บ่าวใช้ตอบรับ ขี่ม้ากลับ
รองแม่ทัพชุยกลับค่ายทหารมา และตะโกนพูดกับทหารที่กำลังฝึกซ้อมกันอยู่ว่า “รีบรวมพล เกิดเรื่องใหญ่ขึ้นแล้ว”
ทหารทั้งหมดนั้นได้ล้อมเข้ามา แล้วต่างถามว่า “เกิดเรื่องใหญ่อันใดขึ้น จะต้องออกศึกอีกแล้วอย่างนั้นหรือ”
รองแม่ทัพชุยได้ยื่นมือไปเคาะหัวนายทหารคนหนึ่งแล้วพูดว่า “บ้านแกสิ รู้แค่เรื่องสู้รบอย่างนั้นหรือ ทหารไม่มีเรื่องอื่นนอกจากสู้รบแล้วหรือไง”
ถ้าร้อนใจไปมากกว่านี้ก็อยากจะเตะเขาไม่ไหว “พี่ชุย ท่านอย่าเล่นลิ้นได้หรือไม่ พูดมาเร็วเข้า เกิดเรื่องใหญ่อะไรขึ้นกันแน่”
รองแม่ทัพชุยตะโกนเสียงดังขึ้นไปอีกว่า “วันนี้ท่านแม่ทัพจะไปสู่ขอคู่ครอง เกรงก็แต่ว่าอีกฝ่ายจะไม่ตอบรับ ให้พวกเราคอยไปเป็นกำลังเสริม”
“ไชโย” เหล่าแม่ทัพก็ก็คึกครื้นขึ้นมา
“เรื่องจริงหรือเนี่ย แม่ทัพไปมีหญิงสาวในดวงใจตั้งแต่เมื่อใดกัน” มีคนถามด้วยความสงสัย
“ท่านแม่ทัพจะสู่ขอคู่ครองอย่างนั้นหรือ” มีคนถามด้วยความตื่นเต้น
มีคนโมโหจนเหยียบเท้าเขาไปทีหนึ่ง “บ้าเอ้ย เรื่องใหญ่ขนาดนี้เหตุใดจึงไม่บอกให้เร็วล่ะ ยังจะมาแกล้งพวกเราอีก”
เหล่าทหารต่างก็คึกครื้นขึ้นมาทันทีทันใด
รองแม่ทัพชุยตะโกนเสียงดังว่า “ท่านแม่ทัพบอกว่าให้ข้านำกำลังเสริมไปยี่สิบนาย ที่เหลือกก็ให้อยู่ที่นี่ช่วยเหลือการทหาร พวกเจ้าว่า…ใครกันที่จะอยู่ที่นี่”
ท่านแม่ทัพไปสู่ขอคู่ครอง นี่เป็นเรื่องใหญ่ ทุกคนก็อยากที่จะแย่งกันไปเป็นธรรมดา จากนั้นก็วุ่นวายขึ้นมาทันที
รองแม่ทัพชุยตะโกนเสียงดังว่า “อย่าเสียงดัง ฟังข้าพูด”
เหล่าทหารนั้นเงียบลง แล้วมองไปที่เขา
“ใช้วิธีเดิม จับฉลาก ใครจับได้คนนั้นก็ได้ไป ใครจับไม่ได้ก็อยู่ที่นี่”
เหล่าทหารไม่ได้มีความเห็นอื่นอันใด เหล่าทหารประหนึ่งรังผึ้งหนึ่งรังมุ่งเข้าไปที่เต็นท์ทหาร เขียนฉลากออกมาหลายสิบใบอย่างรวดเร็ว แล้วโยนไปที่บนโต๊ะในเต็นท์ทหาร
เหล่าทหารได้แย่งกันมาไว้ในมือ ต่างรีบรนเปิดฉลากออก คนได้ที่เขียนว่าไปก็ดีใจจนกระโดด แต่คนที่ได้เขียนว่าไม่ก็แตะขาโต๊ะไปหนึ่งที รองแม่ทัพชุยไม่ได้เข้าร่วม เฝ้ามองพวกเขาจับจนหมด แล้วตะโกนบอกเหล่าทหาร ให้ไปเก็บกวาดให้เรียบร้อยโดยเร็ว ท่านแม่ทัพให้เวลาเราหนึ่งชั่วโมงในการเดินทางไปถึงค่ายทหาร
คนที่จับว่าได้ไปก็เดินไป ส่วนคนที่จับได้ว่าไม่นั้นก็ได้แต่มองเขา
“มองข้าด้วยเหตุใด รีบกลับไปฝึกเสีย ถ้าหากข้าพบว่าพวกเจ้าแอบอู้ล่ะก็ กลับมาข้าจะลงโทษตามกฎทหาร” รองแม่ทัพชุยตะโกนบอกพวกเขา
เหล่าทหารหลายคนต่างก็อาลัยอาวรณ์ที่จะออกจากลานทหารไปฝึก เป็นเพราะว่าในใจยังโกรธอยู่ เวลาที่ทำการฝึกก็จะโหดกว่าปกติเป็นธรรมดา เหล่าทหารต่างก็ร้องโอดโอยกัน และแน่นอนนี่เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นหลังจากนั้น
ว่าแล้วหลังจากที่เหล่าทหารนั้นเก็บข้าวของเสร็จนั้น รองแม่ทัพชุยก็ขึ้นขี่บนหลังม้าก่อน แล้วนำหน้าเหล่าทหารมาที่ค่ายอย่างรวดเร็ว
นายประตูนั้นรู้อยู่แล้ว เลยเปิดให้พวกเขาเข้าไป
เหล่าทหารนั้นตื่นเต้นจนมาถึงที่หน้าลานหลัก มองเห็นว่าข้างในเต็มไปด้วยสินสอดที่เอาไว้ใช้สู่ขอ จึงไม่ได้เข้าไป ยืนอยู่ด้านนอกของลาน มีเพียงแต่รองแม่ทัพชุยคนเดียวที่เดินเข้าไป
ลุงฝูได้ทำการนำสินสอดของขวัญทั้งหมดมาตรวจสอบเรียบร้อยแล้ว แล้วเอาผ้าคลุมเอาไว้ เมื่อเห็นท่านรองแม่ทัพชุยเดินเข้า ก็ยิ้มทักทายว่า “ท่านแม่ทัพอยู่ด้านใน ท่านเข้าไปสิ”
ท่านรองแม่ทัพชุยพยักหน้าตอบรับกลับไป แล้วเดินกลับเข้าไปในห้องรับแขก แล้วรายงานอย่างเสียงดังฟังชัดก้องกังวาลว่า “ท่านแม่ทัพขอรับ พวกเรามาพร้อมแล้ว”
ฉู่เหวินเจี๋ยมองไปที่เขา แล้วออกคำสั่ง “วันนี้ เป็นวันสำคัญของข้า พวกเจ้าจงตั้งใจให้มาก”
รองแม่ทัพชุยตอบรับด้วยความตื่นเต้นว่า “วางใจเถิด ท่านแม่ทัพ ข้าทั้งหลายจะไม่ทำให้ท่านขายหน้าเป็นแน่แท้”
พระชายาฉีลุกขึ้นยืนแล้วพูดว่า “ไปกันเถอะ ยามนี้กำลังดี”
ฉู่เหวินเจี๋ย เมิ่งอี้เซวียนและเมิ่งเชี่ยนโยวนั้นก็ลุกขึ้น และก็ออกมาจากห้องรับแขก
คนรับใช้ในจวนมีไม่เยอะ อีกทั้งยังมีคนพิการอีก ก็คงมีแต่แม่ทัพในกองทัพที่จะต้องยกสินสอดไปกันเอง ฉู่เหวินเจี๋ยโบกมือให้แม่ทัพยี่สิบนายเข้ามาที่ลาน ยกสินสอดขึ้นเดินไปที่ด้านหลังของเขาแล้วออกจากจวน
ฉู่เหวินเจี๋ยใส่ชุดเกราะแม่ทัพขึ้นหลังม้าเดินไปข้างหน้า เหล่าแม่ทัพทั้งหลายถือสินสอดตามกันมาอยู่ด้านหลัง พระชายาฉีและเมิ่งเชี่ยนโยวนั่งบนรถม้าคันเดียวกัน ตามหลังเหล่าแม่ทัพทั้งหลาย รถม้าของหวงฝู่อี้เซวียนตามอยู่ท้ายสุด
คนทั้งกลุ่มนี้เดินทางมุ่งหน้าไปที่จวนเฝิง
การศึกครั้งนี้ใหญ่หลวงนัก เลยเป็นที่สนใจอย่างมากกับผู้คนที่เดินผ่านไปมา อีกทั้งคนที่รู้ว่าบนรถม้านั้นคือแม่ทัพใหญ่ ในใจก็ได้แต่คิดสงสัย เลยตามหลังรถม้าไปดูว่าแท้จริงแล้วเกิดอะไรขึ้นกันแน่ ดังนั้น พอถึงหน้าประตูจวนเฝิง ด้านหลังก็เต็มไปด้วยผู้คนที่แห่แหนหันมาดูว่าเกิดอะไรขึ้นจนถนนเส้นนั้นถูกปิด
นายประตูจวนเฝิงนั้นไม่รู้จักฉู่เหวินเจี๋ย เมื่อเห็นว่ามีแม่ทัพมากมายถือของขวัญสินสอดมา ก็งงเป็นไก่ตาแตกเลย อ้าปากค้างไป แล้วมองไปที่ฉู่เหวินเจี๋ยที่กำลังลงจากม้าแล้วเดินมาที่ตรงหน้าตนอย่างฉงน
ฉู่เหวินเจี๋ยพูดอย่างดุดันว่า “ข้าคือฉู่เหวินเจี๋ย รบกวนไปรายงานเสียหน่อย วันนี้ข้ามาสู่ขอคู่ครอง”
เมื่อได้ฟังชื่อเสียงเรียงนามกันแล้ว นายประตูก็ได้รู้โดยันทีว่าเขานั้นเป็นแม่ทัพใหญ่ของราชสำนัก ก็ตกใจถึงขนาดที่ไม่ได้ตอบรับ วิ่งเข้าไปภายในจวนอย่างรวดเร็ว ร้องตะโกนเสียงดังอย่างไร้มารยาทว่า “นายท่านขอรับ ฮูหยินขอรับ เกิดเรื่องใหญ่แล้ว มีแม่ทัพใหญ่มากมายมารอที่หน้าประตูเพื่อสู่ขอคู่ครองขอรับ”
นายประตูนั้นวิ่งไปตะโกนไป กว่าจะวิ่งไปถึงลานหลัก คนทั้งจวนเฝิงก็รู้หมดแล้วว่ามีแม่ทัพใหญ่มาสู่ขอคู่ครอง
เมื่อคืนนี้ฮูหยินเฝิงเข้าใจถึงสัญญาณที่เมิ่งเชี่ยนโยวส่งมาให้ รับรู้ว่าสองวันนี้แม่ทัพใหญ่จะมาสู่ขอคู่ครอง ก็เลยได้ปรึกษากับนายท่านเฝิงว่าจะรับมืออย่างไร เมื่อได้ยินเสียงของนายประตู ทั้งสองคนก็ลุกยืนขึ้นอย่างตกใจ นายท่านเฝิงเดินมาที่หน้าประตูอย่างรวดเร็ว เปิดประตูออก แล้วถามอย่างรีบร้อนว่า “ท่านแม่ทัพใหญ่มาสู่ขอคู่ครองนั้นเป็นความจริงหรือ”
นายประตูนั้นวิ่งมาจนหายใจแทบไม่ทัน ได้แต่พยักหน้าตอบ สูดหายใจเข้าออกแล้วตอบว่า “เป็นท่านแม่ทัพใหญ่ เขาเป็นคนบอกชื่อเอง และยังตามหลังมาด้วยแม่ทัพนายกองอีกหลายสิบ ถือสินสอดมา บอกว่ามาสู่ขอคู่ครอง กระผมยังเห็นรถม้าของจวนอ๋องฉีที่ตามหลังมาอีกสองคันอีกด้วย
ในบรรดารถม้าของชนชั้นสูงในเมืองหลวงนั้นต่างก็มีสัญลักษณ์เป็นของตัวเอง ดังนั้นนายประตูก็เลยพูดแบบนี้
นายท่านเฝิงและฮูหยินเฝิงนั้นตกใจเข้าไปอีก หันหน้าสบตากัน นายท่านเฝิงก็ได้ออกคำสั่งแก่นายประตูว่า “รีบไปรายงานผู้ดูแลเสีย ให้เขารวบรวมคนในจวนออกไปต้อนรับ”
นายประตูตอบรับแล้ววิ่งออกไป
นายท่านเฝิงยังได้ออกคำสั่งกับแม่บ้านที่ยืนอยู่ตรงปากประตูว่า “ให้ไปรายงานคุณชาย คุณหนูใหญ่ และคุณหนูรอง ให้พวกเขารีบไปที่ประตูทำการต้อนรับโดยเร็ว”
แม่บ้านตอบรับแล้วก็รีบวิ่งออกไปทันที
นายท่านเฝิงและฮูหยินเฝิงหันหน้ามองกันและกัน รู้สึกว่าไม่มีอะไรที่ไม่พร้อม จึงรีบเดินมุ่งหน้าไปที่ประตูจวน
นายน้อยและฮูหยินแห่งจวนเฝิงต่างก็ได้ยินเสียงตะโกนของนายประตูเช่นเดียวกัน จึงรีบเดินออกมาจากบ้านอย่างรวดเร็ว พอดีกับที่แม่บ้านของลานหลักมาเรียกพวกเขา แล้วก็มาที่ประตูจวนอย่างทันทีทันใด
สองพี่น้อเฝิงจิ้งเหวินและเฝิงจิ้งซูกำลังพูดกันอย่างเบาๆ ใต้ผ้าห่มบนเตียงในบ้าน ก็ได้ยินเสียงของนายประตูเช่นกัน เฝิงจิ้งเหวินก็รีบออกจากผ้าห่มลงจากเตียงมาใส่รองเท้า เฝิงจิ้งซูนั้นก็อยากที่จะตามลงมาด้วย เฝิงจิ้งเหวินห้ามไว้บอกว่า “ร่างกายของเจ้ายังไม่หายดี นั่งอยู่บนเตียงนั่นแหละ แม่ทัพใหญ่ไม่โทษเจ้าหรอก
เฝิงจิ้งซูอาการไม่ค่อยดีมาตลอด หลังจากที่ได้ฟังคำพูดของเฝิงจิ้งเหวินก็ไม่ได้ดื้อดึง แล้วก็ขึ้นไปนั่งบนเตียงอย่างเชื่อฟัง
แล้วเฝิงจิ้งเหวินก็วิ่งออกมาอย่างรวดเร็ว ไปที่ประตูจวนอย่างรีบร้อน
หลังจากที่นายประตูวิ่งเข้าไปอย่างรีบร้อนนั้น พระชายาฉีและเมิ่งเชี่ยนโยวก็ได้ลงจากรถม้าเช่นกัน เดินไปที่หน้าประตูจวนเฝิง หวงฝู่อี้เซวียนก็ได้แต่นั่งอยู่บนรถม้า ไม่ได้ทำอะไรทั้งสิ้น
คนในจวนมากันพร้อมหน้าแล้ว นายท่านเฝิงและฮูหยินเฝิงเดินนำออกมาจากประตูจวน เห็นฉู่เหวินเจี๋ยและเมิ่งเชี่ยนโยวรวมไปถึงชนชั้นสูงที่อยู่ข้างๆ ตรงหน้าประตูจวน หน้าตาละม้ายคล้ายคลึงกับฉู่เหวินเจี๋ย นายท่านเฝิงเดาว่าเป็นพระชายาฉี จึงได้ออกคำสั่งให้ทุกคนคุกเข่าทำความเคารพ “ข้าน้อยเฝิงเต๋อและเหล่าคณะขอแสดงความเคารพแด่พระชายาฉีและท่านแม่ทัพ”
พระชายาฉีรีบพยุงให้ลุกขึ้น กล่าวว่า “ลุกขึ้นเถิด วันนี้พวกเราบุ่มบ่ามมาสู่ขอคู่ครอง ขอให้ท่านเฝิงอย่าได้ถือสา”
พระชายาฉีและแม่ทัพใหญ่มาสู่ขอคู่ครองด้วยตนเองนั้น เป็นการให้เกียรติตระกูลเฝิงของข้าเป็นอย่างยิ่ง เฝิงเต๋อฟังคำพูดของพระชายาฉีแล้วนั้น รีบร้อนตอบกลับไปว่า “พระชายากล่าวเกินไปแล้วขอรับ”
พระชายาฉียิ้มรับแล้วผายมือว่า “ทุกท่านจงลุกขึ้นเถิด”
ทุกคนลุกขึ้น แล้วเบี่ยงตัวไปยืนเรียงกันเป็นแถว
เฝิงเต๋อได้ยื่นมือออกมาแสดงท่าทีเชื้อเชิญ “พระชายา ท่านแม่ทัพใหญ่ ถ้าหากว่าไม่รังเกียจจวนเก่าเรือนนี้ ก็เชิญเข้ามาเถิด
วันนี้มาสู่ขอคู่ครอง ก็ต้องเข้าจวนเป็นธรรมดา พระชายาฉีนั้นเดินนำเข้าไปก่อน เมิ่งเชี่ยนโยวและฉู่เหวินเจี๋ยตามอยู่ข้างหลัง มีเฝิงเต๋อและฮูหยินเฝิงเดินประกบอยู่ข้างๆ
เมิ่งเชี่ยนโยวเดินอยู่ท้ายสุด ได้มีจังหวะซุกซนหันหลังไปขยิบตาให้กับให้กับเฝิงจิ้งเหวิน
เฝิงจิ้งเหวินเห็นแล้ว อดยิ้มไม่ได้ แล้วเดินมาอยู่ข้างๆ นาง
นายน้อยของจวนเฝิงและฮูหยินได้นำผู้คนมากมายตามอยู่ด้านหลังสุด
คนกลุ่มหนึ่งได้เดินเข้าไปข้างในจวนเฝิง คนด้านนอกที่ยืนมุงดูอยู่นั้นก็ครึกครื้นขึ้นมาทันที แม่เจ้า พระชายาฉีนี่ ที่เขาว่ากันว่าป่วยเรื้อรัง เป็นคนที่ไม่สามารถที่จะออกจากจวนได้ง่ายๆ มาสู่ขอคู่ครองให้กับแม่ทัพใหญ่ฉู่น้องชายของพระนางด้วยตนเอง ไม่รู้เป็นบุญอะไรของนายท่านเฝิงน่ะ ถึงได้รับเกียรติที่ยิ่งใหญ่ขนาดนี้
ถนนทั้งสายนั้นต่างก็พูดถึงและอิจฉา แม่ทัพก็ได้นำสินสอดยกเข้ามา วางไว้ที่พื้น ราวกับว่าไม่ได้ยินเสียงผู้คนที่กำลังพูดถึงเรื่องนี้อย่างใดอย่างนั้น เหล่าทหารเรียบร้อยเป็นอย่างมาก ยืนอยู่ตรงนั้นไม่ขยับเลยสักนิด แสดงให้เห็นถึงความดุดันของแม่ทัพของกองทัพ
แต่ทว่า ปากที่กำลังพูดอยู่นั้นกลับบอกความจริงพวกเขาอย่างหนึ่ง วันนี้ท่านแม่ทัพใหญ่จัดกองทัพเสียใหญ่ขนาดนี้มาสู่ขอคู่ครอง เปี่ยมไปด้วยความน่าเกรงขราม ดูท่าแล้วท่านแม่ทัพนั้นใกล้ที่จะได้คู่ครองแล้ว อีกไม่นานพวกเขาก็จะมีนายหญิงแล้ว
ไม่ว่าคนภายนอกจะว่าอย่างไร เฝิงเต๋อและฮูหยินเฝิงก็ได้นำคนเข้าไปที่ห้องรับแขกอย่างไม่สนสิ่งอื่นใด พระชายาฉี แม่ทัพใหญ่และเมิ่งเชี่ยนโยวนั่งลง ส่วนคนอื่นนั้นยืนอยู่อีกฝั่งหนึ่ง
หลังจากที่นั่งลงแล้ว พระชายาฉีก็ยิ้มแล้วพูดกับเฝิงเต๋อว่า “ต่อจากนี้พวกเราก็จะเป็นครอบครัวเดียวกันแล้ว ทุกท่านไม่จำเป็นที่จะต้องมีพิธีเยอะขนาดนี้ นั่งลงเถิด”
เฝิงเต๋อทำมือคำนับแล้วพูดว่า “พระชายาเกรงใจเกินไปแล้ว นั่นจะผิดกฎเสียได้ อย่างไรเสียกระหม่อมก็ขอยืนพูดตอบจะดีกว่า”
“นายท่านเฝิง” พระชายาฉีใช้น้ำเสียงอันอบอุ่นกล่าวว่า “หลังจากนี้เหวินเจี๋ยก็จะเป็นลูกเขยของตระกูลเฝิงแล้ว ท่านเป็นผู้อาวุโส มีที่ไหนกันที่ให้ผู้อาวุโสน้อยกว่านั่งอยู่แล้วผู้อาวุโสมากกว่ายืนกันเล่า”
ฉู่เหวินเจี๋ยเปลี่ยนสีหน้าที่ดุดัน และลดน้ำเสียงที่ดุดันลง ผายมือออกเป็นสัญลักษณ์เชื้อเชิญ “เชิญนั่งลงเถิด วันนี้ข้ามาในฐานะแม่ทัพใหญ่เพื่อมาสู่ขอคู่ครอง ท่านไม่จำเป็นต้องเกรงใจ”
ทั้งสองคนต่างเกรงใจซึ่งกันและกัน ถ้าหากว่าตัวเองยังไม่นั่งลงนั้นก็จะดูเหมือนไม่มีมารยาท เฝิงเต๋อส่งสายตาให้กับฮูหยินเฝิง ทั้งสองคนนั่งลง เฝิงจิ้งเหวินและนายน้อยของจวนเฝิงรวมไปถึงฮูหยินต่างก็ยืนอย่างเรียบร้อยอยู่ข้าง ๆ พวกเขา
เมื่อนั่งลงแล้ว เฝิงเต๋อออกคำสั่งให้คนยกน้ำชามาถวาย
ตั้งแต่คนเข้ามากันนั้น ผู้ดูแลก็ได้เตรียมชาไว้เรียบร้อยแล้ว เมื่อได้ยินคำสั่งของนายท่านเฝิง ก็มีแม่บ้านเข้ามาถวายชาโดยทันที แต่ว่าตำแหน่งของพระชายาฉีและฉู่เหวินเจี๋ยนั้นสูงเกินไป แม่บ้านจึงตื่นเต้น มือที่ถวายชานั้นก็สั่นเครือไปเสียหมด
พระชายาฉีนั้นทำเป็นมองไม่เห็น แล้วพูดตลกว่า “ที่พวกเรามาสู่ขออย่างกะทันหันในวันนี้ อาจจะผิดกฎเกณฑ์ไปเสียบ้าง แต่ว่าเมื่อวานเกิดเรื่องอย่างนั้นขึ้น เหวินเจี๋ยนั้นกังวลว่าซูเอ๋อร์จะคิดไม่ตก จึงได้รีบมาที่นี่ อย่างไรเสียก็ขอให้ท่านทั้งสองนั้นให้อภัยใสความบุ่มบามของพวกเราด้วย”
คำพูดของนาง ทำให้หน้าดำๆ ของฉู่เหวินเจี๋ยนั้นเผลอแดงขึ้นมา เลยยกชาขึ้นมาปิดเพื่อกลบเกลื่อน
เฝิงเต๋อทำตัวไม่ถูก เขาไม่เคยคาดคิดเลยถึงเรื่องนี้ พระชายาฉีและฉู่เหวินเจี๋ยจะให้แม่สื่อมาบอกสักคำก็ไม่มี ก็ดิ่งตรงมาสู่ขอเลย ดีที่เมื่อวานได้คุยกับซูเอ๋อร์ไว้แล้ว มิอย่างนั้นวันนี้ก็ไม่รู้ว่าจะรับมือกับพวกเขาอย่างไร
คิดได้อย่างนี้ เฝิงเต๋อตอบกลับอย่างนอบน้อมว่า “ท่านพระชายา ลูกสาวข้าสามารถรักไคร่กับท่านแม่ทัพใหญ่ได้ นั่นเป็นบุญของนาง เรื่องเมื่อวานนั้นก็สมควรแล้วที่จะทำเช่นนี้ พวกเราและลูกสาวนั้นไม่ได้มีความโกรธแค้นอันใด โดยเฉพาะท่านและท่านแม่ทัพในวันนี้ที่มาสู่ขอ ให้เกียรติแก่ตระกูลเฝิงของพวกเราเป็นอย่างยิ่ง การสู่ขอเรื่องนี้นั้นพวกเรานั้นก็ต้องตอบรับเป็นธรรมดา
พระชายาฉีพยักหน้า “เป็นแบบนี้ดีที่สุด ถึงแม้ว่าเรื่องมันเกิดขึ้นเพราะเหตุผลของมัน เหวินเจี๋ยก็ได้มาสู่ขอซูเอ๋อร์อย่างซื่อตรง พวกท่านอย่ากังวลไป เพียงแค่ซูเอ๋อร์ได้เข้าไป ก็เป็นนายหญิงของจวนท่านแม่ทัพแต่เพียงผู้เดียว เหวินเจี๋ยนั้นจะไม่รับสนมเข้ามาเพิ่มอีก จะรักแม่นางเฝิงตลอดไป”
ผู้ชายเมียเยอะเป็นเรื่องปกติ ยิ่งไปกว่านั้นเขาเป็นถึงแม่ทัพใหญ่ จะรับภรรยาอีกสักกี่คนกี่ห้องก็ย่อมได้ พอพระชายาให้คำมั่นสัญญาเสียขนาดนี้ เฝิงเต๋อและฮูหยินนั้นก็ลุกขึ้นพร้อมกัน แล้วคุกเข่าลงกับพื้น “ขอบพระทัยพระชายา ขอบพระคุณท่านแม่ทัพใหญ่ พวกท่านโปรดวางใจ เมื่อลูกสาวเข้าไปแล้วนั้นจะขยันขันแข็งทำการทำงาน จะไม่สร้างความวุ่นวายให้กับท่านแม่ทัพอย่างแน่นอน พวกเราคนตระกูลเฝิงเองจะเข้มงวดมากขึ้น ไม่สร้างความอับอายให้กับท่านแม่ทัพอย่างแน่นอน”