายกว่านั้นก็ถึงขั้นไม่มีชีวิตอยู่อีกต่อไป
“ระวัง!”
ในชั่วพริบตานั้น โดยไม่มีความลังเล หัสดินก้าวยาวไปข้างหน้าไม่กี่ก้าว สองมือของเขากอดที่เอวเธอเอาไว้ ทว่าอิฐแตกหักที่อยู่ใต้เท้ากลับทำให้เขาไม่สามารถทรงตัวได้ เขาไม่มีทางเลือก ปกป้องเธอไว้ในอ้อมกอดอย่างมั่นคง กัดฟันไว้แน่น แล้วพลิกตัว ล้มไปอีกฝั่งหนึ่ง
เขาปกป้องเธอไว้ในอ้อมกอดของเขา ร่างของเขาล้มลงไป ศีรษะกระแทกกับก้อนอิฐเข้าอย่างแรงพอดิบพอดี สองแขนถูกลวดเหล็กเสียบทะลุ และยิ่งไปกว่านั้นลวดเหล็กก็ถึงขั้นเสียบทะลุแขนเขาไปทั้งแขน ฝังอยู่ในนั้น เลือดไหลออกมาเต็มไปหมด เขาหมดสติลงไปทันที เขานั้นไร้สติ แขนเสื้อสูทถูกย้อมและเปียกโชกไปด้วยเลือด อาการดูย่ำแย่มาก
สุดท้าย สถานการณ์นั้นก็ดูย่ำแย่ไปทั้งหมด
เบาะลมหาได้ไม่ทันเวลา คนงานคนนั้นตกลงมาตายตรงจุดนั้นทันที แรงกระแทกครั้งใหญ่นี้ทำให้สมองเขาแตกกระจายออกมา เป็นฉากที่ทำให้คนไม่อาจทนดูได้
เขาตายอย่างโหดร้ายนัก!
ร่างกายของยู่ยี่ราวกับน้ำแข็งที่เย็นเฉียบที่สุดในฤดูหนาว สั่งทุกคนให้จัดการกับที่เกิดเหตุ อีกทั้งหัสดินก็ถูกส่งไปโรงพยาบาลอย่างเร่งด่วนเรียบร้อยแล้ว
เป็นครั้งแรกที่เธอประสบกับเรื่องแบบนี้ นอกจากการตื่นตระหนกและความว่างเปล่าในขณะนั้นแล้ว จริงๆ แล้วเธอก็ทำได้ไม่แย่เท่าไรนัก
หลังจากนั้นไม่นาน เธอยังไม่จากที่เกิดเหตุไปไหน และเชิญครอบครัวของผู้เสียชีวิตมา ความรู้สึกของครอบครัวผู้เสียชีวิตนั้นถูกกระตุ้นขึ้น ร้องไห้ไม่ขาดสาย
ยู่ยี่รู้สึกเศร้าเสียใจ ขอบตาแดงก่ำ อยากจะร้องไห้เช่นกัน แต่ก็กลั้นเอาไว้ ให้ผู้รับผิดชอบดูแลตรงนี้ก่อน แล้วเธอก็ไปโรงพยาบาล
เป็นเพราะว่าเธอหัสดินถึงได้บาดเจ็บหนักถึงขั้นนั้น เธอต้องไปที่โรงพยาบาลสักรอบ
หมอที่ทำการผ่าตัดกล่าวว่าอาการนั้นหนักมาก เวลาในการผ่าตัดนั้นจะค่อนข้างนาน ยู่ยี่นั่งบนม้านั่งที่ด้านนอกห้องฉุกเฉิน
เธอนั่งรอมาแล้วเป็นเวลา 4 ชั่วโมง ในที่สุดประตูห้องฉุกเฉินก็เปิดออก หมอผู้รับผิดชอบในการรักษาเดินออกมา และถอนหายใจยาว “ผู้ป่วยพ้นขีดอันตรายแล้วครับ”
ยู่ยี่ก็ถอนหายใจตามไปด้วย สองขาปวกเปียกพิงเข้ากับกำแพงข้างหลัง มีเพียงคำพูดที่สะท้อนอยู่ในความคิดเธอ ผู้ป่วยพ้นขีดอันตรายแล้ว
………………
หัสดินถูกย้ายตัวจากห้องฉุกเฉินไปยังห้องพักผู้ป่วย บนศีรษะของเขาถูกพันด้วยผ้าพันแผลสีขาว แขนทั้งสองข้างก็ถูกพันไว้ทั้งหมดเพื่อให้มันอยู่กับที่ ไม่สามารถขยับได้ นี่ก็เพียงพอกับที่เห็นเขาบาดเจ็บมากมายเท่าไรในตอนนั้น เขายังอยู่ในอาการโคม่า
ยู่ยี่โทรหาชฎารัตน์ เพียงชั่วครู่ ชฎารัตน์ก็มา ส่วนซาฮาร่านั้นก็มาด้วย
แค่เห็นลูกชายเพียงคนเดียวในสภาพเช่นนั้น น้ำตาของชฎารัตน์ก็ไหลลงมาไม่ขาดสาย ซาฮาร่านั้นก็รู้สึกเสียใจเป็นอย่างมาก
หมอบอกว่ารอยาสลบหมดฤทธิ์แล้ว เขาก็จะตื่นขึ้นมา
ซาฮาร่าไม่ได้มีสีหน้าที่ดีกับยู่ยี่นัก อย่างไรเสียที่หัสดินกลายเป็นสภาพนี้ก็เป็นเพราะเธอ
เวลานี้ ยู่ยี่ไม่อาจจะจากไปได้ เธอนั่งรออยู่ตรงนั้น ส่วนเรื่องไซต์ก่อสร้างนั้น เธอโทรศัพท์หาผู้จัดการแล้ว
เธอคิดว่ามันเป็นเพียงแค่วันธรรมดาราบเรียบวันหนึ่ง ไม่นักเลยว่าจะต้องมาตื่นตระหนกตกใจเช่นนี้ จนกระทั่งตอนนี้ หัวใจในอกของเธอนั้นยังเต้นตุบตุบไม่หยุด
เวลาย่ำค่ำ หัสดินก็ตื่นขึ้นมา แต่อาการนั้นหนักเกินไป เขาไม่สามารถขยับสุ่มสี่สุ่มห้าได้ แต่สามารถส่งเสียงออกมาได้พอประมาณ
เมื่อได้ยินเสียง น้ำตาของชฎารัตน์ก็ไหลเพิ่มมากขึ้นไปอีก ใจของยู่ยี่นั้นก็ถือว่าวางใจลงได้หมด ตอนกลางคืนนั้นต้องการคนอยู่ดูเฝ้าเขา ดังนั้นชฎารัตน์จึงค้างอยู่ที่นี่ ยู่ยี่เองก็อยู่ค้างด้วยเช่นกัน ส่วนซาฮาร่านั้นจากไปแล้ว
หมอบอกว่า เขาจะต้องดูแลตัวเองให้ดี ห้ามขยับซี้ซั้ว ปัญหาแขนก็จะไม่เยอะมาก ที่สำคัญคือดูแลตัวเองให้ดี…….
ตอนค่ำ ชฎารัตน์ไม่นอน เธอก็ไม่นอนเช่นกัน ทั้งสองอยู่เฝ้าหัสดิน เขาในขณะนี้ไม่ว่าอะไรก็ไม่กล้ากิน อีกทั้งยังถูกให้น้ำเกลืออยู่
อย่างไรก็ตาม ขอเพียงแค่เขาหายดีฟื้นฟูร่างกายเต็มที่ เขาก็จะไม่มีปัญหาอะไร ชฎารัตน์ไล่ถามคุณหมอไม่หยุด เมื่อตอนจะจากไปนั้น คุณหมอก็พูดอีกหลายครั้ง เพื่อไม่ให้เธอเป็นกังวล
ไม่มีปัญหาก็ดี ขอเพียงแค่หายดีได้ก็พอแล้ว ยู่ยี่คิดอยู่เงียบๆ ในใจ โชคยังดี เธอไม่ต้องติดค้างหนี้น้ำใจนี้ของหัสดิน
ในเวลานี้ โทรศัพท์ก็ดังขึ้น ดูเหมือนจะกะทันหันไปอยู่บ้างภายในห้องพักผู้ป่วยอันเงียบสงบนี้ เธอหลุบตามอง เป็นฉันทัชที่โทรมา
เธอหมุนกาย สายตาของชฎารัตน์หันมามองเธอ ยู่ยี่สูดหายใจเข้าลึกๆ เธอยังไม่รับสาย และตัดสายโทรศัพท์ทันที สถานการณ์เช่นนี้ ไม่เหมาะที่จะรับโทรศัพท์
……..
ชฎารัตน์หลับไปตอนกลางดึก ยู่ยี่ไม่ได้นอน หมอผู้รับผิดชอบยังมาหาอีกหลายครั้ง เธอก็เอ่ยปากถามอีก
คุณหมอยิ้มพลางบอกว่า มันจะต้องไม่มีปัญหาอย่างแน่นอน
เขารับรองด้วยจรรยาบรรณของเขา หลังจากหายดีแล้ว เขาจะต้องแข็งแรงมีชีวิตชีวาดุจเสือและมังกรอย่างแน่นอน ทั้งเดินได้กระโดดโลดเต้นได้
อย่างไรเสียเขาก็ยังหนุ่ม ร่างกายมีความต้านทานที่แข็งแรง หลังจาก 2 วัน ผ้าพันแผลบางบนศีรษะหัสดินก็ถูกถอดออก นอกจากนี้เขายังสามารถลุกขึ้นมานั่งได้ และสามารถทานอาหาร พูดคุยหยอกล้อได้
สองวันนี้ยู่ยี่ก็มาอยู่เป็นเพื่อนเขา ผ้าพันแผลบางบนแขนยังไม่ถูกถอดออก เขาบาดเจ็บลึกถึงกระดูก ต้องใช้เวลานานถึงจะดีขึ้นได้
ในตอนกลางวัน ชฎารัตน์ก็มา ยู่ยี่นั้นไม่ได้กลับบ้านมา 2 วันแล้ว ตอนนี้จึงคิดที่จะกลับบ้าน เพื่อเปลี่ยนเสื้อผ้า
แต่ว่าเธอเพิ่งจะได้ลุกยืนขึ้น หัสดินก็ลุกขึ้นนั่งตามเธอ แม้ว่าจะไม่ได้พูด แต่สายตากลับจ้องมองตรงมาที่ยู่ยี่
ชฎารัตน์ก็หันไปมองเช่นกัน ยู่ยี่สัมผัสได้ถึง 2 สายตาที่ส่งมาจากข้างหลัง เธอจึงหันกาย กลับไปกวาดตามองคนทั้งคู่ “ฉันจะกลับไปเปลี่ยนเสื้อผ้าค่ะ”
เสื้อผ้าที่เปลี่ยนนั้นเธอยังไม่ได้ซัก หลายวันมานี้ อากาศเปลี่ยนอีกแล้ว ก้อนเมฆนั้นทั้งดำทั้งลอยต่ำ
หลังจากนั้นไม่นาน ยู่ยี่ก็ไปบริษัท นึกไม่ถึงเลยว่า รอบนอกบริษัทจะเต็มไปด้วยฝูงชน เสียงทะเลาะเบาะแว้งดังขึ้น กำลังสบถสาปแช่งกันอยู่
เมื่อเข้าไปใกล้ ก็เห็นญาติสนิทของผู้เสียชีวิต พวกเขาดึงกระดาษออกมา ยาวมาก บนนั้นเขียนไว้ว่า——-ฆ่าคนเป็นผักปลา เพิกเฉยต่อกฎหมาย เสียงวิพากษ์วิจารณ์นั้นอึกทึกดังก้อง
เมื่อเห็นยู่ยี่เข้ามา พวกเขาทั้งหมดต่างกรูกันไปหาเธอ ร้องตะโกน สาปแช่ง และตำหนิดุด่า
หลังจากพนักงานรักษาความปลอดภัยของบริษัทเห็นเข้า ก็รีบเร่งเดินเข้าไปข้างหน้า หยุดคนหลายคนไว้ เพื่อให้ยู่ยี่เข้าไปในบริษัทอย่างราบรื่น
ผู้จัดการกำลังสูบบุหรี่ สีหน้าดูเศร้าซึม
ยู่ยี่ถามเขา เรื่องนี้ยังไม่ได้จัดการเหรอคะ?