ตอนที่ 475 ขอร้อง

วาสนาบันดาลรัก

ตอนที่หลัวจือเจินมาหา เจินเมี่ยวกำลังกล่อมเสียงเกอกับอี้เกอให้นอนกลางวันอยู่พอดี 

 

 

แม้จะเข้าสู่เดือนเก้าแล้ว แต่เหงื่อเม็ดเล็กๆ ก็ยังผุดขึ้นบนหน้าผากนางเช่นเดิม 

 

 

สาเหตุไม่มีอื่นใด เพราะเสียงเกอซุกซนเกินไปนั่นเอง 

 

 

เด็กน้อยกำลังจะโต เสียงเกอจึงเริ่มใช้ความฉลาดของตนมาต่อกรกับผู้ใหญ่เสียแล้ว 

 

 

เช่นในตอนนี้ เขายังไม่ง่วง แต่อี้เกอกินอิ่มและนอนหลับไปแล้ว เขาจึงฉวยโอกาสตอนที่เจินเมี่ยวเผลอตีเข้าที่ก้นอี้เกอ อี้เกองัวเงียลืมตาขึ้น เบ้ปากจะร้องไห้ เจินเมี่ยวจึงรีบเข้าไปปลอบ “อี้เกอเป็นอันใด ฝันร้ายหรือ” 

 

 

อี้เกอหันไปมองอี้เกอทันที แล้วส่ายหน้า 

 

 

แรกเริ่มเจินเมี่ยวก็ไม่เข้าใจนัก แต่เมื่อหลายครั้งเข้านางจึงจับสังเกตพฤติกรรมของเสียงเกอได้ จึงสั่งสอนเขาไปเป็นการใหญ่ แล้วเริ่มหันมาถามอี้เกอ 

 

 

“อี้เกอ พี่ชายทำไม่ดี เหตุใดเจ้าจึงไม่บอกแม่” 

 

 

อี้เกอหน้านิ่วคิ้วขมวด อึกอักอยู่นานจึงเอ่ยว่า “พี่บอกว่าไม่ควรเป็นคนช่างฟ้อง” 

 

 

เจินเมี่ยวหรี่ตาลง “แม่รู้สึกเสียใจจริงๆ ที่อี้เกอเชื่อฟังพี่ชายมากกว่าแม่” 

 

 

เสียงเกอที่อยู่ข้างๆ เริ่มคิดอย่างกลัดกลุ้ม มารดาอิจฉาแม้กระทั่งเขา เช่นนี้มันดีแล้วจริงๆ หรือ 

 

 

อี้เกอเป็นเด็กซื่อๆ เมื่อได้ยินเจินเมี่ยวพูดเช่นนั้นก็รีบปลอบนางว่า “ท่านแม่ อี้เกอจะเชื่อฟังท่าน แต่ว่า…” 

 

 

เขาชำเลืองมองเสียงเกอคราหนึ่งแล้ว “พี่บอกว่าถ้าข้าเชื่อฟัง หากครั้งใดได้กินน่องไก่ก็จะยกของเขาให้ข้า” 

 

 

เจินเมี่ยวบิดเบ้มุมปากตน 

 

 

ดีเหลือเกิน เสียงเกอเจ้าเด็กชั่วช้าถึงกับใช้อาหารมาล่อให้อี้เกอเจ้าเด็กขี้ขลาดเชื่อฟังเขาทุกอย่างเสียแล้ว 

 

 

อี้เกอเป็นเด็กซื่อๆ เช่นนี้ภายหน้าจะทำอย่างไรเล่า 

 

 

เสียงเกอที่อยู่ด้านข้างเห็นท่าไม่ดีจึงรีบพูดขึ้นว่า “ท่านแม่ น้องชายควรเชื่อฟังพี่ชาย เช่นนี้เมื่อข้าโตขึ้นก็จะได้ดูแลเขา ไม่ให้ใครมารังแกเขาได้” 

 

 

เจ้าเด็กคนนี้เป็นปีศาจไปแล้วหรือไร แม้แต่นางคิดอะไรอยู่เขายังดูออก 

 

 

เจินเมี่ยวหน้านิ่วคิ้วขมวดขึ้นมา ขณะกำลังจะอบรมบุตรชายทั้งสองที่มักทำให้คนปวดหัว มู่จือกลับมายืนรายงานอยู่หน้าประตูว่า “ต้าไหน่ไหน่ คุณหนูสามมาเจ้าค่ะ” 

 

 

เจินเมี่ยวตีก้นเสียเกอคราหนึ่ง “รีบนอนเร็ว หากยังเล่นแง่อีก ประเดี๋ยวแม่จะกลับมาจัดการพวกเจ้า อี้เกอก็นอนเสีย” 

 

 

นางพูดพลางลุกขึ้น แล้วหันไปกำชับแม่นมทั้งสองว่า “พวกเจ้าดูแลคุณชายทั้งสองให้ดีล่ะ” 

 

 

พูดจบก็เดินออกไปตามระเบียงทางเดินตรงไปจนถึงเรือนกลาง หลัวจือเจินกำลังนั่งรออยู่ในห้องโถง เมื่อเห็นนางเข้ามาก็รีบลุกขึ้นทำความเคารพ “พี่สะใภ้” 

 

 

นางมาในเวลานี้ทำให้เจินเมี่ยวสงสัยยิ่ง แต่กลับมิได้แสดงสีหน้าใด เพียงยิ้มแล้วเอ่ยว่า “น้องสาม เราไปนั่งด้านในกันดีกว่า เมื่อครู่ข้าไปดูบุตรชายทั้งสองอยู่ ทำให้เจ้าต้องรอนานแล้ว” 

 

 

แรกเริ่มนางยืนยันที่จะให้นมบุตรทั้งสองเอก แต่กฎบางกฎก็ยังต้องทำตาม 

 

 

เสียงเกอกับอี้เกอครบสามปีเต็มแล้วจึงต้องย้ายจากเรือนกลางไปอยู่เรือนฝั่งตะวันออก แต่เพื่อไม่ให้มารดาและบุตรรู้สึกห่างเหินกัน หลังเที่ยงนางจะไปกล่อมเด็กทั้งสองนอนด้วยตนเองเสมอ 

 

 

เห็นชัดว่าหลัวจือเจินก็รู้ว่ามาเวลานี้นั้นออกจะกะทันหันไปสักหน่อย ทว่าตั้งแต่นางรู้เรื่องงานชมบุปผามาจากสตรีสกุลไช่ ก็ยากจะทนต่อไปได้อีก นางรอไม่ไหวแล้ว โชคดีที่สองสามปีมานี้นางกับพี่สะใภ้คุ้นเคยกันไม่น้อย จึงมีความรู้สึกดีๆ ให้แก่กันอยู่บ้าง มิเช่นนั้นนางคงไม่กล้ามาหาแน่ 

 

 

“เป็นข้าเองที่มาอย่างกะทันหันไป มีเรื่องอยากพูดคุยกับพี่สะใภ้หน่อย” 

 

 

เจินเมี่ยวพยักหน้าแล้วจูงมือหลัวจือเจินเข้าไปอีกห้อง รอจนมู่จือยกน้ำชามาให้ นางก็สั่งสาวใช้ออกไปจนหมด แล้วถามว่า “น้องสามมีเรื่องใดหรือ” 

 

 

“พี่สะใภ้ ข้าได้ยินท่านแม่บอกว่าเทศกาลฉงหยางปีนี้ ในวังจะจัดงานชมดอกเบญจมาศหรือเจ้าคะ” 

 

 

“ใช่” 

 

 

“ข้าต้องได้ด้วยหรือไม่” 

 

 

เจินเมี่ยวยิ้ม “แน่นอน ตอนที่ขันทีนำเทียบเชิญมาให้ยังจงใจเน้นย้ำเป็นพิเศษอีกด้วย” 

 

 

หลัวจือเจินหน้าซีดไปทันที นางกำมือที่วางอยู่บนตักตนเองแน่น แล้วกัดฟันเอ่ยถามไปว่า “พี่สะใภ้ ข้าไม่ไปได้หรือไม่” 

 

 

เจินเมี่ยวหุบยิ้มทันที นางพิจารณาหลัวจือเจินอย่างละเอียดคราหนึ่ง เมื่อนิ่งเงียบไปครู่ใหญ่จึงเอ่ยถามว่า “น้องสามไม่อยากไปหรือ” 

 

 

หลัวจือเจินพยักหน้า “ไม่อยากเจ้าค่ะ” 

 

 

“เช่นนั้น…อาสะใภ้รองได้บอกเจ้าถึงจุดประสงค์ในการจัดงานชมดอกเบญจมาศครั้งนี้หรือไม่” 

 

 

“บอกแล้วเจ้าค่ะ” เอ่ยถึงตรงนี้ หลัวจือเจินก็ทนไม่ไหวอีกต่อไป 

 

 

ว่าไปแล้วนางก็เป็นเด็กสาวอายุสิบสี่ ทั้งยังเป็นเพียงบุตรอนุ การคิดจะหลบเลี่ยงการเลือกพระสนมในครั้งนี้คงต้องอาศัยความกล้าอย่างมาก หากมิใช่เพราะนางเห็นว่าพี่สะใภ้ไม่เหมือนผู้อื่นนางคงไม่กล้าพูดเช่นกัน 

 

 

จะพูดกับใครเล่า หากสตรีสกุลเถียนยังอยู่ ได้ฟังแล้วคงได้ตบหน้าสักฉาดเป็นแน่ ทั้งยังต้องถูกเยาะหยันอีกด้วย ตอนนี้แม่ใหญ่คนใหม่มิได้เลวร้ายอันใด แต่ก็เท่านั้นเอง 

 

 

ส่วนท่านย่า…ตั้งแต่นางเอาบัวลอยไปท่านจนเกือบทำท่านตาย นางก็มีความกลัวอยู่ในใจตลอด สำหรับผู้อาวุโส นางจึงแค่เคารพนบน้อมก็พอ แต่ไม่กล้าจะเข้าไปยุ่งวุ่นวายอีก 

 

 

เมื่อเห็นหลัวจือเจินมีท่าทีสิ้นหวัง เจินเมี่ยวจึงถอนหายใจแผ่วเบาแล้วตบมือนางคราหนึ่ง “น้องสาม เจ้าอย่าเพิ่งร้อนใจไป ฟังข้าก่อน” 

 

 

“เจ้าค่ะ” 

 

 

“ในเมื่อเจ้ารู้ว่างานชมดอกเบญจมาศครั้งนี้เป็นการเลือกพระสนมคนใหม่ เช่นนั้นเจ้าคงไม่ไปไม่ได้แล้ว” 

 

 

หลัวจือเจินมือสั่นขึ้น นางยังกอดความหวังสุดท้ายไว้แล้วถามว่า “อ้างว่าป่วยมิได้หรือ” 

 

 

เจินเมี่ยวส่ายหน้า “มันไม่เหมาะสม นี่เป็นการเลือกพระสนมครั้งแรกของจักรพรรดิพระองค์ใหม่ ผู้ที่ถูกเลือกต้องเป็นสตรีตระกูลสูงศักดิ์เท่านั้น เจ้าเป็นคุณหนูเพียงคนเดียวที่อายุเหมาะสมในจวนกั๋วกงของเรา ในเมื่อเจ้าเป็นคนของจวนเจิ้นกั๋วกง แต่ให้ครั้งนี้อ้างว่าป่วย ผ่านไปอีกสักระยะก็อาจจะยังเรียกเจ้าเข้าวังอยู่ดี เจ้าต้องรู้ว่าการเลือกพระสนมครั้งนี้นั้นใช้งานชมดอกเบญจมาศบังหน้า มิใช่การเลือกอย่างเป็นทางการ หากครั้งนี้อ้างว่าป่วย ครั้งหน้าเจ้ายังจะอ้างว่าป่วยอีกหรือ หากเป็นเช่นนี้อยู่บ่อยครั้ง แม้จักรพรรดิมิว่าอันใด แต่คนจะลือว่าเจ้าสุขภาพไม่แข็งแรงเอาได้ สุดท้ายก็ส่งผลเสียต่องานมงคลในภายหน้าของเจ้าเอง” 

 

 

หลัวจือเจินเพิ่งเป็นสาวสะพรั่ง หากเรื่องที่นางสุขภาพไม่ดีแพร่ออกไม่ แม้จะไม่มีผู้ใดมาถาม แต่คนที่มีชาติกำเนิดสูงส่งเหล่านั้นหรือแม้แต่เหล่าบุตรของอนุที่คิดจะแต่งงานก็คงถอยห่างออกไปแน่ 

 

 

หลัวจือเจินหน้าซีดเผือดไม่มีเลือดฝาดสักนิด 

 

 

นางรู้มาตั้งแต่เยาว์วัยแล้วว่า ชีวิตของสตรีสนั้นมีโอกาสอยู่สองครั้งที่จะตัดสินชะตาชีวิตของเรา หนึ่งคือชาติกำเนิด เรื่องนี้คงไม่มีทางเลือก นางเองก็โชคไม่มีที่มาเกิดในท้องของมารดาที่เป็นอนุ ส่วนอีกครั้งคือการแต่งงาน 

 

 

นางไม่อยากเข้าวังเพื่อไปแย่งบุรุษเพียงคนเดียวกับสตรีนับไม่ถ้วน นางแค่อยากแต่งกับบุรุษดีๆ สักคน แล้วใช้ชีวิตอย่างสงบสุขด้วยกันไปตลอดชีวิต 

 

 

“พี่สะใภ้ โปรดช่วยข้าด้วยเถิด ข้าไม่อยากเข้าวังไปแย่งบุรุษกับสตรีมากมายแต่สุดท้ายอาจเหลือเพียงความว่างเปล่า กระทั่งบางทีแม้แต่ชีวิตก็คงไม่เหลือ” หลัวจือเจินคุกเข่าลงเสียงดังพลั่ก นางกอดขาเจินเมี่ยวแล้วร้องไห้ออกมาอย่างหนัก 

 

 

เจินเมี่ยวก้มหน้าลงมองหลัวจือเจินที่คุกเข่าอยู่บนพื้นแล้วก็ได้แต่ทอดถอนใจออกมา 

 

 

ทั้งที่เป็นบุตรอนุเช่นกัน แต่ความคิดและจิตใจของเจินนจิ้งกับหลัวจือเจินนั้นต่างกันโดยสิ้นเชิง 

 

 

นางยังอยากจะแน่ใจอีกสักหน่อย หลัวจือเจินจะได้ไม่มารู้สึกอิจฉาคนที่มีหน้ามีตาที่อยู่ในวังในภายหลัง หากเมื่อแต่งออกไปแล้วพบว่าไม่เป็นดั่งใจปรารถนา 

 

 

“น้องสามคิดดีแล้วจริงๆ หรือ รู้หรือไม่ว่ามีคนมากมายเพียงใดที่อยากได้โอกาสนี้” 

 

 

หลัวจือเจินเงยหน้าขึ้น ดวงตาเอ่อล้นด้วยน้ำตา นางเอ่ยด้วยท่าทีแน่วแน่ว่า “พี่สะใภ้ ในเมื่อข้ามาหาท่าน ก็ย่อมต้องคิดมาอย่างรอบคอบแล้ว ท่านก็เห็นว่าทุกครั้งที่มีจักรพรรดิพระองค์ใหม่ บรรดาสนมของจักรพรรดิพระองค์ก่อนไปอยู่ที่ใดกันหมดหรือ เช่นตอนนี้นอกจากไท่โฮ่วแล้ว พระสนมของจักรพรรดิพระองค์ก่อนมีใครบ้างที่ยังอยู่ในวังหลัง” 

 

 

ไท่เฟยที่มีบุตรชายบุตรสาวนั้นยังโชคดีหน่อย หากไม่มีบุตรเลยก็ต้องไปอยู่ที่วัด โชคร้ายหน่อยก็ต้องถูกฝังไปพร้อมกับพระศพ 

 

 

มิต้องพูดไปไกลเลย หลังจากเจาเฟิงตี้สวรรคต จ้าวไท่โฮ่วก็มีรับสั่งให้ฝังอู๋กุ้ยเฟยไปพร้อมกับเจาเฟิงตี้เพราะนางเป็นสนมที่ทรงโปรดมากที่สุดในช่วงก่อนที่จะสวรรคต 

 

 

ส่วนเหตุผลก็มิต้องมีมากอันใด ไท่โฮ่วเพียงพูดมาประโยคเดียวว่าจักรพรรดิพระองค์ก่อนมิอาจอยู่ห่างจากอู๋กุ้ยเฟยได้ ผู้ใดให้นางเป็นเพียงหญิงชาวบ้านเล่า 

 

 

อาจเพราะชาติกำเนิดของอู๋กุ้ยเฟยต่ำต้อย แต่กลับได้เป็นถึงกุ้ยเฟยภายในระยะเวลาอันสั้น นางเป็นผู้มาแทนตำแหน่งของเจี่ยงกุ้ยเฟย พระมารดาของฟังโหรวกงจู่นั่นเอง แม้แต่ราษฎรทั่วไปยังรู้ว่าในวังมีพระสนมที่ชาติกำเนิดต้อยต่ำอยู่ผู้หนึ่ง แต่จุดจบของนางก็ไม่พ้นคนงามผู้มีอายุสั้น หากหลัวจือเจินจะทราบเรื่องนี้ก็ไม่แปลกอันใด 

 

 

เมื่อพูดมามากมายเพียงนี้แล้ว หลัวจือเจินจึงกัดฟันพูดออกไปอีกว่า “อีกอย่างแม้ในวังจะมีหญิงงามนับสามพันคน แต่ผู้ที่จะหัวเราะได้จนช่วงเวลาสุดท้ายนั้นมีแค่เพียงคนเดียวเท่านั้น จือเจินรู้ดีว่า แม้จะเข้าไปอยู่ในวัง คนผู้นั้นก็ไม่มีทางเป็นข้าอย่างแน่นอน!” 

 

 

เจินเมี่ยวพยักหน้าเห็นด้วยกับความคิดของหลัวจือเจิน 

 

 

อย่าว่าแต่อู๋กุ้ยเฟยเลย แม้แต่เจี่ยงกุ้ยเฟยที่ได้กลับมาเป็นที่โปรดปรานอีกครั้งเพราะบิดาเป็นแม่ทัพออกไปรบกับข้าศึกนั้น ตอนนี้ก็ยังต้องอยู่อย่างเงียบๆ สตรีที่เคยดูแคลนจ้าวไท่โฮ่วอย่างที่สุดผู้นั้นยามนี้ก็ยังอยู่ในวังหลังอย่างเงียบๆ คล้ายกับไม่เคยมีตัวตนมาก่อน 

 

 

ยิ่งไม่ต้องพูดถึง…เฉินชิ่งตี้ผู้วิปริตนั่นเลย! 

 

 

หากเป็นไปได้นางก็ไม่อยากจะเข้าไปเหยียบวังอีกด้วยซ้ำ แต่น่าเสียดายมีชื่อในราชวงศ์ทั้งยังเป็นฮูหยินแห่งจวนกั๋วกงในอนาคต จึงไม่อาจทำตามใจตนได้ไปเสียทุกสิ่ง 

 

 

โชคดีที่แม้คนผู้นั้นจะวิปริต แต่ด้วยเกียรติของโอรสสวรรค์ คงมิกลับคำกระมัง เขาพูดเองว่าต่อไปจะอยู่ในฐานะพี่น้องกันเท่านั้น หากเขากระทำการใดที่เหลวไหลก็ให้เอาคำว่าวิปริตมาโยนใส่หน้าเขาได้เลย 

 

 

“แม้เป็นเช่นนี้แต่ถึงตอนนั้นเจ้าก็ต้องเข้าวังไปพร้อมกับข้าอยู่ดี” 

 

 

“พี่สะใภ้?” หลัวจือเจินกอดขาเจินเมี่ยวแน่น หยาดน้ำตาต่างเกาะเต็มขนตางอนยาวนั้น 

 

 

“เจ้าลุกขึ้นก่อน” เจินเมี่ยวดึงนางให้นนั่งลงแล้วเอ่ยด้วยรอยยิ้มว่า “เจ้าช่างเป็นคนซื่อจริงๆ แม้เข้าวังก็มิได้หมายความว่าจะต้องถูกเลือกเสียหน่อย” 

 

 

นัยน์ตาหลัวจือเจินค่อยๆ สดใสขึ้น แต่นางยังคงลังเลอยู่ “ความหมายของพี่สะใภ้คือให้ข้าแต่งกายเรียบง่ายสักหน่อย มิต้องทำตัวโดดเด่นก็จะไม่ถูกเลือกแล้วใช่หรือไม่” 

 

 

“เจ้าเป็นคุณหนูจวนกั๋วกง ด้วยฐานะของเจ้า ข้าคิดว่าต่อให้แต่งกายธรรมดาเพียงใด โอกาสที่จะไม่ถูกเลือกนั้นก็ยังคงน้อยอยู่ดี” 

 

 

ฐานะสูงส่ง แต่มิได้โดดเด่น นี่เป็นคุณสมบัติที่ไท่โฮ่วชมชอบมากที่สุดกระมัง 

 

 

หากไท่โฮ่วและหวงโฮ่วมิร่วมมือกันมันคงง่ายกว่านี้ แต่ไหนแต่ไรไท่โฮ่วและหวงโฮ่วต่างขัดแย้งกันเองเพื่อแย่งชิงวังหลัง แต่ผู้ใดให้หวงโฮ่วองค์ปัจจุบันเป็นหลานสาวของไท่โฮ่วเล่า ไท่โฮ่วต้องเลอะเลือนเท่านั้นถึงจะเลือกคนที่เก่งกาจโดดเด่นเข้าวังไปเป็นศัตรูของหวงโฮ่ว 

 

 

“เช่นนั้น…ก็แสดงกิริยามิใคร่งามนัก…” 

 

 

เจินเมี่ยวส่ายหน้า “ถึงตอนนั้นเราก็ไปในนามของสตรีสูงศักดิ์ การทำกิริยาไม่งามย่อมทำให้เสื่อมเสียชื่อเสียง ข้าว่าเจ้าต้องทำตรงกันข้าม แต่งกายให้งดงาม กิริยามารยาทเพียบพร้อม และต้องแสดงตัวให้เป็นที่สนใจของผู้คนสักหน่อย เกรงว่าไท่โฮ่วคงหนีแทบไม่ทันเลยทีเดียว”