ตอนที่ 142 ตีเหล็กต้องตีตอนร้อน

ข้ามกาลบันดาลรัก [ส่วนที่ 2 ภาคแต่งงาน]

พวกเขาคุกเข่าลง เฝิงจิ้งเหวินและนายน้อยแห่งจวนเฝิงรวมไปถึงฮูหยินก็คุกเข่าลงด้วยเช่นกัน

 

 

พระชายาฉีก็รีบยื่นมือออกมาพยุงขึ้นโดยทันที แล้วกล่าวว่า “ท่านเฝิง เฝิงฮูหยินได้โปรดลุกขึ้นเถิด”

 

 

ทั้งสองขอบคุณ และลุกขึ้นกลับไปนั่งที่เดิม

 

 

พระชายาฉีกล่าวว่า “อายุของเหวินเจี๋ยก็ไม่น้อยแล้ว ในเมื่อท่านทั้งสองยินยอมในเรื่องของการสู่ขอเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ถ้าอย่างนั้นก็เป็นโอกาสอันดีที่จะต้องรีบทำให้ถูกต้อง ตีเหล็กขณะที่ยังร้อนอยู่ รีบกำหนดวันหมั้นหมายให้เรียบร้อยเถิด”

 

 

เพิ่งจะสู่ขอก็ทำการกำหนดวันหมั้นหมายแล้ว เฝิงเต๋อและฮูหยินเฝิงหยุดชะงักไปสักพัก

 

 

พระชายาฉีเห็นท่าทางชะงักเช่นนั้นเลยหัวเราะออกมาว่า “เหวินเจี๋ยและแม่นางซูเอ๋อร์นั้นเป็นกรณีพิเศษ ถ้าหากว่าปล่อยให้นานไป เกิดอะไรขึ้นกับซูเอ๋อขึ้นเข้าจะวุ่นวายไปกันใหญ่ พวกเราหาวันที่จะหมั้นหมายกันให้เร็วนั้นจะเป็นการดีกว่า พวกเราก็จะกลับไปเตรียมตัว อย่างไรเสียเหวินเจี๋ยสู่ขอคู่ครอง พิธีการต่างๆ ย่อมไม่เหมือนกับที่อื่นอยู่แล้ว ถึงเวลานั้นฮ่องเต้และขุนนางบุ๋นบู๊ล้วนย่อมมาแสดงความยินดี”

 

 

จะเกิดอะไรขึ้นกับซูเอ๋อร์ สองสามีภรรยาเฝิงนั้นรู้ดี แต่ไม่ได้คิดที่จะให้นางออกเรือนไปเร็วขนาดนี้จริงๆ เฝิงเต๋อคิดไปคิดมา แล้วถามอย่างนอบน้อมไปว่า “ไม่ทราบว่าท่านพระชายาเห็นว่าวันไหนถึงจะดี”

 

 

“เมื่อคืนนี้ข้าหาฤกษ์ดีมาอย่างจริงจังแล้ว หลังจากครึ่งเดือนนี้มีวันมงคลอยู่ เหมาะแก่การจัดงานมงคล ถ้าหากว่าท่านเฝิงและฮูหยินเฝิงไม่ขัดข้องล่ะก็ พวกเราก็จะเลือกวันนั้นได้เลย”

 

 

“เอ่อ…” เฝิงเต๋อครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ตอบว่า “เวลาแค่ครึ่งเดือนนั้นรีบร้อนเกินไป ยังไม่ต้องพูดถึงสินสอดทองหมั้น ขนาดชุดแต่งงานทางเรายังจะเตรียมแทบไม่ทันเลย”

 

 

“เรื่องนี้พวกท่านไม่ต้องเป็นห่วง” พระชายาทำการโบกมือเล็กน้อย “พรุ่งนี้ข้าจะจัดช่างตัดเสื้อฝีมือดีมาที่นี่ วัดตัวให้กับแม่นางซูเอ๋อร์ ไม่เกินสิบวัน ชุดแต่งงานก็แล้วเสร็จ ส่วนเรื่องสินสอดทองหมั้นนั้น กี่ปีที่ผ่านมานี้เหวินเจี๋ยก็ได้สร้างผลงานเอาไว้มากมาย ฮ่องเต้ได้ประทานรางวัลให้เขาก็ไม่น้อย นอกจากของที่ไม่สามารถแตะต้องได้แล้ว เมื่อถึงเวลาก็จะเอาที่เหลือทั้งหมดมาเป็นสินสอดให้กับแม่นางซูเอ๋อร์นั่นเอง”

 

 

พระชายาได้คิดทางออกของปัญหาที่อาจจะเกิดขึ้นได้หมดแล้ว หากว่ายังไม่ตอบรับอีกก็จะดูไม่ดี เฝิงเต๋อโค้งคำนับแล้วตอบรับไปว่า “ทั้งหมดนั้นให้เป็นไปตามพระทัยของพระชายาเถิด”

 

 

พระชายาฉียิ้มพยักหน้ารับ

 

 

วันที่หมั้นหมายได้ถูกกำหนดแล้ว คนของจวนเฝิงเมื่ออยู่ต่อหน้าฉู่เหวินเจี๋ยต่างก็ทำตัวไม่ถูก พระชายาฉีก็ไม่หยุดแต่เพียงเท่านั้น ลุกขึ้นยืน ยิ้มแล้วกล่าวว่า “เมื่อเป็นเช่นนี้ พวกเราก็จะไม่เกรงใจแล้ว หากว่าท่านทั้งสองสงสัยเรื่องการหมั้นหมายล่ะก็ ให้คนไปหาข้าที่จวนอ๋องฉี เหวินเจี๋ยค่อนข้างยุ่งเรื่องการทหาร มักจะไม่อยู่ในจวน เรื่องของเขาทั้งหมดนั้นยกให้ข้าจัดการ”

 

 

เฝิงเต๋อโค้งคำนับตอบรับกลับไป แล้วนำคนในจวนโค้งคำนับส่งพระชายาฉีและฉู่เหวินเจี๋ยกลับไป

 

 

ของหมั้นและแม่ทัพทั้งหลายยังอยู่ที่หน้าประตูจวน พระชายาฉียิ้มแล้วพูดว่า “ในหมู่ชาวบ้านนั้นมีกฎอย่างหนึ่ง บอกว่าให้อวดสินสอดท่ามกลางคนจำนวนมาก เมื่อเป็นเช่นนี้ พวกเราก็อวดเสียหน่อย ให้ผู้คนได้ดู”

 

 

ฉู่เหวินเจี๋ยโบกมือ แม่ทัพทั้งหลายก็โค้งตัวลงไปเปิดผ้าคลุมออก ข้างในนั้นเต็มไปด้วยแก้วแหวนเงินทอง เครื่องประดับและผ้าชั้นดีมากมายออกมาอวดสายตาผู้คน

 

 

ถนนทั้งสายมีแต่เสียงชื่นชม ดูท่าแล้วท่านแม่ทัพใหญ่คนนี้จะถูกใจลูกสาวตระกูลเฝิงเป็นอย่างมาก สินสอดที่นำมาสู่ขอนี้ ล้วนเป็นสิ่งของที่คนธรรมดานั้นไม่ได้เห็น คนของตระกูลเฝิงก็มองตาไม่กะพริบกันเลยทีเดียว

 

 

เมื่อเห็นท่าทางของทุกคน พระชายาฉีก็พยักหน้าอย่างพอใจ เพราะต้องการให้ผลลัพธ์เป็นเช่นนี้อยู่แล้ว เพื่อหลีกเลี่ยงคำครหาจากผู้คนที่รู้เรื่องของเหวินเจ่ยและซูเอ๋อร์

 

 

ท่ามกลางเสียงชื่นชมของผู้คน พระชายาฉีและฉู่เวินเจี๋ยขอลาไปก่อน คนหนึ่งขึ้นรถม้าไป อีกคนหนึ่งขึ้นหลังม้าไป นำผู้คนที่ติดตามมาจากไป

 

 

เมื่อเงาของพวกเขาลับไปแล้ว คนของจวนเฝิงถึงได้มีสติ นายท่านเฝิงออกคำสั่งให้คนรับใช้นำสินสอดเข้าไปเก็บ ฮูหยินเฝิงและเฝิงจิ้งเหวินรีบเดินไปที่จวนของเฝิงจิ้งซู บอกนางเรื่องพิธีที่จะเกิดขึ้นในอีกครึ่งเดือนนี้

 

 

เมื่อมาถึงทางแยก พระชายาฉีเปิดม่านรถม้าออก แล้วพูดกับฉู่เหวินเจี๋ยที่อยู่บนหลังม้าว่า “เหวินเจี๋ย ข้าจะกลับจวนเลย เมื่อจัดการเรื่องที่จวนเสร็จแล้วเมื่อใด ข้าจะกลับไปที่จวนแม่ทัพสักระยะหนึ่ง ช่วยเจ้าจัดการเรื่องงานแต่งของเจ้า”

 

 

ฉู่เหวินเจี๋ยหยุดม้า ตอบรับคำ แล้วมองไปที่รถม้าสองคันที่ห่างออกไป แล้วนำเหล่าแม่ทัพกลับไปที่จวนแม่ทัพ

 

 

เมื่อเดินทางไปได้สักระยะหนึ่ง เมิ่งเชี่ยนโยวเอ่ยปากจะพูดอะไรสักอย่าง พระชายาฉีหยุดนางไว้ บอกว่า “ข้ารู้ว่าเจ้าก็อยากกลับไปแล้ว ไม่อยากไปเกี่ยวข้องกับเรื่องงส่วนตัวในจวน แต่ว่าอีกไม่นานเจ้าก็จะได้เป็นพระชายาซื่อจื่อของเซวียนเอ๋อร์แล้ว เรื่องบางเรื่องเจ้าก็ต้องเรียนรู้ที่จะจัดการ”

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวไม่ได้ตอบโต้อันใด

 

 

เมื่อถึงจวนอ๋องฉี ทุกคนลงจากรถม้า เดินเข้าไปที่จวนไม่ทันไร ผู้ดูแลรีบเดินเข้ามาหาโดยทันที พูดอย่างร้อนใจว่า “พระชายาและซื่อจื่อขอรับ คุณชายรองเป็นลมอยู่ที่ห้องหนังสือของท่านอ๋อง ข้าน้อยกำลังจะไปเชิญหมอมาขอรับ”

 

 

หวงฝู่อวี้นั่งคุกเข่าอยู่ที่ห้องหนังสือตั้งแต่เมื่อคืนวานแล้ว จนถึงตอนที่พวกเขาออกไปก็ยังนั่งอยู่ ร่างกายอ่อนแอที่ถูกเลี้ยงดูมาอย่างตามใจตั้งแต่เด็กนั่งมาจนถึงตอนนี้ได้ก็ทำให้พระชายาฉีตกใจไม่น้อย ยิ่งไปกว่านั้นนางยังเอ็นดูหวงฝู่อวี้ดั่งลูกหลานของตนเอง เมื่อได้ยินเช่นนั้จึงรีบออกคำสั่งไปว่า “รีบไปเชิญหมอมาเร็ว อวี้เอ๋อร์อยู่ที่ไหน ข้าจะไปดู”

 

 

“ข้าน้อยให้คนนำคุณชายรองกลับที่จวนของตนเองแล้ว”

 

 

ผู้ดูแลตอบกลับแล้วเดินออกไป หวงฝู่อี้เซวียนตะโกนเรียกให้เขาหยุด “ไม่ต้องไปตามหมอ ให้โยวเอ๋อร์ช่วยดูอาการเขาให้ที”

 

 

“ใช่ๆ ข้าลืมโยวเอ๋อร์ไปได้อย่างไร เจ้าตามข้ามาเดี๋ยวนี้” เมื่อพูดจบ พระชายาฉีก็จับมือนาง เดินมาที่เรือนของหวงฝู่อี้อย่างรวดเร็ว คนรับใช้ยังไม่ทันได้ทำความเคารพ ก็เดินเข้าไปที่ข้างในจวน มาที่ข้าง ๆ เตียง เห็นหวงฝู่อวี้หน้าซีดเซียว ริมฝีกปากแห้งแตก หลับใหลอยู่บนเตียง ในใจนั้นเจ็บปวดรวดร้าว แล้วบอกว่า “โยวเอ๋อร์ เจ้าช่วยดูอวี้เอ๋อร์ให้น่อยสิ เขาเป็นอะไรมากหรือไม่”

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวมานั่งที่เก้าอี้ข้างเตียง คลำชีพจรของหวงฝู่อวี้แล้วพูดเบาๆ ว่า “ร่างกายของเขาไม่ได้เป็นอะไรมาก เป็นเพราะไม่ได้ทานอาหารเป็นเวลาหลายมื้อและบวกกับอากาศหนาว จนเป็นไข้ จึงได้เป็นเช่นนี้ ท่านสั่งให้คนต้มข้าวต้มให้เขาทาน แล้วให้เขานอนพักสักหน่อยเดี๋ยวก็ดีขึ้นเจ้าค่ะ”

 

 

พระชายาฉีออกคำสั่งตามที่โยวเอ๋อร์บอก

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวสั่งแม่บ้านที่อยู่ในจวนว่า “พวกเจ้าไปเอานำอุ่นมาแก้วหนึ่ง ป้อนให้คุณชายรองดื่มเสีย ให้ร่างกายของเขาปรับสภาพเสียก่อน”

 

 

แม่บ้านตอบรับ เทน้ำอุ่นมาให้ เมิ่งเชี่ยนโยวลุกขึ้นยืน จัดที่จัดทางเรียบร้อย แม่บ้านคนหนึ่งช่วยจับตัวหวงฝู่อวี้ขึ้นมานั่ง และแม่บ้านอีกคนป้อนน้ำอุ่นเขาเข้าไปทีละหยดๆ อย่างระมัดระวัง

 

 

เมื่อดื่มน้ำหมดไปหนึ่งแก้ว หวงฝู่อวี้เหมือนได้ฟื้นฟูกำลังกาย ขยับร่างกายได้นิดหน่อย พระชายาฉีตื้นตันใจ เรียกออกมาเบา ๆ ว่า “อวี้เอ๋อร์!”

 

 

หวงฝู่อวี้ค่อยๆ ลืมตาขึ้น มองเห็นพระชายาฉียืนอยู่ตรงหน้า เลยร้องออกมาด้วยน้ำเสียงแหบแห้งและเบาว่า “เสด็จแม่” แล้วตะเกียกตะกายจะลุกขึ้น

 

 

พระชายาฉียื่นมือไปห้ามเขา “อวี้เอ๋อร์ ตอนนี้ร่างกายของเจ้ายังอ่อนแออยู่มาก ห้ามไปที่ห้องหนังสือแล้วคุกเข่าอีก นั่นจะทำให้ร่างกายของเจ้าทรุดลงไปอีก”

 

 

“เสด็จแม่” น้ำตาของหวงฝู่อวี้เริ่มไหล “ข้าจะไปขอร้องเพื่อเสด็จแม่ของข้า ให้เสด็จพ่อไว้ชีวิตนาง”

 

 

พระชายาฉีถอนหายใจ “อวี้เอ๋อร์ เจ้าก็ได้ยินที่แม่ของเจ้าพูดแล้ว เขาทำความผิดใหญ่หลวงขนาดนั้น เสด็จพ่อของเจ้าไม่ได้ฆ่านางโดยทันที นั่นก็เป็นพระคุณอย่างหาที่สุดมิได้แล้ว”

 

 

“แต่นางเป็นแม่แท้ๆ ของข้า ข้าไม่สามารถทนเห็นนางรับโทษโดยที่ไม่ทำอะไรเลย เมื่อเสด็จพ่อตัดสินใจสำเร็จโทษนางแล้วล่ะก็ นางก็เท่ากับตายทั้งเป็นแล้ว” เมื่อพูดจบ ก็พยายามลุกขึ้นนั่ง ลงจากเตียง คุกเข่าต่อหน้าพระชายาฉีและหวงฝู่อี้เซวียน กล่าวว่า “เสด็จแม่ขอรับ พี่ใหญ่ขอรับ ข้ารู้ดีว่าแม่ของข้าทำเรื่องไม่ดีไว้ไม่น้อย แม้นว่าจะตายสักหนึ่งพันครั้งก็ไม่สามารถลบล้างความผิดเหล่านั้นได้ แต่อย่างไรเสียนางก็เป็นแม่ของข้า ข้าไม่สามารถละเลยได้ อวี้เอ๋อร์ขอร้องพวกท่านล่ะ ให้เสด็จพ่อเว้นโทษนางเถิด”

 

 

“เมื่อปล่อยแม่ของเจ้าไปแล้วจะเป็นอย่างไรต่ออย่างนั้นหรือ” หวงฝู่อี้เซวียนถามด้วยน้ำเสียงหนักแน่น

 

 

หวงฝู่อวี้หยุดชะงัก เขาก็เพียงแค่อยากที่จะร้องขอชีวิตให้กับแม่ของเขาเท่านั้น ไม่ได้คิดถึงปัญหาตรงนี้เลย

 

 

“ไม่ว่าจะโดนเนรเทศกลับบ้านหรือว่าโดนกักบริเวณตลอดชีวิต ได้รับความทุกข์ทรมานเพียงใด เหล่านี้ล้วนไม่ใช่ส่งที่นางต้องการ ถ้าหากว่าเจ้าคิดอยากจะช่วยนางจริงๆ ล่ะก็ ให้เสด็จพ่อจัดการกับนางเสียเถิด” หวงฝู่อี้เซวียนกล่าว

 

 

“ไม่!” หวงฝู่อวี้พูดเบาๆ ว่า “ข้าไม่เอา ข้าอยากให้แม่ของข้ามีชีวิตอยู่ ได้เห็นข้ามีเมียมีลูก ได้มีบั้นปลายชีวิตที่ดี”

 

 

“อวี้เอ๋อร์!” หวงฝู่อี้เซวียนตะโกนใส่เขา “เจ้าก็โตแล้ว แยกถูกผิดได้แล้ว เลิกฝันลมๆ แล้งๆ ได้แล้ว”

 

 

หวงฝู่อวี้ร้องไห้หนักกว่าเดิม ร้องไห้ฟูมฟายพูดว่า “พี่ใหญ่ ข้าขอร้องท่านล่ะ ขอเพียงท่านขอให้เสด็จพ่อปล่อยแม่ของข้าไป ต่อแต่นี้ไปท่านให้ข้าทำอะไรก็จะทำทั้งนั้น”

 

 

“เรื่องเลวร้ายที่แม่ของเจ้าทำไว้ ไม่ว่าเรื่องใดก็ตาม ก็เพียงพอแล้วกับการที่นางจะตายสักหนึ่งพันครั้ง ตอนนี้ที่เจ้าร้องขอชีวิตแทนนาง ก็มีแต่จะทำให้เสด็จพ่อโกรธเจ้าเข้าไปใหญ่ และในขณะที่โกรธอยู่นี้ อาจจะไล่เจ้าออกจากจวนเลยก็เป็นได้ นับแต่นี้ไปจะไม่นับเจ้าเป็นลูก ฟังพี่นะ อย่าไปร้องขอชีวิตอีก ให้เสด็จพ่อจัดการเองเถิด”

 

 

หวงฝู่อวี้ส่งเสียงร้องไห้อย่างเจ็บปวดรวดร้าว

 

 

ทั้งสามคนได้แต่ยืนมองเขาอย่างเงียบๆ ไม่ห้าม ให้เขาระบายออกมา

 

 

แม่บ้านที่คอยดูแลและคนใช้ภายในบ้านเมื่อได้ยินเสียงร้องไห้นี้ ต่างมองหน้ากัน หลังจากนั้นก็ได้แต่ก้มหัวลง

 

 

เสียงร้องไห้ของหวงฝู่อวี้ดังขึ้นเรื่อยๆ ร้องเสียจนพระชายาฉีก็เจ็บปวดไปด้วย ก้าวไปข้างหน้าหนึ่งก้าว แล้วโอบศีรษะของเขาเอาไว้ที่หน้าอก ปลอบใจว่า “อวี้เอ๋อร์ เจ้ายังมีข้า แม้นว่าแม่ของเจ้าจะทำเรื่องชั่วช้าเอาไว้มากมาย แต่ข้าก็จะไม่กล่าวโทษเจ้า หลังจากนี้จะดูแลเจ้าเป็นอย่างดีเช่นเดียวกับที่ดูแลเซวียนเอ๋อร์”

 

 

หวงฝู่อวี้เหมือนเด็ก เอื้อมมือไปกอด แล้วร้องไห้ฟูมฟายไม่หยุด

 

 

พระชายาฉีถอนหายใจ แล้วลูบหลังเขาเบาๆ เพื่อให้อารมณ์ของเขาดีขึ้น

 

 

ฟังจากคำพูดของสนมเมื่อวานแล้ว ก็รู้แล้วว่านางจะไม่มีทางลงเอยด้วยจุดจบที่ดี หวงฝู่อวีตกใจเป็นอย่างมาก หลังจากนั้นก็นั่งคุกเข่าอยู่ที่ห้องหนังสือทั้งวันทั้งคืน ไม่มีใครสนใจเขา ในใจของหวงฝู่อวี้ยิ่งรู้สึกกลัวเข้าไปใหญ่ ท่านอ๋องฉีและพระชายาฉี ขนาดหวงฝู่อี้เซวียนก็ยังไม่สนใจ หลังจากนี้ เขาจะกลายเป็นเด็กที่ไม่มีบ้านให้กลับ ดังนั้นเขาจึงนั่งคุกเข่าอยู่ตรงนั้นไม่ไปไหน ตอนนี้พอได้ฟังคำพูดของพระชายาฉี ความกลัวภายในใจก็หายไป ความสิ้นหวังและความรู้สึกไร้ที่พึ่งกลับมาแทนที่ แล้วร้องไห้เสียงดังหนักกว่าเดิม

 

 

หวงฝู่อวี้โดนเลี้ยงอย่างตามใจมาตั้งแต่เด็ก ขนาดอายุพอๆ กับหวงฝู่อี้เซวียนแล้ว แต่ยังเหมือนเด็กน้อย ที่วันๆ เอาแต่เล่นสนุก ไม่คิดอะไร เมื่อพอเจอเรื่องเลวร้ายขนาดนี้ สามารถผ่านมันมาได้จนถึงตอนนี้ก็เกินคาดของพระชายาฉีมามากแล้วจริงๆ ได้ยินเสียงร้องไห้อันเจ็บปวดของเขา พระชายาฉีทำได้แต่ลูบหลังเขาอย่างเบาๆ ทำอะไรไปไม่ได้มากกว่านี้แล้ว

 

 

ร้องไห้ได้ประมาณสิบห้านาที หวงฝู่อวี้ถึงได้เบาเสียงลง พระชายาฉีหยิบผ้าเช็ดหน้าขึ้นมา จับหน้าของเขาขึ้นมา แล้วเช็ดน้ำตาบนหน้าของเขาเบาๆ “อวี้เอ๋อร์ ตอนนี้ร่างกายของเจ้ายังไม่แข็งแรง ถ้าหากว่าร้องไห้แบบนี้ต่อไปร่างกายของเจ้าจะไม่ไหวเอา ฟังข้าเถิด ลุกขึ้น พักสักครู่ กินข้าวต้มร้อนๆ สักถ้วย สงบสติอารมณ์เสีย รอการตัดสินใจสุดท้ายของเสด็จพ่อของเจ้า ไม่แน่ เสด็จพ่อของเจ้าอาจจะนึกถึงความรู้สึกที่ผ่านมาหลายปี ปล่อยแม่ของเจ้าไปก็ได้”

 

 

เมื่อร้องไห้เสร็จ หวงฝู่อวี้ก็สงบแล้ว แล้วเอาแต่ส่ายหน้าอย่างเดียว ลุกยืนขึ้น พูดว่า “เสด็จแม่ ข้าหิวแล้ว”

 

 

หวงฝู่อี้เซวียนรู้สึกแปลกใจในท่าทีที่แปลกไปของเขา กระพริบตามองเขา

 

 

สีหน้าของพระชายาฉีเปี่ยมด้วยความสุขแทน พยักหน้าแล้วออกคำสั่งบ่าวใช้ “เอาข้าวต้มมาถวายคุณชายรองเร็วเข้า”

 

 

แม่บ้านนำข้าวต้มมาถวายอย่างระมัดระวัง วางไว้ที่บนโต๊ะในห้อง

 

 

หวงฝู่อวี้เดินไปที่โต๊ะ สะอึกสะอื้นแล้วถือช้อนขึ้นมา แล้วอ้าปากคำโตๆ กินข้าวต้มในชาม

 

 

พระชายาฉีตกใจ หวงฝู่อี้เซวียนขมวดคิ้ว แต่ว่าก็ไม่มีใครเข้าไปห้าม

 

 

กินข้าวต้มหมดไปหนึ่งชาม เช็ดปาก หวงฝู่อวี้ลุกขึ้นยืน หลับตา แล้วทำทีท่าราวกับว่ากำลังจะตัดสินใจเรื่องสำคัญอย่างไรอย่างนั้น แล้วคุกเข่าต่อหน้าหวงฝู่อี้เซวียน “พี่ใหญ่ ข้าขอร้องท่านเรื่องหนึ่ง”

 

 

หวงฝู่อี้เซวียนมองไปที่เขาอย่างใจจดใจจ่อ เห็นรอยน้ำตาบนหน้าของเขา แต่ว่าสีหน้าสงบ ใช้น้ำเสียงหนักแน่นพูดไปว่า “เจ้าว่ามาสิ”

 

 

“แม่ของข้าทำเรื่องชั่วช้าไว้มากมาย เสด็จพ่อไม่มีทางปล่อยนางไปง่ายๆ หากจะให้นางได้รับความทุกข์ทรมานและ มีชีวิตอยู่อย่างอนาถ ไม่สู้ให้เสด็จพ่อตัดให้ขาดไปเลยจะดีกว่า นี่เป็นเรื่องเดียวที่ข้าจะทำให้นางได้ ข้าขอพี่ใหญ่ล่ะ ช่วยไปพูดกับเสด็จพ่อให้ข้าที ให้เสด็จพ่อปลิดชีวิตของแม่ข้าเถิด”

 

 

มองเห็นหวงฝู่อวี้ที่โตขึ้นภายในไม่กี่วินาที พระชายาจากที่ตกใจอยู่แล้วยิ่งตกตะลึงขึ้นไปอีก

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวเองก็แปลกใจที่ได้ยินเขาพูดแบบนั้น

 

 

หวงฝู่อี้เซวียนกัดริมฝีปาก มองไปที่เขาอย่างตั้งใจ หวงฝู่อวี้ไม่หลบสายตา ส่งสายตาที่มุ่งมั่นกลับไปที่เขา ไม่นาน หวงฝู่อี้เซวียนถึงตอบกลับไปว่า “เจ้าแน่ใจหรือ”

 

 

หวงฝู่อี้เซวียนพยักหน้าอย่างแน่วแน่ “ข้าแน่ใจแล้ว อย่างไรซะ ก็ขอให้พี่ใหญ่ช่วยข้าทีเถิด น้องจะไม่มีวันลืมพระคุณของท่านเลย”