ซีเหมินจินเหลียนคิดไปมาเลยพูดขึ้น “ฉันไม่ได้สนใจสิ่งนั้น ไม่รู้เรื่องอะไรเลย!” ถ้าหากไม่ใช่ผู้อาวุโสหูเป็นคนพูดขึ้นมา เธอคงไม่รู้อะไรจริงๆ
“ถ้าอย่างนั้นก็ถือว่าคุณโชคดีแล้ว” หญิงงามในชุดโบราณถอนลมหายใจ “ฉันชื่อไห่ถัง บางทีคุณอาจจะคิดไม่ถึงว่าเพื่อตำนานที่ไม่มีจริงแล้ว พวกเราต้องลำบากไม่รู้ต่อกี่รุ่น โดยที่ไม่รู้ว่าทำเพื่ออะไรอยู่!”
“แต่พวกคุณก็เลือกที่จะปล่อยวางได้” ซีเหมินจินเหลียนส่ายหน้าพูด “อย่างคืนนี้ก็ไม่มีใครจ่อปืนบังคับคุณไปปล้นเครื่องประดับสักหน่อยนี่? พวกคุณเป็นคนเลือกเองที่จะเดินบนเส้นทางหายนะนี้เอง!”
“คุณจินเหลียน ฉันขอถามคุณหน่อย มนุษย์เรามีชีวิตอยู่ไปเพื่ออะไร” ไห่ถังถามขึ้นมาอย่างกะทันหัน
ซีเหมินจินเหลียนสับสน มีชีวิตอยู่เพื่ออะไรหรือ? ไม่ว่าคนคนหนึ่งจะพยายามเท่าไหร่ ในอนาคตก็คงหลีกเลี่ยงความตายไม่ได้อยู่ดี ขอทานกับพระราชายังไม่มีทางที่จะหลุดพ้นวงจรเช่นนี้เลย
“ชีวิตคนเรา ไม่ว่าจะมีสีสันหลากหลายขนาดไหน และไม่สนว่าจะมีอำนาจเงินทองอยู่เท่าไหร่ สุดท้ายก็คือเส้นทางแห่งความตาย” ไห่ถังถอนหายใจยาว คิ้วงามขมวดเข้าหากันอีกครั้ง “คนทั่วไปก็ไม่เป็นไรหรอก แต่พวกพระราชาที่มีอำนาจล้นฟ้ายิ่งใหญ่ย่อมคิดแตกต่างโดยสิ้นเชิง เขาหวังว่าจะมีชีวิตยืนยาวกว่าคนทั่วไป”
ซีเหมินจินเหลียนพยักหน้าและหวนคิดถึงตำนานไซอิ๋ว ตอนที่ซุนหงอคงถามว่า ‘คนส่วนมากขอแค่มีอายุที่ยืนยาว!’
“ความรุ่งเรืองของเราน่าจะกลับไปตอนยุคราชวงศ์หมิง” ไห่ถังพูดขึ้นอีกครั้ง
ซีเหมินจินเหลียนคิ้วขมวดคิดถึงยุคราชวงศ์หมิง มีฮ่องเต้พระองค์หนึ่งที่ใช้แรงงานประชาชนอย่างสิ้นเปลือง เคร่งครัดในการบรรลุพระธรรม แน่นอนความตั้งใจก็เพื่ออยากจะมีอายุยืนยาว
ไห่ถังเงียบไปชั่วครู่และพูดขึ้นว่า “รายละเอียดเป็นอย่างไร ฉันเองก็ไม่ค่อยแน่ชัด แต่มีราชาที่เชื่อเรื่องนี้ เร็วสุดคือเมื่อสมัยโบราณกาล มียาเทพที่กินแล้วไม่ตาย คนในช่วงนั้นมีพลังเทพกันทั้งนั้น เพราะฉะนั้นฮ่องเต้พวกนี้จึงเริ่มรวบรวมอำนาจทั้งประเทศ อยากจะมีชีวิตยืนยาวเป็นอมตะ ชีวิตอมตะไม่เป็นแค่ตำนานความฝันอีกแล้ว เวลานั้นข้อมูลมหาศาลที่รวบรวมไว้ ถูกเผาทำลายล้างโดยทหารราชวงศ์ชิงทั้งหมด แต่ก็ยังคงเหลือตำนานเผยแพร่ออกมาได้”
ซีเหมินจินเหลียนมองไปที่จ่านป๋าย ประจวบเหมาะกับที่จ่านป๋ายมองมายังเธอพอดี ตำนานแบบนี้แม้ว่าประวัติยุคไหนก็มีทั้งนั้น ที่เป็นที่รู้จักที่สุดคงจะเป็นจิ๋นซีฮ่องเต้ที่ส่งคนไปตามหายาที่กินแล้วเป็นอมตะไม่มีทางแก่จากที่ไกลโพ้นทะเล แต่ละฉบับต่างมีปรากฏให้เห็น จนถึงตอนนี้เธอคิดฟังมันจนคิดเสียว่าเป็นนิทาน
“ในราชวงศ์มีความลับที่ถูกเก็บเอาไว้ ในสมัยยุคเริ่มราชวงศ์ชิง บ้านเมืองรุ่งเรือง แต่ไม่เห็นจะมีใครสนใจเรื่องพวกนี้ แต่หลังจากผ่านไปหลายชั่วอายุคน มีฮ่องเต้องค์หนึ่งที่เริ่มสนใจขึ้นมา!” ไห่ถังพูดต่อ
“อ้อ?” ซีเหมินจินเหลียนขมวดคิ้ว ในใจมีแต่ความสงสัยไม่รู้จบ เป็นใครกันแน่ที่เริ่มสนใจในสิ่งไร้สาระพวกนี้?
“คุณจินเหลียน คุณลองทายดูสิว่าเป็นใคร?” ไห่ถังยกมุมปากและยิ้มด้วยท่าทีสง่าผ่าเผย
ซีเหมินจินเหลียนเงียบอยู่นานถามขึ้น “เฉียนหลง?”
“ทำไมคุณถึงคิดถึงเขาได้ล่ะ?” ไห่ถังถามอย่างสงสัย
จ่านป๋ายรู้สึกสงสัย ทำไมเธอถึงคิดถึงเขาได้? ซีเหมินจินเหลียนพูด “เมื่อเผชิญหน้ากับการพัฒนาหรือเปลี่ยนแปลงอย่างต่อเนื่อง เราต้องปรับตัวเข้ากับสถานการณ์เพื่อเข้าสู่การปฏิวัติ ย้อนกลับมาก็เป็นเช่นนี้จริงๆ ในช่วงต้นราชวงศ์ชิงเพียงต้องการที่จะรักษาเสถียรภาพของอำนาจทางการเมือง แต่หลังจากที่จักรพรรดิต่างๆ มีเจตจำนงเป็นหนึ่งเดียวแล้ว ในยุคของเฉียนหลง ดวงชะตาของประเทศเจริญรุ่งเรือง ทำให้คนคงไม่มีอะไรทำ เกิดเหตุร้ายไม่คาดฝันขึ้น มีจักพรรดิคนหนึ่งเพลิดเพลินไปกับความมั่งคั่งจนความทะเยอทะยานพุ่งสูงขึ้น!”
ไห่ถังพูด “คุณพูดถูก เป็นเฉียนหลงฮ่องเต้นั่นล่ะ ไม่รู้ว่าเขาค้นหาประวัติความลับของราชวงศ์ก่อนหน้าได้อย่างไร จากนั้นเขาก็เริ่มเชื่อเรื่องหินที่มีเนื้อหยกซ่อนไว้อยู่ นั่นก็คือหินปิดฟ้าของเทพธิดาฝึกหิน จากนั้นเขารวบรวมนักปราชญ์บัณฑิตจำนวนมาก ให้คนทั่วแดนบริจาคหนังสือและซ่อมแซมประมวลสาส์นสี่พระคลัง…”
จ่านป๋ายได้ยินเช่นนั้นสีหน้าก็เปลี่ยนไปเล็กน้อย “หรือว่าการที่เขาให้คนมาบริจาคหนังสือ ก็เพื่อซ่อมแซมประมวลสาส์นสี่พระคลัง แต่ความจริงเป็นนั้นแค่ตรวจสอบพิสูจน์ตำนาน?”
ไห่ถังพยักหน้าลงน้อยๆ “ข้อดีของคนคนนี้ แน่นอนพวกเราแสดงความคิดเห็นอะไรไม่ได้ มันเป็นปัญหาของนักประวัติศาสตร์ สิ่งที่ฉันรู้คือใช้สี่ห้องสมุดนี้เพื่อเก็บรวบรวมหนังสือมหัศจรรย์ ผลการตรวจสอบหาตำนานปิดฟ้าของเทพธิดาอย่างบากบั่น ทำให้เขาเชื่อจนถึงขั้นต้องส่งทัพไปพม่าหลายต่อหลายครั้ง”
“อืม” ซีเหมินจินเหลียนพยักหน้า ไม่สนว่าตอนแรกเป้าหมายของฮ่องเต้พระองค์นี้จะอยู่ที่ไหน แต่เธอยังคงตั้งใจฟัง
“เฉียนหลงก็ช่างเถอะ รอให้ซูสีไทเฮากุมอำนาจไว้ในมือ รู้ความลับนี้ก็เริ่มที่จะทำตัวเองให้เป็นที่ใกล้ชิดและไว้วางใจมากขึ้น ตามหาของในตำนาน อย่างเป็นความลับ” เมื่อไห่ถังพูดถึงตอนนี้ก็ถอนหายใจออกมา “สำนักของพวกเราสืบทอดมาจากตอนนั้น ตอนนี้หัวหน้าสำนักก็ตายไปนานแล้ว แต่ตัวเองยังติดอยู่ในนั้นและปรารถนาที่จะหาวิธีที่ไม่มีวันตาย ดังนั้นผู้คนนับไม่ถ้วนเลยสืบทอดเจตนารมณ์กันต่อ”
“เรื่องนี้เกี่ยวข้องอะไรกับการปล้นอัญมณีของพวกคุณ” ซีเหมินจินเหลียนถามขึ้น “พวกคุณอยากจะหาหินปิดฟ้าก็ไปหาที่พม่าเองก็ได้แล้ว ทำไมต้องไปขโมยอัญมณีของบริษัทหมิงฮุยจิวเวอรี่ด้วย?”
“คุณจินเหลียน ตอนนี้ไม่เหมือนก่อนแล้ว!” ไห่ถังถอนหายใจ “เมื่อก่อนทำงานเพื่อหัวหน้าสำนักพวกเขาให้เงินมาใช้จ่ายฟุ่มเฟือยไม่อั้น ไม่ต้องกังวลใจเรื่องแหล่งที่มาของเงินทุน จนบางครั้งเขาก็มีอำนาจที่แท้จริงอยู่ในมือ แต่ตอนนี้ไม่เหมือนกันแล้ว มีเรื่องอะไรบ้างที่ไม่ต้องใช้เงิน? พวกเราไม่มีเงิน อย่าพูดถึงการตามหาหินปิดฟ้าเลย แต่แม้แต่เงินทุนในการซื้อหินหยกพวกเรายังไม่มี! พวกเราต้องซื้อเครื่องมือต่างๆ ต้องจ้างพนักงาน ไหนจะรัฐบาลพม่าที่ดูดเลือดซะยิ่งกว่าแดรกคูล่าเสียอีก อยากจะขุดหยกจากเหมืองแร่ของพวกเขามันง่ายนักเหรอ? ถ้าไม่มีเงินพวกเราจะทำยังไง?”
ซีเหมินจินเหลียนนวดขมับที่ปวดตุบแล้วถามขึ้น “แล้วเรื่องนี้เกี่ยวอะไรกับฉัน?”
“เกี่ยวสิ!” ไห่ถังพูด “สำนักของพวกคุณทางนั้นพิเศษมาตลอด ความสามารถในการเดิมพันหินเป็นที่ยอมรับของทุกคน แต่จนถึงตอนนี้ดูจากทุกคนแล้ว คุณน่าจะอยู่จุดที่สูงสุด ถึงจะเป็นราชาหูผู้ลึกลับคนนั้นก็สู้คุณไม่ได้เลย!”
ราชาหู แน่นอนว่าต้องเป็นผู้อาวุโสหู
ไห่ถังคิดแล้วก็พูดอีกครั้งว่า “เพียงแต่ระหว่างพวกคุณไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น ถึงทะเลาะกันอย่างรุนแรง สู้ความสามัคคีของอันธพาลไม่ได้ เดิมทีพวกเราร่วมมือกับบริษัทหมิงฮุยจิวเวอรี่เพราะเล็งเห็นถึงเทคนิคความสามารถการเดิมพันหินของเธอ แต่หลายปีมานี้คุณนายซูกุมอำนาจไว้ เลยทำให้หัวหน้าใหญ่ของพวกเราไม่สบายใจเท่าไหร่”
“เพราะอย่างนั้นพวกคุณเลยเรียกพวกเรามา?” ซีเหมินจินเหลียนถาม
“ใช่!” ไห่ถังพยักหน้าพูดขึ้น “ความหมายของหัวหน้าก็คือ ความสามารถในการเดิมพันหินของคุณเก่งกาจจริงๆ การเดิมพันหินใหญ่ครั้งนี้ทำให้ผู้คนตกตะลึงและยอมรับ เพราะฉะนั้นร่วมมือกับคุณน่าจะไม่ผิดแล้ว อีกอย่างข้างกายคุณก็ยังมีคุณชายตระกูลจ่านคอยสนับสนุน!”
ซีเหมินจินเหลียนได้ยินเช่นนั้นก็มุ่นคิ้วขึ้น ที่พวกเขาพูดว่าคุณชายตระกูลจ่าน คงจะไม่ได้หมายถึงจ่านป๋าย แต่เป็นจ่านมู่ฮวาสินะ
“ก่อนหน้านี้ฉันเคยคุยๆ กับคุณชายจ่านแล้ว เขาบอกว่าขอแค่คุณจินเหลียนเห็นดีเห็นงามด้วย เรื่องทั้งหมดที่เหลือก็เจรจาคุยกันได้ง่าย” ไห่ถังพูดต่อ
ซีเหมินจินเหลียนมองไปที่จ่านป๋าย จ่านป๋ายรู้ถึงเจตนาเธอเลยพยักหน้า “จะร่วมมือกันยังไง?”
“นี่เป็นหนังสือร่างสัญญาความร่วมมือ!” ไห่ถังพูดขึ้นและเปิดลิ้นชักด้านล่างคว้ากระดาษหลายแผ่นที่พิมพ์ออกมาแล้วส่งไปให้
อยู่ๆ ซีเหมินจินเหลียนก็อยากจะยิ้มออกมา ไห่ถังคนนี้สวมใส่ด้วยชุดโบราณกระโปรงยาวม้วยผม แม้แต่พูดจายังมีจังหวะเว้นวรรคเหมือนคนโบราณ สถานที่แห่งนี้ดูโบราณคร่ำครึ เก่าแก่เป็นอย่างมาก แต่กระดาษที่พิมพ์ออกมาหลายแผ่นที่วางบนโต๊ะนั้นก็ช่างทำลายบรรยากาศเหลือเกิน เพราะมันไม่เข้ากับบรรยากาศของสถานที่นี้เลย
จ่านป๋ายเริ่มใช้สมาธิจดจ่อไปกับหนังสือสัญญานั่น ซีเหมินจินเหลียนถามขึ้นด้วยความแปลกใจว่า “คุณไห่ถัง ทำไมคุณถึงทำสถานที่ให้เป็นอย่างนี้ล่ะ”
ไห่ถังยิ้ม “สถานที่แห่งนี้เป็นพื้นที่ส่วนบุคคล คุณก็น่าจะรู้ใช่ไหม?”
“ค่ะ” ซีเหมินจินเหลียนพยักหน้า เมื่อสักครู่จ่านป๋ายได้บอกเธอแล้ว
“ฉันมีพี่สาวอยู่คนหนึ่งที่ชอบเรื่องโปเยโปโลเยมาก เธอชอบพาแฟนของเธอมาที่นี่เพื่อสร้างบรรยากาศ ดังนั้น…” ไห่ถังพูดเท่านี้ก็ปัดมืออย่างจนใจ “นี่เป็นแค่ความชอบส่วนบุคคล หลังจากนั้นบางครั้งพวกเราก็ชอบสวมใส่ชุดโบราณเพื่อเล่นเป็นภูตผีสาวนี่ให้เข้ากับบรรยากาศสักหน่อย!”
ซีเหมินจินเหลียนได้ยินเช่นนั้นอดไม่ได้ที่จะหัวเราะออกมา เมื่อสักครู่เธอก็สงสัยมาตลอดว่าสถานที่ดีๆ แบบนี้ ทำไมถึงมาทำให้เป็นเช่นนี้ ที่แท้ก็เป็นความชอบของใครบางคน?
ก็เหมือนกับจ่านมู่ฮวา ในคลับหยกมีสวนสไตล์หยวนหลินโบราณ ทิวทัศน์สวยงามตระการตา แต่ไม่ได้ใช้จริง แล้วยิ่งเป็นพื้นที่ทำเลทองในตัวเมือง ส่วนบางคนนั้นก็ยิ่งกว่า ถึงขนาดทำตรอกซอกซอยเพื่อเล่นเป็นภูตผีสาวเนี่ยนะ…
“ฉันรู้สึกว่าเล่นเป็นภูตผีสาว น่าจะไปสถานที่ห่างไกลความเจริญหน่อย ถ้าให้ดีก็ควรมีวัดร้างเก่าแก่โบราณ และมีโรงศพสักหน่อย ให้ดีก็มีโครงกระดูกทั้งตัว ถ้าหาของจริงไม่ได้ก็ใช่พวกยิปซั่มมาทำก็ไม่เลว!” ซีเหมินจินเหลียนพูดไปเรื่อยเปื่อย
ไห่ถังลูบหน้าอก ท่าทางหวาดกลัว “จินเหลียน คุณอย่าทำให้ฉันตกใจสิ ฉันกลัวนะ!”
ซีเหมินจินเหลียนรู้สึกแปลกใจเล็กน้อย คนคนนี้…กลัวหรือ? เรื่องใหญ่อย่างคดีปล้นเธอยังกล้าทำ แล้วเธอยังมีเรื่องที่กลัวด้วย?
“คุณไห่ถังคะ” ซีเหมินจินเหลียนถอนหายใจ “ความจริงพวกเราร่วมมือกันก็ได้แล้วนี่ ทำไมถึงจะต้องไปปล้นอัญมณีด้วยล่ะ? ทำอย่างนี้มันอันตรายมากนะ” ถ้าหากทำได้ เธออยากจะเกลี้ยกล่อมให้ไห่ถังนำอัญมณีพวกนั้นคืนให้เจ้าของไป ส่วนเรื่องที่จะร่วมมือกันขอแค่มีผลประโยชน์ร่วม เธอก็ไม่ได้คัดค้าน แต่การปล้นมันแบบนี้มันก็ออกจะเกินไป
“คุณจินเหลียนอาจจะยังไม่รู้ พวกเราไม่รู้เรื่องการทำธุรกิจเลย เพราะอย่างนั้นหลายปีมานี้ทรัพย์สมบัติที่สะสมมาเลยให้บริษัทหมิงฮุยจิวเวอรี่เป็นคนจัดการดูแลทั้งหมด แต่สุดท้ายก็ถูกคุณนายซูฮุบเงินก้อนใหญ่ของพวกเราไป ทำให้แหล่งเงินทุนของพวกเราหวนเห จนกระทั่ง…” ไห่ถังพูดเท่านี้ก็หยุดนิ่งไป
ซีเหมินจินเหลียนพูด “ไม่รู้ว่าความร่ำรวยของพวกคุณนี้มาจากไหนหรือคะ”
“พวกเขาเป็นผู้เชี่ยวชาญตามหาอัญมณีไปทั่วโลก เหมืองหยกเป็นเป้าหมายของพวกเขา!” จ่านป๋ายพูด “เงิน พวกเขามีแน่นอนอยู่แล้ว เพียงแต่ทำธุรกิจไม่เป็น สุดท้ายก็ติดกับดักของบริษัทหมิงฮุยจิวเวอรี่ ตอนนี้เลยเล่นได้แค่วิธีนี้ ถือว่าขายขี้หน้าไม่น้อยแล้ว”
ซีเหมินจินเหลียนคิดไปถึงนักล่าขุมทรัพย์เหล่านั้นในอเมริกา ในใจพูดด้วยความตื่นเต้นถามว่า “ตามหาอัญมณีนี่ท้าทายไหมคะ?”
ไห่ถังส่ายหน้า ตามหาอัญมณี? จะน่าตื่นเต้นได้อย่างไร? ทำไม่ได้ก็เท่ากับเอาชีวิตตัวเองไปแขวนไว้บนเส้นดาย
“ส่วนมากฉันทำหน้าที่แค่ขาย เรื่องการตามหาอัญมณีจะเป็นหัวหน้าที่รับผิดชอบ” ไห่ถังอธิบาย