บทที่ 505 นางเคยสังหารเทพเจ้ามาแล้ว

เซียนกระบี่มาแล้ว![剑仙在此]

ตอนที่ 505 นางเคยสังหารเทพเจ้ามาแล้ว

ด้านหลังของหนี่หยางยืนไว้ด้วยชายหนุ่มในชุดเกราะเหล็ก 4 คน

ทุกคนล้วนเป็นบุตรชายของเขา

แต่บุตรชายเหล่านี้แตกต่างไปจากหนี่ฟู่กวงที่เสียชีวิตภายใต้เงื้อมมือของหลินเป่ยเฉิน

ทุกคนต่างเป็นนายทหารที่มีวิทยายุทธ์ระดับสูง

เป็นสี่ขุนพลที่หนี่หยางมีความเชื่อใจมากที่สุด

“ท่านพ่อ บัดนี้การตรวจสอบวิหารยังไม่เสร็จสิ้น ท่านพ่อมีความคิดเห็นอย่างไรต่อพวกของคุณชายเหลียนซานกับคุณชายเว่ยหมิงเฉินบ้างขอรับ?”

บุตรชายคนที่สี่ส่งเสียงถามออกมาด้วยความสงสัย

การโจมตีสถานศึกษากระบี่ที่สาม เป็นการกระทำนอกเหนือแผนการของเว่ยหมิงเฉิน

หนี่หยางหันหน้ากลับไปมองบุตรชายคนที่สี่

มือของเขายังคงหมุนวนลูกแก้วหยกต่อไปในขณะที่ตอบว่า “ค่ายอาคมสนามรบศักดิ์สิทธิ์ถูกจัดสร้างโดยคุณชายเหลียนซาน ภายในนั้นประกอบไปด้วยค่ายอาคมย่อยอีก 68 ชนิด คุณชายผู้นี้ได้รับการยกย่องให้เป็นผู้ใช้ค่ายอาคมอันดับหนึ่งแห่งเมืองเฉียนหาว มีข่าวลือว่าถ้าศัตรูคนใดได้ตกเข้าไปสู่ค่ายอาคมของเขาแล้ว ก็จะไม่มีทางกลับออกมาได้อีกเด็ดขาด ฮ่าฮ่าฮ่า…”

พูดมาถึงตรงนี้ หนี่หยางก็ยิ้มมุมปากด้วยเหตุผลบางประการ

ก่อนที่เขาจะกล่าวต่อ “คุณชายเหลียนซานมีพื้นเพมาจากครอบครัวขุนนางใหญ่ประจำเมืองเฉียนหาว มีฐานะสูงส่งมากกว่าคนทั่วไป ส่วนทางด้านของเว่ยหมิงเฉินเป็นยอดอัจฉริยะในทุกๆ ด้าน เขามีสถานะเป็นมือกระบี่จากเมืองไป๋หยุนและยังเป็นผู้ที่ถูกเลือกจากเทพีกระบี่ด้วยเช่นกัน มีหลายคนบอกว่าอนาคตของเขาต้องได้เป็นแม่ทัพใหญ่ในจักรวรรดิ แต่ข้าค่อนข้างมั่นใจว่าเขาอยากเป็นมากกว่านั้น…”

“ขุมกำลังของเมืองเฉียนหาวบัดนี้เหมือนหม้อน้ำมันที่กำลังเดือดปุด ที่นั่นเต็มไปด้วยมือกระบี่อัจฉริยะและครอบครัวที่ร่ำรวย ด้วยขุมอำนาจเช่นนี้ ในอนาคตข้างหน้าจะต้องกลืนกินสำนักใหญ่น้อยจำนวนนับไม่ถ้วน แม้แต่ผู้ที่มีฝีมือแข็งแกร่งก็ยังต้องยอมศิโรราบ และด้วยความที่ทะนงตนเช่นนี้เอง พวกเขาจึงไม่เคยเกรงกลัวใครหน้าไหนทั้งสิ้น”

“แต่มีอีกเรื่องหนึ่งที่พวกคุณชายเหลียนซานยังไม่รู้…”

“พวกเขาไม่รู้ว่าหัวหน้านักบวชของวิหารเมืองหยุนเมิ่งที่มีนามว่านักพรตหญิงชินนั้น นางน่ากลัวขนาดไหน”

“หึหึ ในอดีตนั้น นักพรตหญิงผู้นี้แม้แต่เทพเจ้าก็เคยสังหารมาแล้ว”

“แผนการทุกอย่างที่เว่ยหมิงเฉินวางเอาไว้ อาจจะต้องถูกทำลายลงด้วยคมกระบี่ของนางก็เป็นได้”

หนี่หยางพูดจบก็หันหน้ามองออกไปนอกหน้าต่างอีกครั้ง ดวงตาของเขายังคงจับจ้องอยู่ที่ประตูทางเข้าสถานศึกษาซึ่งตั้งอยู่ห่างออกไปไม่ไกล

เกิดการต่อสู้ขึ้นอีกแล้ว

ปรากฏว่ามีคณะอาจารย์และลูกศิษย์อีกกลุ่มหนึ่งของสถานศึกษา พยายามจะวิ่งเข้ามาช่วยเหลือกลุ่มคนที่ถูกจับมัดนั่งอยู่หน้าประตูทางเข้า

แต่สุดท้าย คณะอาจารย์และลูกศิษย์กลุ่มนั้นก็ถูกทหารหน่วยนักรบมังกรดำจัดการโต้ตอบกลับไปอย่างหนักหน่วง บางคนหัวร้างข้างแตก บางคนเส้นเอ็นฉีกขาด บางคนได้แต่ร้องตะโกนสาปแช่ง ก่อนที่ใบหน้าจะโดนทุบอย่างรุนแรง ส่งผลให้ฟันในปากร่วงกราวออกมาแทบหมดสิ้น!

“ท่านพ่อขอรับ ในเมื่อนักพรตหญิงชินมีความน่ากลัวถึงขนาดนั้น แล้วทำไมเราถึงไม่อยู่ข้างนางล่ะขอรับ? หากคุณชายเหลียนซานพ่ายแพ้ในการต่อสู้ครั้งนี้ขึ้นมา พวกเราจะทำอย่างไรดี?”

บุตรชายคนที่สี่ถามออกมาอีกครั้ง

ในกลุ่มบุตรชายที่ติดตามมาด้วยในครั้งนี้ นับว่าบุตรชายคนที่สี่เป็นผู้ที่มีความขี้สงสัยมากที่สุด บางครั้งถึงจะโดนดุด่าทุบตีด้วยข้อหาที่มีความขี้สงสัยมากเกินไป แต่เขาก็ยังอดถามออกมาไม่ได้อยู่ดี

“เพราะว่าครั้งนี้ เทพเจ้ายืนอยู่ข้างเดียวกับเว่ยหมิงเฉินน่ะสิ”

ลูกแก้วหยกในมือของหนี่หยางหยุดชะงักการเคลื่อนไหวในระหว่างที่เขาพูดเน้นย้ำทีละคำ

ความประหลาดใจปรากฏขึ้นบนสีหน้าของบุตรชายคนที่สี่

ทันใดนั้น เขาก็ได้เข้าใจความหมายที่ซ่อนอยู่ในคำตอบของบิดา

แต่ชายหนุ่มก็อดถามออกไปด้วยความสงสัยไม่ได้ว่า “แต่นักพรตหญิงชินเคยสังหารเทพเจ้ามาแล้วไม่ใช่หรือขอรับ?”

หลังจากหาถามออกไปแล้ว บุตรชายคนที่สี่ก็เตรียมตัวโดนบิดาทุบตี

เพราะทุกครั้งที่บิดาของเขารำคาญการตั้งคำถามที่มากเกินไป ชายหนุ่มก็มักจะถูกทุบตีอยู่เสมอ

แต่น่าแปลกที่ครั้งนี้บิดายังคงยืนเฉย

และบิดาก็ตอบกลับมาน้ำเสียงราบเรียบ “ว่ากันตามความเป็นจริง นางไม่ใช่เคยสังหารแค่เทพเจ้าองค์เดียว แต่นางเคยสังหารหมู่เทพเจ้าเลยด้วยซ้ำ”

น้ำเสียงของชายชราบอกชัดว่าในเมื่อนักพรตหญิงชินเคยทำได้มาแล้ว นางก็อาจจะทำได้อีกเช่นกัน

บุตรชายจอมสงสัยได้ยินดังนั้นก็เลิกคิ้วสูงและพูดด้วยความร้อนรน “ถ้าอย่างนั้น ก็หมายความว่าการต่อสู้ในครั้งนี้ พวกเรายังคงไม่รู้ว่าใครจะเป็นฝ่ายชนะสิขอรับ ตระกูลหนี่ของพวกเราเป็นหนึ่งในตระกูลขุนนางใหญ่ของจักรวรรดิ แล้วทำไมพวกเราต้องเอาชื่อเสียงเกียรติยศมาเสี่ยงกับการต่อสู้ในครั้งนี้ด้วยเล่า? ทำไมเราถึงไม่รอดูท่าทีไปก่อน?…”

เพี๊ยะ!

หนี่หยางหมุนตัวกลับมายกมือตบหน้าบุตรชายอย่างแรง

“ทำไมเจ้าถึงได้มีคำถามมากมายเช่นนี้นะ…”

“โอ๊ย ท่านพ่อ ลูกผิดไปแล้วขอรับ ลูกผิดไปแล้ว…”

หลังจากนั้น ผู้เป็นบิดาก็จัดการกระทืบบุตรชายเพื่อเป็นการสั่งสอนตามธรรมเนียม

ส่วนบุตรชายอีกสามคนที่ยืนอยู่ด้านหลัง ก็เบือนหน้ามองไปทางอื่นเหมือนไม่เห็นสิ่งที่เกิดขึ้น

หลังจากนั้น บุตรชายคนที่สี่ก็มีสภาพใบหน้าบวมช้ำ จมูกเป็นรอยเขียวช้ำเห็นได้ชัดเจน

“เจ้าสำนึกผิดแล้วหรือยัง?”

“ลูกสำนึกผิดแล้วขอรับท่านพ่อ… แต่ท่านพ่อยังไม่ได้ตอบคำถามลูกเลยนะขอรับ?”

ถึงจะโดนทุบตีไปขนาดนั้น ชายหนุ่มก็ยังอดถามออกมาไม่ได้อยู่ดี

หากหลินเป่ยเฉินมาอยู่ที่นี่และเห็นเหตุการณ์ทั้งหมด เขาก็คงต้องยกนิ้วโป้งชื่นชมในความมุ่งมั่นที่จะหาคำตอบของชายผู้นี้จากใจจริง

หนี่หยางไม่ได้ลงมือกับบุตรชายอีกแล้ว

ท่านข้าหลวงใหญ่แห่งแคว้นซินจินหันกลับมาคลึงลูกแก้วหยกในมือเล่นอีกครั้ง “เจ้าจงจำเอาไว้ การเผาถ่านกลางหิมะนั้นง่ายดายกว่าการทำน้ำแข็งในทะเลทราย การรอดูท่าทีว่าใครเป็นผู้ชนะแล้วค่อยเข้าร่วมด้วยนั้น ถือว่าไม่ใช่ชายชาติทหาร และนับเป็นการเหยียบย่ำศักดิ์ศรีของตนเองเป็นที่สุด”

บุตรชายคนที่สี่ของเขากระซิบว่า “ข้ารู้สึกเหมือนท่านพ่อมีอะไรจะพูดมากกว่านั้น”

หนี่หยางยิ้มออกมาเล็กน้อยและกล่าวว่า “จากวันนี้ไป ข้าจะขอตั้งชื่อให้กับเจ้า”

“เอ๋?”

บุตรชายคนที่สี่สะดุ้งโหยง

สีหน้าของบุตรชายอีกสามคนที่ยืนอยู่ด้านหลังพลันปรากฏความตกตะลึง

ตระกูลหนี่มีกฎประจำตระกูลที่แปลกประหลาดพิสดารอยู่ข้อหนึ่ง

มันเป็นกฎที่ดำรงอยู่มาแล้วหลายร้อยปี

สำหรับกับทายาทหัวหน้าตระกูลที่มีสถานะเป็นลูกนอกสมรส แม้ว่าพวกเขาจะได้รับการคุ้มครองดูแลโดยตระกูลหนี่และสามารถใช้ชีวิตได้อย่างผาสุก แต่ลูกนอกสมรสเหล่านี้จะไม่ได้รับการบรรจุชื่ออยู่ในแผนผังวงศ์ตระกูล ถึงศพจะถูกฝังอยู่ในสุสานประจำตระกูล แต่ลูกนอกสมรสเหล่านั้นจะไม่มีป้ายปักหน้าหลุมฝังศพ ไม่มีผู้ใดสามารถจดจำได้ทั้งนั้น

หนี่ฟู่กวงที่เสียชีวิตด้วยน้ำมือของหลินเป่ยเฉินก็จัดอยู่ในกลุ่มคนเหล่านี้

แต่ถ้าหัวหน้าตระกูลเป็นผู้ตั้งชื่อให้แก่บุตรนอกสมรสคนนั้นด้วยตนเอง นั่นก็เท่ากับเป็นการรับรองและเลื่อนสถานะให้บรรจุบุตรนอกสมรสผู้โชคดีอยู่ในทำเนียบวงศ์ตระกูล และจะมีสถานะเทียบเท่ากับทายาทโดยชอบธรรมทุกประการ

ในประวัติศาสตร์ของตระกูลหนี่ บุตรชายคนที่สี่ผู้นี้นับเป็นบุตรนอกสมรสคนที่สองที่ได้รับการตั้งชื่อโดยหัวหน้าตระกูล

เมื่อได้ยินคำพูดของบิดา ชายหนุ่มก็เบิกตาโตด้วยความตกตะลึง

นี่คือการแสดงความรักของบิดาหลังจากทุบตีเขาอย่างหนักใช่หรือไม่?

แต่การตั้งชื่อให้กับเขา

มีค่ามากกว่าการแสดงความรักหลายเท่านัก

“นับจากนี้ไป เจ้าจะมีชื่อว่าหนี่โมหยาน”

หนี่หยางพูดด้วยน้ำเสียงมุ่งมั่น แต่กลับไม่ได้หันมาชำเลืองมองหน้าบุตรชายสักนิดเดียว

ดวงตาของบุตรชายอีกสามคนที่เหลือแสดงออกถึงความอิจฉาริษยา

พวกเขาไม่เคยได้รับการตั้งชื่อจากคนในวงศ์ตระกูล

ชื่อนี้มัน…

หัวคิ้วของบุตรชายคนที่สี่ขมวดมุ่นเล็กน้อย

“ขอบคุณบิดาสำหรับการตั้งชื่อขอรับ”

หนี่โมหยานรีบคุกเข่าขอบคุณบิดา

ทันใดนั้น เกิดเสียงโวยวายดังขึ้นนอกหน้าต่าง

“หืม? พวกเจ้ารีบมาดูนี่เร็วเข้า”

หนี่หยางพูดด้วยความประหลาดใจ

แล้วกลุ่มบุตรชายก็เดินมารวมตัวกันที่ข้างหน้าต่างและจ้องมองไปยังประตูทางเข้าสถานศึกษากระบี่ที่สาม

บัดนี้ พวกเขาได้เห็นว่ามีชายหนุ่มผู้หนึ่งพร้อมด้วยชายชราอีกสามคนที่สวมใส่เครื่องแบบอาจารย์ของสถานศึกษา กำลังมีเรื่องทะเลาะวิวาทอยู่กับกลุ่มนายทหารหน่วยนักรบมังกรดำอยู่ที่หน้าประตูสถาบัน

เพียงไม่กี่ลมหายใจ การต่อสู้ก็ยุติลง

ครั้งนี้ กลายเป็นฝ่ายนายทหารที่ต้องนอนสะบักสะบอมอยู่บนพื้นดิน

ชายชราทั้งสามคนนั้นมีระดับฝีมือสูงล้ำเกินจินตนาการ เมื่อไม่มีกลุ่มนายทหารคอยขวางทางอีกแล้ว พวกเขาก็รีบตรงเข้าไปช่วยเหลือคณะอาจารย์และกลุ่มลูกศิษย์ที่ถูกจับมัดอยู่หน้าประตู

โดยเฉพาะชายชราที่มีคิ้วหนา ดวงตาโต เสียงคำรามของเขาเหมือนกับเสียงฟ้าผ่า กำปั้นทั้งสองข้างที่ใช้ออกมาเป็นอาวุธนั้นแข็งแกร่งเหมือนกับเหล็กกล้า สามารถทำลายล้างทุกสิ่งทุกอย่างที่ขวางหน้าได้อย่างง่ายดาย

แม้แต่หัวหน้าหน่วยนักรบมังกรดำประจำกลุ่มนี้ ซึ่งมีพลังอยู่ในขั้นปรมาจารย์ตอนปลาย ก็ยังถูกกำปั้นของชายชราซัดลอยกระเด็นออกไปไกลเป็นสิบวา ตั้งแต่หัวจรดเท้าปกคลุมไปด้วยเลือดสีแดงสด และไม่สามารถกลับมาลุกขึ้นยืนได้อีก…

“เจ้าพวกสุนัขข้างถนนไม่รู้จักที่ต่ำที่สูง พวกมันรู้หรือไม่ว่ากำลังมีเรื่องอยู่กับใคร?”

บุตรชายคนที่หกคำรามออกมาด้วยความโกรธแค้น

“ท่านพ่อ อนุญาตให้ลูกได้ออกไปสั่งสอนพวกมันด้วยเถิด” บุตรชายคนที่เจ็ดร้องขอและรอรับคำสั่ง