บทที่ 504 ลูกหมีสีเงิน

เซียนกระบี่มาแล้ว![剑仙在此]

ตอนที่ 504 ลูกหมีสีเงิน

ฉ่า! ฉ่า! ฉ่า!

นั่นคือเสียงเนื้อมนุษย์ที่กำลังไหม้ไฟ

ร่างกายของจูปี้ฉีสูญสลายไปอย่างรวดเร็ว

ผิวหนังกลายเป็นเถ้าถ่านปลิวไปตามสายลม

แม้ว่าค่ายอาคมสนามรบศักดิ์สิทธิ์แห่งนี้จะมีพลังเกื้อหนุนจูปี้ฉีเป็นพิเศษ แต่สุดท้าย ชายชราก็ไม่สามารถรวมร่างกลับคืนมาใหม่ได้อีกแล้ว

“ทำไมกัน… มันเป็นเช่นนี้… ได้อย่างไร?”

จูปี้ฉีเบิกตามองบุรุษหน้ากากแดงผู้มีเปลวไฟสีเงินลุกโชนอยู่ฝั่งตรงข้าม พร้อมกันนั้น ชายชราก็สัมผัสได้ถึงความอ่อนแอและความหมดหวังอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน

ความพ่ายแพ้ในการต่อสู้ครั้งนี้ นับว่าน่าอับอายยิ่งกว่าความพ่ายแพ้ที่เกิดขึ้นต่อติงซานฉือหลายเท่าตัว

อย่างน้อยในวันนั้น เขาก็มีโอกาสเป็นผู้ชนะ

แต่วันนี้ จูปี้ฉีกลายเป็นฝ่ายตั้งรับตั้งแต่ต้นจนจบ

ต่อให้มีตัวช่วยพิเศษเป็นค่ายอาคมรอบกาย…

มันก็ไร้ประโยชน์อยู่ดี

ไม่มีอะไรจะน่าเหลือเชื่อมากไปกว่านี้อีกแล้ว

ในห้วงเวลาสุดท้ายของชีวิต จูปี้ฉีกลับมามีความสงบเยือกเย็นอีกครั้ง

“ชีวิตคนเราย่อมมีเกิดและตาย…”

“นายท่านขอรับ ข้าจะยังคงยึดคำสาบานที่เคยให้ไว้กับท่านตราบลมหายใจสุดท้าย นับจากนี้ไป ต่อให้ข้าต้องตกนรกหมกไหม้ แต่ถ้าได้เกิดใหม่เมื่อใด ข้าจะขอกลับมาเป็นบริวารของท่านอีกครั้ง!”

แล้วศีรษะของชายชราก็เปลี่ยนสภาพกลายเป็นดวงไฟลูกหนึ่ง

 ในช่วงเวลาสุดท้ายของชีวิต จูปี้ฉีได้ตัดสินใจแล้ว

เขาจะไม่มีทางทรยศต่อนายท่านเด็ดขาด

“ชีวิตของข้าคงจบสิ้นลงแต่เพียงเท่านี้แล้วสินะ ฮ่าฮ่าฮ่าฮ่า น่าเสียดายที่ข้าไม่ได้ลองชิมรสสุราที่หมักจากสมองและหัวใจของเจ้า…” ใบหน้าที่บิดเบี้ยวของมือกระบี่สุราโลหิตยิ้มออกมาเป็นครั้งสุดท้าย

หลังจากนั้น ศีรษะของจูปี้ฉีก็สลายตัวกลายเป็นหมอกควันสีน้ำเงินลอยหายไปกับสายลม

กลุ่มมือกระบี่ที่รับชมการถ่ายทอดสดอยู่โดยรอบตกตะลึงถึงขั้นพูดอะไรไม่ออก

จูปี้ฉีไม่สามารถชุบชีวิตกลับคืนมาได้อีกแล้ว

เมฆดำบนท้องฟ้าจางหายไป

หลินเป่ยเฉินทิ้งตัวลงไปยืนอยู่บนโขดหินก้อนหนึ่ง

เกาะกลางทะเลแห่งนี้กำลังจะจมตัวลงไปใต้น้ำในไม่ช้า

มองดูรอบบริเวณภายในคลองสายตา น้ำทะเลกำลังเพิ่มระดับขึ้นมาด้วยความรวดเร็ว

“ไม่เอาสิวะ เราจะมากลัวทะเลตอนนี้ไม่ได้นะเฮ้ย…”

หลินเป่ยเฉินพยายามกระตุ้นตัวเองอยู่ในใจ

แม่งเอ๊ย

เมื่อกี้นี้เขามัวแต่ต่อสู้ จนลืมสนใจสภาพแวดล้อมไปเสียสนิท

ตอนนี้เมื่อมีเวลาได้สำรวจรอบกาย อาการกลัวทะเลของเขาก็กลับมากำเริบอีกครั้ง หลินเป่ยเฉินขาอ่อนระทวย แทบจะหมดแรงยืนทันที

“รีบออกไปจากที่นี่ก่อนดีกว่า”

เด็กหนุ่มโคจรพลังลมปราณและกระโดดตรงไปที่ม่านพลังของค่ายอาคม

โป๊ก!

ศีรษะของหลินเป่ยเฉินโขกเข้ากับม่านพลังอย่างแรง

“เชี่ย…“

หลินเป่ยเฉินหงายหลังล้มลงด้วยความสับสนไม่เข้าใจ

เมื่อคู่ต่อสู้ตายไปแล้ว ม่านพลังก็ต้องสลายตามไปด้วยไม่ใช่หรือ?

แล้วทำไมถึงยังมีม่านพลังกั้นอยู่อีก?

ซู่!

หลินเป่ยเฉินไถลตกลงไปในน้ำทะเล

ตู้ม!

วินาทีต่อมา เขาก็ลอยขึ้นมาในอากาศพร้อมกับโคจรพลังปราณธาตุไฟสีเงินอีกครั้ง

“จงหายไปซะ!”

เปรี้ยง!

กำปั้นของเขากระแทกเข้ากับม่านพลังอย่างแรง

ซู่!

หลินเป่ยเฉินกระเด็นตกน้ำไปอีกครั้ง

วูบ!

เด็กหนุ่มกระโดดกลับขึ้นมาอีกหน

“โว้ยยย เปิดสิวะ”

เขาพยายามใช้กระบี่สายฟ้าฟันลงไปที่ม่านพลัง

ซู่!

หลินเป่ยเฉินถูกดีดสะท้อนกลับลงไปในน้ำเป็นรอบที่สาม

“นี่ล้อกันเล่นใช่ไหมเนี่ย?”

หลินเป่ยเฉินถึงกับตกตะลึงแล้วจริงๆ

แม้แต่กระบี่สายฟ้าก็ยังทำอะไรไม่ได้

เพราะอะไรกันนะ?

น่าอับอายเกินไปแล้ว

เด็กหนุ่มกระโดดขึ้นไปกลางอากาศ พยายามโคจรพลังออกมาเต็มอัตราอีกครั้ง

แต่เมื่อถูกดีดสะท้อนกลับไปอีกรอบ หลินเป่ยเฉินถึงได้แน่ใจแล้วว่าค่ายอาคมนี้มีปัญหา

ปัญหาอยู่ที่ผู้สร้าง

ผู้สร้างค่ายอาคมเหล่านี้ต้องเป็นคุณชายเหลียนซานแน่ๆ

พวกมันตั้งใจเล่นสกปรกตั้งแต่แรก

ต่อให้พวกเขาเป็นฝ่ายชนะ ก็ยังไม่สามารถกลับออกไปจากค่ายอาคมสนามรบศักดิ์สิทธิ์ได้อยู่ดี เมื่อคำนวณดูสถานการณ์แล้ว ตัวแทนทั้งหกคนจากฝ่ายวิหารเทพกระบี่ ก็คงต้องติดอยู่ในค่ายอาคมเหมือนกันหมด

แล้วบรรดานักบวชสาวที่อยู่บนยอดเขานั้นเล่า…

คิดถึงตรงนี้ หลินเป่ยเฉินก็รู้สึกหนังหัวชายิบ

เวรแล้วไง

เขาทำตัวเองเดือดร้อนเข้าจนได้

ก่อนหน้านี้ นักพรตหญิงชินอุตส่าห์กำชับให้เขาอยู่เฝ้าวิหารบนยอดเขา ห้ามไม่ให้หลินเป่ยเฉินยุ่งเกี่ยวกับการต่อสู้ในครั้งนี้เด็ดขาด นั่นหมายความว่านางคงมองออกว่าพวกคุณชายเหลียนซานมีเจตนาเล่นสกปรกตั้งแต่แรก และก็ตั้งใจที่จะเก็บเขาไว้เป็นไพ่ตายของฝ่ายตนเองสินะ?

ถ้าอย่างนั้น…

หลินเป่ยเฉินปวดหัวแทบระเบิด

เขาโคจรพลังปราณธาตุลงไปที่กระบี่สายฟ้าอีกครั้ง และเริ่มต้นฟันม่านพลังอย่างไม่ยอมแพ้

ณ ภูเขาเสี่ยวซี

“เกิดอะไรขึ้น?”

แม่ทัพของหน่วยนักรบมังกรดำลู่หมินรีบนำบริวารของตนเองเดินเท้าตรงไปที่ตีนเขาด้วยความเร็วไว ตรงนั้นมีนายทหารกลุ่มหนึ่งยืนรออยู่ด้วยสภาพเลือดท่วมตัว สีหน้าปรากฏความตื่นกลัวสุดขีด ลู่หมินถามด้วยน้ำเสียงแข็งกร้าว “คนอื่นหายไปไหนกันหมด?”

“ท่านแม่ทัพขอรับ…”

ทหารยศนายกองคนหนึ่งคุกเข่าลง รายงานด้วยเสียงสั่นเครือ “บนภูเขาลูกนี้เป็นที่อยู่ของอสูรตัวหนึ่ง พี่น้องของพวกเราถูกกับดักของมันเล่นงาน… ล้วนเสียชีวิตอย่างน่าอนาถทั้งหมดแล้วขอรับ…”

“ว่าไงนะ?”

ลู่หมินสูดหายใจลึก ถามเสียงเข้ม “นายทหาร 2,000 คนจัดการสัตว์อสูรตัวเดียวไม่ได้เนี่ยนะ? มันเป็นสัตว์อสูรชนิดไหนกัน?”

“มันมีขนาดตัวเล็กมากขอรับ ลักษณะเหมือนลูกหมีตัวน้อยที่ผ่านการกลายพันธุ์มาแล้ว มันวางกับดักยาพิษไว้ทั่วภูเขาแห่งนี้ ซ้ำยังมีความสามารถพิเศษควบคุมกระแสลมได้อีกด้วย ระดับพลังของมันสูงล้ำมากขอรับ เมื่อผู้คนตกลงไปสู่กับดักของมัน ร่างกายก็จะระเบิดกลายเป็นเศษเล็กเศษน้อย นอกจากนี้ เจ้าลูกหมียังมีพลังหมัดหนักหน่วง ไม่ว่าผู้ใดถูกมันต่อย ร่างกายก็จะแตกกระจายเช่นกัน แม้แต่ขุนพลฉู่กับขุนพลเฉิงก็หนีไม่รอด… ท่านแม่ทัพขอรับ… เจ้าลูกหมีตัวนี้มันอำมหิตเกินไปแล้ว…”

นายกองผู้นั้นร้องไห้ออกมาน้ำตาไหลพราก

หัวใจของลู่หมินกระตุกวูบ

เพื่อภารกิจขุดเหมืองแร่หินบูชาในครั้งนี้ ท่านข้าหลวงใหญ่แห่งแคว้นซินจินถึงกับยกกองทัพหน่วยนักรบมังกรดำมาที่นี่ถึงสองกองพัน

และนายทหารทั้งสองกองพันนั้น ก็มีผู้บังคับบัญชานามว่าฉู่เหรินหวังกับเฉิงหยูหลง ทั้งสองคนเป็นผู้มีพลังระดับยอดปรมาจารย์ ผ่านสมรภูมิรบมามากมาย แต่เมื่อเผชิญหน้ากับสัตว์อสูรที่เหมือนลูกหมีสีเงินตัวนี้ กลับต้องตกตายภายใต้หมัดเดียวอย่างนั้นหรือ?

ลูกหมีสีเงิน?

มันเป็นสัตว์อสูรประเภทไหนกัน?

หรือจะเป็นหมีหิมะจันทรา?

หรือว่าหมีสายฟ้า?

แต่ไม่ว่าจะเป็นหมีอสูรสายพันธุ์ไหน มันก็ไม่ควรมีระดับพลังน่ากลัวถึงขั้นนี้

อีกอย่าง ตามรายงานบอกว่ามันเป็นเพียงลูกหมีเท่านั้น ยิ่งไม่สมควรมีพลังระดับนี้เด็ดขาด

หรือว่าการอาศัยอยู่บนภูเขาเสี่ยวซีที่มีแร่ธาตุอุดมสมบูรณ์ จะทำให้เจ้าลูกหมีตัวนี้เกิดการกลายพันธุ์?

“ถ้าเป็นอย่างนั้นก็ดีเลยน่ะสิ มันคงมีสติปัญญาเหมือนมนุษย์คนหนึ่ง ถ้าจับเอามาฝึกเป็นสัตว์เลี้ยง คงสร้างประโยชน์ให้แก่กองทัพได้มากมายมหาศาล…”

ลู่หมินคิดด้วยดวงตาเป็นประกายแวววาว

“เสี่ยวเกา เจ้ากลับไปรายงานท่านข้าหลวงใหญ่ ขอกำลังเสริมมาช่วยพวกเราบุกเข้าไปในเหมืองแร่หิน”

เขาสั่งงานกับนายทหารที่ยืนอยู่ข้างตัว

นายทหารผู้นั้นหมุนตัวกระโดดออกไปในทันที

“ส่วนคนที่เหลือตามข้ามา เราจะเข้าไปล่าลูกหมีตัวนี้ด้วยกัน”

แม่ทัพลู่หมินพูดด้วยความมั่นใจ

ห่างออกไป 200 วา

อากวงนั่งล่องหนอยู่บนยอดไม้ มันสามารถมองเห็นกลุ่มคนเหล่านั้นได้ตั้งแต่ระยะไกล แล้วความเดือดดาลก็ปรากฏขึ้นบนใบหน้าที่แสนน่ารักน่าชังนั้น

“เจ้าพวกมนุษย์สองขาเหล่านี้ กล้าดีอย่างไรถึงเข้าใจผิดคิดว่าข้าเป็นลูกหมีไปเสียได้ ความผิดครั้งนี้นับว่าให้อภัยไม่ได้เด็ดขาด!” ในดวงตาของอากวงปรากฏเปลวไฟแห่งความโกรธแค้นปะทุขึ้นมาอย่างร้อนแรง

มันกระโดดลงจากยอดไม้ ยืดขาหน้าออกไปเกี่ยวกับกิ่งไม้และโหนตัวลงสู่พื้นดินด้วยความคล่องแคล่ว

ขอต้อนรับสู่การพิพากษา!

เจ้าพวกมนุษย์สองขาหน้าโง่

ราชันหนูอสูรคิดด้วยจิตสังหารเปี่ยมล้น

ในเมืองหยุนเมิ่ง

สถานศึกษากระบี่ที่สาม

นายทหารจำนวนห้ากองร้อยถูกยกขบวนมาห้อมล้อมพื้นที่รอบๆ สถานศึกษาได้พักใหญ่แล้ว

พวกเขาอนุญาตให้ผู้คนเข้าไปได้ แต่ไม่อนุญาตให้ผู้คนกลับออกมา

บัดนี้ มีอาจารย์ในสถานศึกษาส่วนหนึ่งได้รับบาดเจ็บ เพราะเกิดเหตุปะทะกับนายทหารเหล่านี้ และคณะอาจารย์ผู้มีเรื่องก็ถูกจับมัดมานั่งคุกเข่าอยู่ที่หน้าประตูทางเข้าสถานศึกษา

นอกจากนี้ ก็ยังมีลูกศิษย์ของสถานศึกษากระบี่ที่สามอีกจำนวนหนึ่ง ที่มีเรื่องกับกองทหารจากต่างเมือง และถูกจับมัดมานั่งอยู่หน้าสถานศึกษาทั้งที่ได้รับบาดเจ็บไม่ใช่น้อยเช่นกัน

บริเวณถนนปากทางเข้าสถานศึกษา เป็นที่ตั้งของโรงน้ำชาแห่งหนึ่ง

ห้องน้ำชาบนชั้นสองในขณะนี้ ชายวัยกลางคนผู้สวมใส่เสื้อผ้าสีม่วงเข้มคนหนึ่ง กำลังยืนมองออกไปนอกหน้าต่าง

ร่างกายของเขาสูงใหญ่เหมือนหอคอยเหล็ก มีสง่าราศีต่างจากคนทั่วไป มือซ้ายไพล่ไปด้านหลัง มือขวายกขึ้นมาระดับหน้าอก กำลังหมุนลูกแก้วหยกคู่หนึ่งเล่นในมือ

ลูกแก้วหยกคู่นี้ไม่มีเสียง แต่มีประกายแวววาวสะดุดตา

ชายวัยกลางคนผู้นี้เป็นหนึ่งในสี่ผู้ทรงอำนาจที่สุดของมณฑลเฟิงอวี่ยุคปัจจุบัน

ท่านข้าหลวงใหญ่แห่งแคว้นซินจิน หนี่หยาง

บุคคลผู้นี้สวมใส่ชุดเกราะลมปราณอยู่ด้านในเสื้อผ้าตลอดเวลา

ทุกครั้งที่กะพริบตา ความอำมหิตก็จะฉายแววเด่นชัดมากขึ้น

เพียงมองแวบเดียว ทุกคนก็รู้แล้วว่าชายวัยกลางคนผู้นี้ไม่ใช่คนดีแน่นอน