“อวี้เอ๋อร์!” หวงฝู่อี้เซวียนมองเขาอย่างใจจดจ่อ พร้อมกับพูดเสียงหนักแน่นว่า “รู้หรือไม่ว่าระหว่างพวกเราคืออะไร”

 

 

หวงฝู่อวี้ไม่เข้าใจความหมายของคำพูดเขา เกิดความตระหนกนิดหน่อย

 

 

“พวกเราเป็นพี่น้องท้องเดียวกัน เป็นลูกของเสด็จพ่อเหมือนกัน ล้วนต้องทำหน้าที่ช่วยกันดูแลจวนอ๋อง ถ้าหากว่าเจ้าตัดสินใจแล้ว พี่จะรีบไปช่วยเจ้าบอกเจตนาของเจ้า แต่ว่าข้าไม่ต้องการบุญคุณอะไรกับเจ้า ขอเพียงแค่ให้เจ้าจงจำไว้ว่าพวกเราเป็นคนที่ใกล้ชิดสนิทกันมากที่สุด ถ้าหากหลังจากนี้มีคนเอาเรื่องนี้มาทำร้ายเจ้าและพี่ของเจ้า เจ้าต้องจำคำพูดของข้าในวันนี้เอาไว้”

 

 

หวงฝู่อวี้อ้าปากค้าง หยุดชะงักไป ใช้เวลานิดหน่อยกว่าจะพยักหน้ารับทราบได้ “พี่ใหญ่ ข้าจะจำเอาไว้ นับแต่นี้ต่อไปเสด็จพ่อ เสด็จแม่และท่านจะเป็นคนใกล้ชิดที่ข้ารักมากที่สุด”

 

 

หวงฝู่อี้เซวียนยิ้มแล้วลดเสียงลง “เจ้าตัดสินใจแล้วหรือยัง ถ้าตัดสินใจแล้วพวกเราก็ไปหาเสด็จพ่อด้วยกัน

 

 

หวงฝู่อวี้พยักหน้า แล้วลุกขึ้น

 

 

หวงฝู่อี้เซวียนหันกลับมาแล้วพูดว่า “เสด็จแม่ โยวเอ๋อร์ พวกท่านไปรอข้าที่จวนก่อนเถิด ข้าจะไปหาเสด็จพ่อกับอวี้เอ๋อร์”

 

 

พระชายาฉีอ้าปากเหมือนจะพูดอะไร แต่ก็ไม่ได้พูดอะไรออกไป

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวเม้มปากไม่ได้พูดอะไร

 

 

หวงฝู่อี้เซวียนและหวงฝูอวี้เดินออกไป มุ่งหน้าไปที่ห้องหนังสือของอ๋องฉี

 

 

พระชายาฉีถอนหายใจแล้วพูดว่า ไปกันเถอะ โยวเอ๋อร์ ไปที่เรือนของข้า” เมิ่งเชี่ยนโยวเดินเข้าพยุงพระชายา ทั้งสองคนกลับไปที่เรือนของพระชายาฉี

 

 

หวงฝู่อี้เซวียนและหวงฝู่อวี้เดินมาอยู่ที่หน้าประตูห้องหนังสือ หวงฝู่อวี้ไม่พูดสักคำ ถกชายเสื้อขึ้นแล้วนั่งคุกเข่าลง หวงฝู่อี้เซวียนก็ยืนอยู่ตรงที่หน้าประตูห้องหนังสือแล้วตะโกนว่า “เสด็จพ่อ ลูกมีเรื่องจะพูดกับท่าน”

 

 

ไม่มีเสียงตอบรับออกมาจากห้องหนังสือ

 

 

หวงฝู่อี้เซวียนตะโกนเสียงดังขึ้นแล้วพูดอีกหนึ่งรอบ ก็ยังคงไม่มีเสียงตอบรับจากห้องหนังสือ ก็เลยยื่นมือไปผลักประตู ประตูก็ได้เปิดออก หวงฝู่อี้เซวียนเดินเข้าไป ห้องหนังสือเละเทะไปหมด สิ่งของทั้งหลายถูกโยนลงมากองอยู่ที่พื้น ขนาดจานรองหมึกที่ท่านอ๋องรักหนักหนายังลงมากองอยู่ที่พื้น พื้นห้องเลอะเทอะไปด้วยหมึกสีดำ อ๋องฉีนั่งนิ่งเครียดอยู่ที่หน้าโต๊ะหนังสือ ไม่ได้เจอกันเพียงแค่คืนเดียว บนศรีษระก็มีผมหงอกเกิดขึ้น ดูแก่ไปอีกสิบปี

 

 

“เสด็จพ่อ!” หวงฝู่อี้เซวียนตกใจแล้วเรียกอย่างเบาๆ

 

 

อ๋องฉีไม่ได้ยินเสียงอันใด ลูกตาก็ไม่ขยับ

 

 

หวงฝู่อี้เซวียนเตะข้าวของที่ระเกะระกะออกไป ถกชายเสื้อขึ้นแล้วนั่งคุกเข่าลง พูดออกมาด้วยน้ำเสียงจริงใจว่า “เสด็จพ่อ ลูกขอให้ท่านรักษาสุขภาพด้วย”

 

 

ลูกตาของอ๋องฉีขยับแล้วเล็กน้อย แล้วมองเขา แล้วก็กลับไปสภาพเดิม

 

 

หวงฝู่อี้เซวียนพูดต่อว่า “เสด็จพ่อขอรับ ลูกโดนทิ้งตั้งแต่เด็กๆ ใช้เวลาตั้งสิบเอ็ดปีกว่าจะได้กลับมาอยู่กับท่าน ถึงแม้ว่าท่านจะไม่คิดจะรักษาสุขภาพเพื่อตัวเอง แต่ก็ควรทำเพื่อลูกๆ เสียหน่อย ไม่ง่ายเลยที่ข้าจะได้กลับมาอยู่กับท่านและเสด็จแม่ แล้วยังคิดว่าเมื่อท่านอายุมากขึ้น ก็จะตอบแทนพระคุณท่านให้เป็นอย่างดี ให้ท่านได้อุ้มลูกดูหลาน มีความสุขกับครอบครัวในบั้นปลาย ถ้าหากว่าท่านทำร้ายตัวเองเพราะเรื่องนี้ ท่านจะให้ข้าและเสด็จแม่และอวี้เอ๋อร์มีชีวิตอยู่ต่อไปได้อย่างไร”

 

 

 สีหน้าของอ๋องฉีเปลี่ยน ความเฉยชาบนใบหน้าหายไป ถอนหายใจออกมาหนึ่งที แล้วพูดด้วยน้ำเสียงที่แหบแห้งว่า “เซวียนเอ๋อร์ หลายปีที่ผ่านมานี้ข้าขอโทษเจ้าและแม่ของเจ้าด้วยนะ”

 

 

“เสด็จแม่ร่างกายอ่อนแอตั้งแต่สมัยเข้าวัง หลายปีมานี้ท่านไม่ได้ทอดทิ้งนาง เสด็จแม่ก็ซาบซึ้งในพระคุณมากแล้ว ลูกก็เหมือนกัน ตั้งแต่กลับมา ที่ท่านทำดีต่อข้า ข้าจำได้ขึ้นใจ เสด็จแม่และข้าไม่เคยคิดโกรธเคืองท่านเลย”

 

 

ในดวงตาอ๋องฉีมีแสงประกายน้ำตาอยู่ น้ำเสียงก็เปลี่ยนโทนเพิ่มเสียงขึ้น “เอาล่ะๆ ข้ามีลูกชายที่ดี ชีวิตนี้ก็ถือว่าไม่น่าอับอายแล้ว”

 

 

“อวี้เอ๋อร์ก็ดีเช่นกัน หลังจากนี้พวกเราสองพี่น้องจะช่วยกันดูแลจวนเอง”

 

 

เมื่อได้ยินชื่อของหวงฝู่อวี้ สีหน้าของอ๋องฉีก็กลับมามืดหม่นเหมือนเดิม พร้อมกับถอนหายใจออกมาเบาๆ

 

 

“เสด็จพ่อ อวี้เอ๋อร์นั่งคุกเข่าอยู่ด้านนอกมาทั้งวันทั้งคืนแล้ว มีเรื่องขอร้องท่าน”

 

 

อ๋องฉีโบกมืออย่างหงุดหงิด “อยากมาขอร้องแทนนางสารเลวนั่นล่ะสิ ฝันไปเถอะ นางทำร้ายพวกเราจนเป็นแบบนี้ ชีวิตที่เหลือของนางอย่าหวังว่าจะว่าจะมีความสุข แม้ว่าจะต้องเคี่ยนนางสักหนึ่งพันครั้ง ก็ยังไม่สาสมกับความแค้นในใจของข้า”

 

 

“เสด็จพ่อ” หวงฝู่อี้เซวียนพูดแทรกขึ้นมา “อวี้เอ๋อร์ไม่ได้มาร้องขอชีวิต เขามีเรื่องอื่นมาพูดกับท่าน”

 

 

อ๋องฉีถอนหายใจเฮือกใหญ่ “มีเรื่องอะไรไว้วันหลังค่อยว่ากัน ตอนนี้ข้าไม่มีอารมณ์ อยากนั่งเงียบๆคนเดียว”

 

 

หวงฝู่อี้เซวียนก็เลยต้องพูดความจริงออกมา “เรื่องเกี่ยวกับว่าจะจัดการอย่างไรกับพระชายารอง อวี้เอ๋อร์อยากร้องขอความเมตตา หวังว่าเสด็จพ่อจะปลิดชีวิตนางอย่างไม่ทรมาน”

 

 

เมื่อพูดถึงพระชายารอง อ๋องฉีก็ได้โกรธขึ้นมา มือฟาดลงไปที่โต๊ะอย่างรุนแรง พูดอย่างเกรี้ยวโกรธว่า “ฝันไปเถอะ ข้าจะไว้ชีวิตนางสารเลวนั่นไว้ทรมาน”

 

 

หวงฝู่อวี้ที่นั่งคุกเข่าอยู่ข้างนอกเมื่อได้ยินดัง ก็หลับตาลงอย่างทุกข์ทรมาน กัดฟัน ลุกขึ้นยืน แล้วเดินเข้าไปที่ห้องหนังสือ มานั่งคุกเข่าที่ข้าง ๆ หวงฝู่อี้เซวียน โปกๆๆ คำนับหัวโขกพื้นไปหลายครั้ง “เสด็จพ่อ ลูกรู้ว่าความผิดของแม่นั้นไม่สามารถให้อภัยได้ แต่อย่างไรเสียนางก็เลี้ยงดูข้ามา ข้าไม่สามารถทนมองเห็นนางทุกข์ทรมานโดยที่ไม่ทำอะไรเลยไม่ได้ อย่างไรเสียก็ขอให้เสด็จพ่อปล่อยนางไปเถิด”

 

 

อ๋องฉีลุกขึ้น แล้วเตะเขาไปหนึ่งที ร่างของหวงฝู่อวี้กระเด็นไปข้างหลัง หวงฝู่อี้เซวียนเข้ามาดึงเขาอย่างทันท่วงที เพื่อป้องกันไม่ให้โดนเศษแก้วชาบาดเข้า

 

 

ร่างกายของอ๋องฉีโซซัดโซเซกลับไปนั่งทีเก้าอี้ แล้วถอนหายใจอย่างแรง ใช้น้ำเสียงที่แหบแห้งด่าไปว่า “ลูกอกตัญญู ในเมื่อเจ้ามาขอร้องแทนนางสารเลวนั่น วันนี้ข้าจะฟาดเจ้าให้ตาย”

 

 

ร่างของหวงฝู่อวี้โดนหวงฝู่อี้เซวียนลากกลับมา เมื่อคุกเข่าเข้าที่แล้ว ก็ยังเอาหัวโขกพื้นอีกหลายที “เสด็จพ่อจะลงโทษลูกอย่างไรก็ได้ ลูกไม่คิดโกรธเคืองอันใดเลย อย่างไรเสียก็ขอให้เสด็จพ่อเห็นแก่หน้าพี่ใหญ่ ให้เสด็จแม่ของข้าได้จากไปอย่างสบายด้วยเถอะ”

 

 

อ๋องฉีโมโหโกรธาเป็นอย่างมาก ไม่มีแรงลุกขึ้นมาเตะอีกรอบแล้ว มีก็เพียงแต่ดวงตาที่กำลังกริ้วโกรธ ท่าทางราวกับว่าถ้าหวงฝู่อวี้ร้องขออะไรอีก ก็พร้อมฉีกเนื้อหนังออกมาอย่างใดอย่างนั้น

 

 

หวงฝู่อี้เซวียนรู้ว่าเสด็จพ่อจะต้องโกรธเป็นอย่างมาก แต่ก็คิดไม่ถึงว่าท่านจะโกรธจนทำร้ายร่างกายของหวงฝู่อวี้ได้ เลยรีบพูดออกไปว่า “ขอเสด็จพ่ออย่ากริ้วไป เห็นแก่ร่างกายเป็นสำคัญด้วย”

 

 

“เอาไอลูกอกตัญญูนี้ออกไป ข้าไม่อยากจะเห็นหน้ามันอีก” ความโกรธของอ๋องฉีถึงขีดสุด เสียงแหบแห้งไปหมด เมื่อเห็นว่าอ๋องฉีสงบลงไม่ได้ หากเป็นอย่างนี้ต่อไปก็ไม่เกิดผลดี หวงฝู่อี้เซวียนลูบหัวแล้วพูดว่า “อวี้เอ๋อร์ เจ้าออกไปก่อน ข้าจะพูดกับเสด็จพ่อเอง”

 

 

หวงฝู่อวี้เห็นว่าถ้าหากตัวเองร้องขอต่อไป ก็มีแต่จะทำให้อ๋องฉีโกรธเพิ่มขึ้น ก็เลยลุกขึ้น ออกไปด้านนอก แล้วคุกเข่าอีก

 

 

อ๋องฉีได้แต่ถอนหายใจเฮือกใหญ่ซ้ำแล้วซ้ำเล่า หวงฝู่อี้เซวียนที่คุกเข่าอยู่ที่พื้นไม่ได้พูดอะไร จนกระทั่งอ๋องฉีหายใจเป็นปกติ ถึงจะพูดว่า “เสด็จพ่อ ท่านทำแบบนี้เพื่ออันใดกัน ถ้าหากท่านไว้ชีวิตพระชายารองเอาไว้ ทำโทษนางทุกวัน ท่านถึงจะมีความสุขอย่างนั้นหรือ เรื่องมันมาถึงขั้นนี้แล้ว ท่านก็ปล่อยนางไปเถิด นับแต่นี้ต่อไปลืมคนๆ นี้ไปเสีย มีความสุขไปกับเสด็จแม่ ข้า และอวี้เอ๋อร์อย่างนี้ไม่ดีกว่าหรือ”

 

 

ท่าทางของอ๋องฉีผ่อนคลายลง

 

 

หวงฝู่อี้เซวียนยังพูดต่อว่า “ตอนนี้ข้าได้ยกเลิกเรื่องงานแต่งไปก่อน ยังรอท่านและเสด็จแม่เข้าวังไปขอราชโองการจากเสด็จย่าอยู่ เมื่อถึงเวลาท่านและเสด็จแม่ก็ช่วยข้าจัดการเรื่องงานแต่งงาน นั่นเป็นเรื่องที่น่ายินดีที่สุด แล้วท่านจะปล่อยนางไว้ให้ขัดหูขัดตาทำไมกัน”

 

 

ท่านอ๋องถอนหายใจเฮือกยาวแล้วกล่าว “เซวียนเอ๋อร์ ข้าไม่สบายใจน่ะสิ หลายปีมานี้ ข้าไม่เคยลืมสัญญาที่เคยให้ไว้กับนาง ว่าจะให้นางดูแลสารทุกข์สุขดิบในจวน แม้ว่าจะเป็นเรื่องที่เจ้าหายตัวไป ข้าก็คาดเดาได้ว่าเป็นฝีมือของนาง แต่ก็ไม่ได้กล่าวโทษนางเพิ่มแต่อย่างใด แต่ก็ไม่นึกเลยว่านางจะเป็นคนที่มีจิตใจอำมหิตขนาดนี้ วางยาให้ข้าเป็นหมัน เรื่องนี้เป็นเรื่องที่ข้าปล่อยไปไม่ได้เด็ดขาด”

 

 

“รักมาก ก็ต้องคาดหวังมาก ตอนนั้นเป็นเพราะพระชายารองรักท่านมาก จึงยอมละทิ้งความเป็นลูกสาวคนโตของท่านอัครเสนาบดี มาเป็นพระชายารองของท่าน หลายปีมานี้ก็พยายามจัดการเรื่องในจวนอย่างขันแข็ง ถึงจะไม่มีผลงานแต่ก็มีความตั้งใจอยู่ เมื่อมองดูสิ่งเหล่านี้แล้ว ก็ขอให้เสด็จพ่อให้นางได้จากไปอย่างสบายเถิด”

 

 

อ๋องฉีไม่ได้พูดอะไร

 

 

หวงฝู่อี้เซวียนก็พูดต่อว่า “อวี้เอ๋อร์เป็นลูกของท่าน และเป็นลูกของพระชายารองเหมือนกัน เขาไม่ได้มาขอร้องชีวิตแทนพระชายารอง แต่เพียงแค่ขอให้ท่านปล่อยนางให้ได้ไปอย่างสบาย เป็นความกตัญญูก็เท่านั้น เสด็จพ่อมองตอนที่ข้าไม่อยู่สิ อวี้เอ๋อร์ได้สร้างความสุขให้กับท่านเป็นอย่างมาก ทำให้จวนอ๋องมีชีวิตชีวาขึ้นมา เสด็จพ่อตอบรับคำขอร้องของเขาเถิด” เมื่อพูดจบ ก็เอาหัวโขกลงที่พื้น “เสด็จพ่อ ที่ลูกช่วยอวี้เอ๋อร์ขอร้องท่าน ก็เพราะว่าไม่อยากเห็นท่านต้องทรมานตัวเอง อย่างไรเสียก็ขอให้ท่านเข้าใจในความหวังดีของลูกด้วย ปล่อยนางให้ไปดีเสียเถิด”

 

 

อ๋องฉีหลับตาลงอย่างทุกข์ทรมาน สักพักหนึ่งถึงจะลืมตาขึ้นมา แล้วพูดด้วยน้ำเสียงที่สงบลงว่า “เซวียนเอ๋อร์ เจ้าพูดถูก ทรมานนางก็เหมือนกับทรมานตนเอง หลังจากนี้ข้าจะต้องมีชีวิตที่ดีไปพร้อมกับเสด็จแม่ของเจ้า ไม่จำเป็นต้องไม่มีความสุขเพียงเพราะผู้หญิงสารเลวคนนี้

 

 

หวงฝู่อี้เซวียนสีหน้ายิ้มแย้ม “เสด็จพ่อ ท่านคิดเช่นนั้นก็ดีมากเลย”

 

 

อ๋องฉีพยักหน้า โบกมือ “เจ้าและอวี้เอ๋อร์กลับไปก่อนเถอะ เรียกพ่อบ้านเข้ามา ข้ามีเรื่องสั่งเขา”

 

 

หวงฝู่อี้เซวียนลุกขึ้น แล้วออกจากห้องหนังสือ หวงฝู่อวี้ที่นั่งคุกเข่าอยู่หน้าห้องก็ได้ยินคำที่เสด็จพ่อพูดแล้ว ไม่รู้ว่าควรร้องไห้หรือว่ายิ้มดี เดินมาที่ข้างๆ เขา หวงฝู่อี้เซวียนใช้น้ำเสียงที่สงบพูดกับเขาว่า “อวี้เอ๋อร์ ลุกขึ้นเถอะ กลับไปรอข่าวกับข้า”

 

 

หวงฝู่อวี้ไม่ขยับ

 

 

หวงฝู่อี้เซวียนทำหน้าดุ และน้ำเสียงก็เปลี่ยนแกมเตือนว่า “อวี้เอ๋อร์ ไป”

 

 

หวงฝู่อวี้เงยหน้าขึ้น ดวงตาท่วมไปด้วยน้ำตา เนื้อเสียงอ้อนวอน “พี่ใหญ่ ข้าอยากเจอหน้าแม่ของข้าเป็นครั้งสุดท้าย”

 

 

พระชายารองถูกกักอยู่ในจวนทั้งวันทั้งคืนแล้ว แถมยังมีคนที่ตายไปแล้วครึ่งหนึ่งอีกสองคนอยู่ด้วย ไม่รู้ว่าอารมณ์จะปะทุออกมาได้ขนาดไหน ถ้าหากให้หวงฝู่อวี้ไปพบนางตอนนี้ เกรงว่าเขาจะไม่มีวันลืมความอนาถสุดท้ายของพระชายารองเลยทั้งชีวิตเป็นแน่ เมื่อคิดดังนี้ หวงฝู่อี้เซวียนก็กัดปาก พูดอย่างดุดันว่า “อวี้เอ๋อร์ พูดให้เสด็จพ่อยอมใจอ่อนก็ไม่ง่ายแล้ว เจ้ายังจะเรียกร้องเพิ่มอีก หากเสด็จพ่อทรงกริ้วขึ้นมาอีกแล้วเรียกคืนคำสั่ง ข้าก็ช่วยอะไรเจ้าไม่ได้แล้ว เจ้าไปคิดให้ดี”

 

 

“แต่ว่าพี่ใหญ่…” หวงฝู่อวี้ลองโน้มน้าวเขาอีกครั้ง

 

 

เขายังไม่ทันพูดจบ หวงฝู่อี้เซวียนก็แทรกขึ้นมาว่า “ไม่มีแต่ เจ้าจะกลับไปรอข่าวกับข้า หรือว่ารอเสด็จพ่อเรียกคืนคำสั่ง มีเพียงแค่สองตัวเลือก เจ้าเลือกได้อันเดียว”

 

 

หวงฝู่อวี้ก้มหน้าลง ไม่พูดจา

 

 

หวงฝู่อี้เซวียนเดินออกไปอย่างรวดเร็ว “เมื่อเป็นเช่นนี้ เจ้าก็ไปพูดกับเสด็จพ่อเอาเองก็แล้วกัน”

 

 

หวงฝู่อวี้เงยหน้ามองไปที่ด้านในห้องหนังสือ กัดฟันแล้วลุกขึ้น แล้วตามหวงฝู่อี้เซวียนไป ตามอยู่ด้านหลังเขา

 

 

พ่อบ้านได้รับคำสั่ง ก็มาถึงที่ห้องหนังสืออย่างรวดเร็ว เมื่อเห็นอ๋องฉีที่ดูแก่ขึ้นภายในคืนเดียว ก็ตกใจ รีบรนถามว่า “ท่านอ๋อง ท่าน…”

 

 

อ๋องฉีโบกมือแล้วแทรกขึ้นว่า “เจ้าไปเตรียมหล้าพิษมาหนึ่งแก้ว แล้วไปส่งเหลียนอีกับข้า”

 

 

พ่อบ้านไม่ได้ตกใจอะไร ถอยออกไป ไม่ช้าก็ยอกถาดที่มีแก้วสุราพิษอยู่บนมา “ท่านอ๋อง เตรียมพร้อมแล้วขอรับ”

 

 

อ๋องฉีลุกขึ้นยืน โซเซอยู่ครู่หนึ่ง พ่อบ้านร้องเรียกอย่างตกใจ “ท่านอ๋อง!”

 

 

อ๋องฉีโบกมือ เอามือยันโต๊ะสักพัก ค่อยพูดว่า “ไม่เป็นอะไร ไปกันเถอะ”

 

 

อ๋องฉีเดินนำหน้า พ่อบ้านถือสุราพิษตามอยู่ข้างหลัง ไม่นานก็มาถึงที่หน้าประตูของจวนพระชายารอง

 

 

นายทหารที่เฝ้าประตูอยู่เมื่อเห็นอ๋องฉีเดินมา ก็โค้งคำนับ

 

 

อ๋องฉีออกคำสั่งอย่างดุดันว่า “เปิดประตู!”

 

 

นายทหารเปิดประตูหนักออกอย่างลนลาน อ๋องฉีเดินไปที่หน้าประตูห้อง เปิดประตูเข้าไปข้างในห้อง พ่อบ้านถือสุราพิษอยู่ด้านหลัง

 

 

พระชายารองนั่งอยู่ตรงกลางระหว่างชุ่ยเหลียนและสาวแก่อีกคนหนึ่ง ท่าทางนิ่งเหม่อ เมื่อเห็นพวกเขาเข้ามา ลูกตาขยับ

 

 

พ่อบ้านนำสุราไปวางที่โต๊ะโดยที่ไม่มองสิ่งอื่นใด แล้วถอยออกไป ปิดประตู แล้วเฝ้าอยู่ด้านนอก

 

 

อ๋องฉีนั่งอยู่บนเก้าอี้ แล้วจ้องไปที่พระชายารอง

 

 

พระชายารองได้สติ อยากลุกขึ้น แต่เป็นเพราะนั่งค้างอยู่ท่าเดียวนานเกินไป ร่างกายก็ชาไปเสียหมด ตะเกียกตะกายอยู่นานก็ไม่สามารถลุกขึ้นมาได้

 

 

อ๋องฉีมองนางตะเกียกตะกายอย่างเย็นชา นางตะเกียกตะกายเพียงไรก็ไม่เป็นผล พระชายารองล้มเลิกไป ใช้มือสยายผมตัวเองหนึ่งที ยิ้มเยาะแล้วถามว่า

 

 

“ท่านอ๋อง ตัดสินใจได้แล้วหรือว่าจะจัดการกับหม่อมฉันอย่างไร”