ตอนที่ 144 ความอบอุ่นครั้งสุดท้าย

ข้ามกาลบันดาลรัก [ส่วนที่ 2 ภาคแต่งงาน]

“เหลียนอี” อ๋องฉีพูดด้วยเสียงแหบแห้ง “เจ้ายังจำตอนที่เรารู้กันกันครั้งแรกได้หรือไม่”

 

 

คำพูดอ๋องฉีทำให้นางหวนนึกย้อนความทรงจำ ใบหน้าของพระชายารองเผยรอยยิ้มแห่งความคิดถึงออกมา “จำได้เจ้าค่ะ ตอนนั้นข้าอายุได้สิบห้าปี แอบออกมาเที่ยวเล่นนอกจวนกับสาวใช้ เจอนักเลงระหว่างทาง เป็นท่านเอง ขณะนั้นท่านที่ยังเป็นองค์ชายอยู่ได้มาช่วยข้าเอาไว้ นับแต่นั้นมา ข้าก็ไม่เคยลืมท่านได้ลงอีกเลย”

 

 

อ๋องฉีพยักหน้า “ครานั้นหน้าตาของเจ้าน่ารักสดใส กิริยางดงาม นิสัยร่าเริง กล้าพูดกล้าทำ ข้าช่วยเจ้าแล้ว เจ้าก็ถามข้าทันทีว่าชื่อแซ่อะไร มีหญิงที่ถูกใจแล้วหรือไม่ แต่เป็นข้าเองกลับถูกความใจกล้าของเจ้าทำให้เขินอาย”

 

 

“จริงด้วย” ใบหน้าของพระชายารองเผยรอยยิ้มออกมา “ตอนนั้นท่านมิได้ตอบคำถามของข้า แต่หันหลังและรีบเดินจากไป ข้าจะตะโกนเรียกท่านอย่างไร ท่านก็ไม่หันหลังกลับมา ตอนนั้นในใจของข้ารู้สึกเสียดายเป็นอย่างมาก คิดไม่ถึงว่าเมื่อถึงตรุษจีน ท่านแม่จะพาข้าและพี่สาวไปเข้าร่วมงานฉลองในวัง จึงได้พบท่านอีกครั้ง ตอนนั้นข้าจึงได้รู้ว่าท่านเป็นถึงองค์ชายรองของราชวงศ์ เป็นลูกชายแท้ๆ ของฮองเฮา”

 

 

อ๋องฉีพูดต่อว่า “ที่จริง ข้าตกหลุมรักเจ้าตั้งนานแล้ว หลังจากงานเลี้ยงในวังเสร็จสิ้น เราสองคนก็แอบสานสัมพันธ์กันอย่างลับๆ ความรู้สึกค่อยๆ เพิ่มมากขึ้น จนกระทั่งข้าได้ให้สัญญากับเจ้าว่าจะสู่ขอเจ้ามาเป็นพระชายา และยังสัญญาว่าชาตินี้จะมีเจ้าเพียงผู้เดียว”

 

 

พระชายารองน้ำตาไหล “แต่ท่านอ๋องกลืนคำพูดของตนเอง กลับไปสู่ขอลูกสาวขี้โรคของท่านแม่ทัพมาเป็นพระชายา ใจข้ายอมไม่ได้”

 

 

อ๋องฉีมองนาง ตรงหน้ายังปรากฏภาพในวันที่พวกเขาพบกันครั้งแรก พูดว่า “ใช่ ข้ากลืนคำพูดของตนเอง เนื่องด้วยเสด็จพ่อเสด็จสวรรคตกระทันหัน ท่านพี่ที่เพิ่งรับตำแหน่งฮ่องเต้ยังไม่มั่นคง ต้องการกำลังจากภายนอกเข้าเสริม เสด็จแม่จึงได้เลือกซู่อิง ในตอนนั้นข้าปฏิเสธหนักแน่น แต่เสด็จแม่พูดว่า ท่านแม่ทัพกุมกองกำลังทหารอยู่ จะเป็นกำลังช่วยฮ่องเต้ได้มากที่สุด หากข้าสู่ขอซู่อิง ก็มิมีใครกล้าจะขัดความเห็นของฮ่องเต้ได้ ข้าทำเพื่อฮ่องเต้ ทำเพื่อท่านแม่ จึงยอมตกลงแต่งงานกับซู่อิง”

 

 

น้ำตาของพระชายารองไหลออกมามากกว่าเดิม “ท่านอ๋องไปหาข้าที่จวนมหาเสนาบดีเพื่อบอกว่าจะไปสู่ขอผู้อื่นมาเป็นชายา ให้ข้าไปหาคู่ครองอื่นที่เหมาะสม ข้ารู้สึกดั่งว่าฟ้าได้ทลายลง อยากจะตายไปเสียสิ้นเรื่อง แต่เพราะเสด็จพ่อและพี่ใหญ่ปลอบข้าไว้ บอกว่าหากข้าไม่ยอมแต่งกับใครนอกจากท่าน ก็สามารถเป็นสนมของท่านได้ ข้ารู้สึกไม่ยุติธรรมเป็นอย่างมาก จึงตอบตกลงไปโดยไม่ได้ไตร่ตรอง ทีแรกข้าคิดว่าคนร่างกายอ่อนแอขี้โรคอย่างนังซู่อิง แม้ท่านสู่ขอนางมาแล้ว ก็คงจะปฎิบัติต่อนางเหมือนเป็นของตกแต่งเท่านั้น คงจะไม่แตะต้องนางเป็นแน่ ข้าไม่คิดเลยว่า ผ่านไปไม่นานนางก็ตั้งครรภ์ขึ้น แต่นั้นมาข้าก็กลายเป็นบ้า ท่านไปแตะต้องหญิงอื่นได้อย่างไร หนำซ้ำยังให้นางมีครรภ์อีก ข้าไม่สามารถให้เรื่องเหล่านี้ดำเนินต่อไปได้ ข้าจะต้องกำจัดนาง รวมทั้งลูกในท้องของนาง และโอกาสก็มาถึง องค์ชายห้าจะมาแย่งชิงราชบัลลังก์ ท่านและท่านแม่ทัพจะต้องไปช่วยที่วัง และจัดการวางแผนให้นังหญิงนั่นออกจากจวนไปอีก”

 

 

“ดังนั้นเจ้าจึงได้สั่งคนไปลอบฆ่านาง ทำให้ข้าและเซวียนเอ๋อร์ต้องแยกจากกันถึงสิบเอ็ดปี”

 

 

พระชายารองพยักหน้า “ข้าทำเอง ในตอนนั้นท่านอ๋องฉีเองก็พอจะเดาได้ใช่หรือไม่ แต่ว่าก็มิได้ลงโทษข้า แต่กลับสั่งฆ่าคนที่เหลืออยู่ทั้งหมด แต่นั้นมา จึงไม่มีใครกล้าพูดถึงเรื่องนี้อีก”

 

 

อ๋องฉีพยักหน้า “ในใจของข้ารู้สึกผิดกับเจ้ามาตลอด จึงยอมอ่อนให้เจ้า ถึงได้สั่งฆ่าปิดปากทุกคน”

 

 

“แต่ท่านอ๋องรู้หรือไม่ว่าเนื่องด้วยความใจอ่อนของท่านครานั้น ทำให้สนมอย่างข้าร้ายขึ้นเรื่อยๆ ไม่เหมือนตัวเองขึ้นไปทุกวัน”

 

 

อ๋องฉีพยักหน้าอีกครั้ง “ดังนั้นเจ้าจึงกล้าวางยาเป็นหมันให้ข้ากิน เมื่อรู้ข่าวเซวียนเอ๋อร์จึงได้ส่งคนไปลอบฆ่าเขา”

 

 

ผ่านไปครู่หนึ่ง ความรู้สึกชาของตัวพระชายารองได้หายไป นางยืนขึ้นช้าๆ เดินทีละก้าวไปยังตรงหน้าของอ๋องฉี นั่งลงบนตั่งอีกตัว จับผมเผ้าของตนเอง จัดแจงเสื้อผ้าให้เรียบร้อย จึงได้พูดว่า “ถูกต้อง ข้าต้องการให้สองแม่ลูกชั้นต่ำนั่นกลับไปที่นรก เช่นนี้ข้าก็จะสามารถเป็นเจ้าของท่านเพียงผู้เดียว จากนี้ไปก็ไม่มีใครมาแย่งท่านไปจากข้า เราสามคนพ่อแม่ลูกก็จะได้อยู่ร่วมกันอย่างมีความสุข แต่เสียดายที่ฟ้าไม่เป็นใจให้ข้า มาถึงขั้นนี้แล้ว ข้าก็ไม่มีอะไรจะพูด”

 

 

อ๋องฉีมองนางนิ่งๆ ไม่พูดอะไรเลยครู่ใหญ่

 

 

แต่พระชายารองกลับยิ้มอ่อน “ท่านอ๋อง เหตุใดจึงมองข้าเช่นนี้ล่ะเจ้าคะ”

 

 

“เหลียนอี” ท่านอ๋องพูด

 

 

“เจ้าคะ” พระชายารองมองเขา ตอบอย่างยิ้มๆ

 

 

“ทั้งหมดนี้มีมหาเสนาบดีอยู่เบื้องหลังใช่หรือไม่” อ๋องฉีถามอย่างไม่รีบร้อน

 

 

รอยยิ้มของพระชายารองแข็งทื่อ แววตามีความตกใจเล็กน้อย จากนั้นก็กลับมาเป็นปกติ “ท่านอ๋องผิดแล้วเจ้าค่ะ ท่านพ่อรับราชการมาหลายปี รู้ดีว่าเรื่องใดควรทำ เรื่องใดมิควร ท่านจะยื่นมือมายุ่งเรื่องในมุ้งเช่นนี้ได้อย่างไร”

 

 

“นั่นก็เพราะว่าพวกเจ้ารู้ว่าบนตัวของอี้เซวียนมีหยกที่สามารถเอาถ่ายโอนเอาเงินทองจากทั่วประเทศมาได้อย่างง่ายได้ พวกเจ้าอยากเป็นเจ้าของมัน จึงได้พยายามวางสุราพิษเซวียนเอ๋อร์หลายครา ใจคนเรามีความโลภทั้งนั้น มีของดีเช่นนี้พวกเจ้ามิอยากได้หรือ”

 

 

พระชายารองตกใจจนลนลาน “ท่านอ๋อง ท่านพ่อไม่ได้…”

 

 

อ๋องฉียกมือปราม ห้ามสิ่งที่นางกำลังจะพูด “ไม่ว่าความจริงจะเป็นเช่นไร ข้าสัญญากับเจ้า หลังเจ้าจากไปแล้ว หากพวกเขาไม่ทำเรื่องอันตรายต่อเซวียนเอ๋อร์ ข้าก็จะไม่เอาความ ถือเสียว่าไม่เคยเกิดเรื่องใดขึ้นเลย นี่ก็ถือเป็นการชดเชยให้เจ้า จากนี้ไปข้าและจวนมหาเสนาบดีก็ไม่มีอะไรติดค้างกันอีก”

 

 

เมื่อได้รับคำสัญญาจากเขา สีหน้าของพระชายารองกลับมาเป็นปกติ มองไปที่สุราพิษบนโต๊ะ จึงพูดออกมาว่า “ข้าคิดว่าท่านอ๋องจะเก็บข้าไว้ให้ทรมานเสียอีก”

 

 

“ถูกแล้ว ข้าเองอยากจะทรมานเจ้า แต่อวี้เอ๋อร์ได้คุกเข่าขอร้องแทนเจ้าที่หน้าห้องหนังสือตั้งแต่เมื่อวาน ข้าจึงสัญญากับเขาว่าจะตัดสินให้เด็ดขาด”

 

 

เมื่อพูดถึงหวงฝู่อวี้ สีหน้าของพระชายารองมีความเจ็บปวดขึ้นมา หันหน้าไปมองอ๋องฉีอย่างรอคอย “ท่านอ๋อง อวี้เอ๋อร์ไม่รู้เรื่องอะไรด้วย หากข้าตายไปแล้ว ท่านจะดูแลเขาให้ดีได้หรือไม่”

 

 

“อวี้เอ๋อร์ไม่เป็นเพียงลูกของเจ้า แต่ยังเป็นลูกของข้าด้วย ขอเพียงเขาอยู่ในกรอบ ไม่ทำเรื่องที่ไม่ควรทำ ไม่แย่งชิงสิ่งที่ไม่ควรเป็นของเขามาจากหวงฝู่อี้เซวียน ข้าก็จะดีกับเขา”

 

 

พระชายารองยื่นมือออกมา หยิบสุราพิษมาที่หน้าของตนเอง “อย่างนั้นข้าก็วางใจแล้ว ต่อไปข้าไม่อยู่แล้ว ขอให้ท่านอ๋องดูแลสุขภาพด้วยนะเจ้าคะ”

 

 

อ๋องฉีมิได้กล่าวอะไร แต่มองนางอย่างนิ่งๆ

 

 

พระชายารองยิ้มออกมา หยิบสุราพิษมาดื่มจนหมด

 

 

ใบหน้าของอ๋องฉีไม่แสดงอาการใดๆ ราวกับว่ากำลังมองคนแปลกหน้าอย่างนั้น

 

 

เมื่อสุราพิษเข้าไปในท้อง ใจของพระชายารองก็ร้อนเป็นไฟ สายตามองอ๋องฉีอย่างอาลัยอาวรณ์ ราวกับว่าอยากจะจดจำใบหน้าของเขาไว้ในใจตราบชั่วนิรันดร์ ไม่นาน นางก็กระอักเลือดออกมา และนอนราบหมดลมหายใจอยู่บนโต๊ะ

 

 

อ๋องฉีนั่งลงบนตั่ง มองทั้งหมดนี้ด้วยสีหน้าเรียบเฉย เวลาผ่านไปนานแสนนาน จึงได้ตะโกนด้วยเสียงแหบว่า “พ่อบ้าน!”

 

 

พ่อบ้านเดินเข้ามาตามเสียง เดินก้มหน้าไปยังตรงหน้าของอ๋องฉี “ท่านอ๋อง”

 

 

ท่านอ๋องฉีสั่งด้วยน้ำเสียงปกติว่า “ศพข้าทาสสองคนนั้นเอาไปทิ้งให้หมากิน และสั่งให้คนมาเก็บร่างของเหลียนอี ไปซื้อโลงศพอย่างดีมาบรรจุนาง หลังจากทำเรื่องพวกนี้แล้ว จึงค่อยแจ้งเรื่องเศร้ากับทางมหาเสนาบดี บอกว่าเหลียนอีป่วยกระทันหัน จึงสิ้นชีพเนื่องจากรักษาไม่ทัน และสั่งให้คนในจวนไว้ทุกข์ให้เหลียนอีสามวัน”

 

 

พ่อบ้านตอบรับอย่างนอบน้อม

 

 

อ๋องฉีลุกขึ้น เดินจากไปอย่างไม่อาลัยอาวรณ์ และกลับไปยังหอนอนตนเอง

 

 

พ่อบ้านรีบจัดการนำสองคำสั่งแรกไปสั่งบ่าวไพร่ในจวน

 

 

เมื่อบ่าวไพร่ในจวนรู้เข้าจึงตกใจกันหมด โดยเฉพาะบ่าวไพร่ที่เคยรับใช้อยู่ในเรือนของพระชายารอง ในใจตกใจจนแทบลมจับ เกรงว่าท่านอ๋องฉีจะโกรธมาก จนทำให้ตนนั้นเดือดร้อนไปด้วย

 

 

ไม่นาน เรื่องการตายของพระชายารองก็แพร่ไปทั่วจวน บ่าวไพร่ของเรือนพระชายาเองก็รู้ข่าว และซุบซิบกันอย่างเสียงเบา

 

 

หวงฝู่อวี้เองก็อยู่ในห้องนั้น การที่อ๋องฉีไม่ได้สั่งคนมาแจ้งข่าวแก่เขาก็คงมีเหตุผลเช่นกัน หลิงหลงดุคนใช้ในจวนเสียงเบาว่า “ซุบซิบอะไรกันอีก อยากถูกถลกหนังหรืออย่างไร”

 

 

เหล่าคนใช้สลายตัวทันที รีบไปทำหน้าที่ของตนเอง

 

 

พระชายาได้ยินเสียงดุคนใช้ของนาง จึงตะโกนถามว่า “หลิงหลง เกิดเรื่องอะไรขึ้นอย่างนั้นหรือ”

 

 

หลิงหลงรีบตอบว่า “ไม่มีเจ้าค่ะ มีบ่าวไพร่แอบอู้งาน ข้าจึงสั่งสอนพวกนั้นไป”

 

 

พระชายาไม่ได้คาดคั้นอีก

 

 

หลิงหลงถอนหายใจอย่างโล่งอก

 

 

หวงฝู่อี้เซวียน หวงฝู่อวี้และเมิ่งเชี่ยนโยวนั่งอยู่ในห้องเป็นเพื่อนพระชายา เมื่อได้ยินเสียงแจ้งข่าวจากหลิงหลง หวงฝู่อวี้ที่เอาแต่ก้มหน้าก้มตา ไม่พูดไม่จาก็ พรึ่บ ลุกพรวดขึ้นมาทันที และรีบวิ่งออกไปด้านนอก

 

 

พระชายาอยากขานเรียกเขา

 

 

หวงฝู่อี้เซวียนห้ามนาง “ปล่อยเขาไปเถิด อย่างไรก็เป็นแม่แท้ๆ ให้พวกเขาได้เจอหน้ากันเป็นครั้งสุดท้ายเถิด”

 

 

พระชายาไม่พูดอะไรอีก

 

 

หวงฝู่อี้เซวียนหันกลับพูดกับเมิ่งเชี่ยนโยวด้วยเสียงอ่อนโยนว่า “ในจวนเกิดเรื่องใหญ่ถึงเพียงนี้ขึ้น เจ้าไม่ควรอยู่ที่นี่ต่อไปแล้ว ข้าจะไปส่งเจ้ากลับบ้าน สองสามวันนี้หากไม่มีธุระอะไรสำคัญข้าก็คงไม่ไปหาเจ้า”

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวพยักหน้า หลังทำความเคารพพระชายาแล้วจึงได้เดินตามหวงฝู่อี้เซวียนออกจากจวนไป

 

 

กัวเฟย ชิงหลวนและจูหลีสามคนได้เตรียมรถม้าไว้รออยู่ด้านหน้าตลอดเวลา

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวออกจากประตูจวน หยุดฝีเท้าลง พูดกับหวงฝู่อี้เซวียนว่า “ไม่ต้องไปส่งข้าหรอก ข้ากลับเองดีกว่า”

 

 

หวงฝู่อี้เซวียนไม่ขันขืน พยักหน้า สั่งว่า “ระวังตัวด้วย”

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวสาวเท้ายาวมาถึงข้างรถม้า และขึ้นรถม้าไป กัวเฟยรีบฟาดแซ่หวดม้า เดินรถม้าจากไป ชิงหลวนและจูหลีขนาบอยู่ทั้งสองด้านของรถม้า

 

 

เมื่อเห็นรถม้าแล่นไกลออกไป หวงฝู่อี้เซวียนถึงได้เดินกลับเข้าไปในจวน

 

 

หวงฝู่อวี้วิ่งตรงไปยังเรือนพระชายารอง บริเวณนั้นถูกล้อมรอบด้วยผ้าขาว มีบ่าวไพร่จำนวนหนึ่งนั่งคุกเข้าร้องไห้อยู่หน้าประตู หวงฝู่อวี้พุ่งเข้าไปในห้อง เห็นใบหน้าสะอาดสะอ้านของพระชายารอง นอนอยู่บนเตียงด้วยสีหน้าเรียบเฉย ราวกับว่าเพียงแค่นอนหลับไปเท่านั้น

 

 

หวงฝู่อวี้เดินเข้าไปที่เตียงทีละก้าว เอื้อมมือไปแตะใบหน้าเย็นเฉียบของพระชายารอง ฟุ่บ นั่งลงที่ข้างเตียง ร้องไห้ออกมาอย่างเจ็บปวด

 

 

เมื่อได้ยินเสียงร้องของเขา เหล่าบ่าวไพร่ที่อยู่หน้าห้องก็ร้องตามไปด้วย

 

 

เมื่อซื้อโลงศพอย่างดีมาแล้ว จึงนำร่างไร้วิญญาณบรรจุไว้ด้านใน พ่อบ้านสั่งให้คนไปส่งข่าวร้ายที่จวนมหาเสนาบดี

 

 

หลังจากที่เฮ่อเหลี่ยนและพระชายารองได้วางแผนการณ์นีมา ก็ได้ส่งคนมาจับตามองจวนอ๋องฉีอยู่เสมอ เพียงเพื่อรอเรื่องน่าอับอายจากด้านใน เขาจะได้สั่งคนให้ไปแพร่ข่าว เพื่อที่จะให้ชื่อเสียงของจวนอ๋องฉีและตัวฉู่เหวินเจี๋ยเสื่อมเสีย แต่รออยู่นานสองนาน นอกจากเห็นว่าหวงฝู่อี้ออกมาซื้อยา และเขาได้ส่งคนไปขัดขวางแล้ว จวนอ๋องก็ไม่ได้มีข่าวอะไรแพร่ออกมาอีก และคนที่เขาส่งไปจับตามองที่จวนเฝิงก็หายไปอย่างไร้ร่องรอย ใจของเฮ่อเหลี่ยนมีลางสังหรณ์ไม่ดี รู้ได้ว่าเกิดเรื่องขึ้นแล้ว โดยเฉพาะวันนี้จวนอ๋องและฉู่เหวินเจี๋ยได้ยกขบวนขันหมากไปยังจวนเฝิง แต่พระชายารองกลับไม่ส่งข่าวอะไรมาให้เขาเลย

 

 

ขณะที่กำลังเดินวนไปมาในห้องด้วยความร้อนใจ บ่าวไพร่ก็เข้ามาแจ้งข่าวด้วยความรีบร้อน “คุณชายขอรับ เกิดเรื่องไม่ดีขึ้นแล้วขอรับ”

 

 

เฮ่อเหลี่ยนที่กำลังกังวลใจอยู่ ขมวดคิ้วลงมา ดุเขาว่า “กระโตกกระตากจริง ไม่สำรวมกิริยาเสียเลย”

 

 

บ่าวไพร่กลืนน้ำลาย พูดอย่างร้อนรนว่า “คุณชาย เมื่อครู่ทางจวนอ๋องได้มาส่งข่าวร้าย พระชายารองป่วยกระทันหัน รักษาไม่ทันจึงสิ้นชีพิตักษัยแล้วขอรับ”

 

 

ปัง! เฮ่อเหลี่ยนตกใจจนทรุดลงกับพื้น ถามอย่างไม่เชื่อว่า “เจ้าพูดอะไร พูดอีกทีซิ”

 

 

บ่าวไพร่พูดอีกครั้งว่า “ผู้ส่งข่าวร้ายพูดว่า พระชายารองป่วยกระทันหัน รักษาไม่ทัน จึงสิ้นชีพไปแล้วขอรับ”

 

 

ครั้งนี้ได้ยินคำของบ่าวไพร่อย่างชัดเจนแล้ว เฮ่อเหลี่ยนหน้าทื่ออยู่บนพื้น ครู่ใหญ่จึงค่อยตะเกียกตะกายยืนขึ้น แต่แข้งขาเกิดอ่อนแรงขึ้นมา บ่าวไพร่รีบเข้ามาช่วยพยุงเขาขึ้น เฮ่อเหลี่ยนเดินโซเซไปยังห้องรับแขก

 

 

เฮ่อจางได้ยินการแจ้งข่าวจากบ่าวไพร่ในจวนอ๋องแล้ว เจ็บปวดจนกระอักเลือดออกมา พ่อบ้านตกใจมาก รีบสั่งคนให้ไปตามหมอมา คนส่งข่าวจากจวนอ๋องเห็นท่าไม่ดี จึงได้บ่ายเบี่ยงว่าในจวนกำลังวุ่นเรื่องศพของพระชายารอง จึงได้รีบกลับไปก่อน เฮ่อจางเป็นเช่นนี้ พ่อบ้านของจวนเฮ่อจึงไม่มีเวลาสนใจเขา จึงปล่อยเขาไป

 

 

เมื่อเฮ่อเหลี่ยนเดินทางมาถึงห้องรับแขก เห็นสถานการณ์วุ่นวายเช่นนี้ ในใจก็ยิ่งตื่นตระหนกมากขึ้น เดินไปตรงหน้าของเฮ่อจาง ถามอย่างร้อนรนว่า “ท่านพ่อ ท่านเป็นอะไรไปหรือขอรับ”

 

 

รอยเลือดที่ปากของเฮ่อจางยังอยู่ เขาสูดหายใจลึกแล้วพูดว่า “สุขภาพของเหลียนเอ๋อร์แข็งแรงมาตลอด จะมาป่วยกระทันหันตายเสียได้อย่างไร ข้าเจ็บใจเหลือเกิน”

 

 

แววตาของเฮ่อเหลี่ยนเปลี่ยนไป เขาใช้สายตามองพ่อบ้าน เพื่อเป็นสัญญาณว่าให้เขาพาบ่าวไพร่ออกไปด้านนอก