พริบตาก็มาถึงวันเทศกาลฉงหยางแล้ว หลัวจือเจินตื่นแต่เช้าตรู่ เมื่อนางมองกระโปรงเย่ว์หวาวางแผ่อยู่บนเตียงก็อดตกตะลึงมิได้ กระทั่งบรรดาสาวใช้ช่วยกันแต่งตัวให้นางเสร็จ หลัวจือเจินเยื้องย่างออกมา ยามลมพัดมากระโปรงพลิ้วไหวดุจจันทร์ทรงกลด ทำให้สาวใช้ทั้งหลายต่างถอนหายใจด้วยความชื่นชม
เจินเมี่ยวมองหลัวจือเจินที่เดินออกมาด้วยรอยยิ้มพอใจ กระทั่งขึ้นไปบนรถม้าแล้วนางจึงเสียงต่ำว่า “ข้าตั้งใจให้เขาเพิ่มจีบกระโปรงเป็นสิบสองจีบ คิดไม่ถึงว่าผลลัพธ์จะดีเพียงนี้”
หลัวจือเจินรู้สึกอึดอัดขึ้นมาเล็กน้อย “เช่นนี้มิดูโดดเด่นเกินไปหรือ”
กระโปรงเย่ว์หวาแม้จะงดงาม แต่กับงานที่เป็นทางการมากๆ มักจะมิเหมาะสักเท่าใด
เจินเมี่ยวปลอบว่า “เพราะเป็นเช่นนี้จึงจะทำให้ไท่โฮ่วรู้สึกกังวลได้”
กระโปรงตัวนี้จะช่วยขับให้หลัวจือเจินดูงดงามอ่อนโยนมีสง่า ขณะเดียวกันก็ทำให้ไท่โฮ่วได้เห็นจิตใจอันทะเยอทะยานที่ซ่อนอยู่ในท่าทีอันนิ่งเฉยของนาง…ช่างเหมาะสมจริงๆ
หลัวจือเจินได้ฟังแล้วก็พยักหน้าช้าๆ “ข้าเชื่อพี่สะใภ้เจ้าค่ะ”
เมื่อถึงหน้าประตูวัง คนทั้งสองจึงคล้องแขนกันลงจากรถม้า ระหว่างทางพบฮูหยินที่พาบุตรสาวหรือหลานสาวมาด้วยไม่น้อย แต่ละคนแต่งกายงดงามฉูดฉาด แต่ไม่มีผู้ใดเลยที่จะไม่หันมามองกระโปรงของหลัวจือเจิน
เหตุผลนั้นไม่มีอื่นใด แค่เพราะกระโปรงเย่ว์หวาตัวนี้เพิ่มจีบมาอีกสองจีบแตกต่างจากกระโปรงเย่ว์หวาทั่วไป มันจึงดูพลิ้วไหวอย่างเห็นได้ชัด เส้นสีเงินที่แทรกอยู่ระหว่างจีบกระโปรงคล้ายมีแสงจันทร์ห่อหุ้มกายไว้ จึงดึงดูดสายตาคนโดยไม่รู้ตัว บางคนมองด้วยความชื่นชม บางคนอิจฉา บางคนงุนงง
หากเป็นยามปกติหลัวจือเจินคงหมดความมั่นใจไปแล้ว แต่เพราะมีเจินเมี่ยวคอยกำลังใจ ทั้งคิดว่านางกำลังทำเพื่อชีวิตของตัวเองอยู่จึงมิขี้ขลาดหวาดหวั่นอีก สตรีทุกคนย่อมต้องมีความรักสวยรักงามอยู่ในใจ เมื่อบุตรอนุที่ไม่เคยโดดเด่นถูกสตรีสูงศักดิ์ทั้งหลายมองจ้องอยู่บ่อยครั้งเช่นนี้ก็ย่อมต้องเกิดความปลื้มปริ่มเป็นธรรมดา
ในอุทยานหลวงนั้นมีดอกเบญจมาศหลากหลายสีสันประดับอยู่เต็มไปหมด ทั้งยังมีดอกไม้หายากอีกด้วย หากเป็นยามปกติคงดึงดูดสายตาผู้คนได้ไม่น้อย แต่ในเวลานี้กลับได้ยินเพียงเสียงสนทนา หัวเราะขบขันดังระงมไปทั่ว ดอกไม้ใบไม้หายากเหล่านี้จึงถูกมองข้ามไป
บนโต๊ะหยกมีกาสุราดอกเบญจมาศวางอยู่พร้อมกับขนมที่มักกินในเทศกาลฉงหยาง และมีของว่างที่จานวางประดับดอกเบญจมาศไว้หลากหลายชนิด
เจินเมี่ยวกวาดตามองไปโดยรอบ
เวลาก็ล่วงเลยมาพอสมควรแล้วแต่ไท่โฮ่วกับหวงโฮ่วก็ยังเสด็จมายังไม่ถึง ในวังยามนี้นอกจากเจินจิ้งแล้วก็ไม่มีพระสนมที่มีบรรดาศักดิ์สูงพอจะได้เข้าร่วมงานนี้เลย ดังนั้นเวลานี้จึงเป็นโอกาสอันดีที่บรรดาฮูหยินทั้งได้จะได้ทำความรู้จักพูดคุย แลกเปลี่ยนกัน
เจินเมี่ยวเป็นผู้มีบรรดาศักดิ์สูงส่งย่อมมิอาจหลีกเลี่ยงการพูดคุย ในเวลาเพียงสั้นๆ ก็ได้ทักทายกับคนไม่จำนวนไม่น้อยเลย
โชคดีที่ผ่านไปเพียงไม่นานก็ได้ยินเสียงบางอย่างดังขึ้น นางหันไปมอง เจินจิ้งที่แหวกผ่านฝูงชนเดินเข้ามาจึงสบตาเข้ากับนาง
เจินจิ้งในยามนี้มีแต่เบิกบานใจกระจายอยู่เต็มหน้า มุมปากเคลือบด้วยความภาคภูมิใจที่ปิดอย่างไรก็ไม่มิด หรือจริงๆ นางก็มิได้คิดจะกลบเกลื่อนไว้อยู่แล้ว
ตั้งแต่นางเข้าไปอยู่ในจวนองค์ชายหก ตระกูลมารดาก็มิใช่ตระกูลมารดาอีกต่อไป ยามนี้นางอยู่ในวัง ปรกติก็ไม่มีโอกาสแสดงตัวอันใด มีเพียงงานเทศกาลเช่นนี้เท่านั้นจึงจะสามารถเผยความสง่างามขอนางให้ผู้คนได้ประจักษ์
ฮูหยินเหล่านั้นล้วนฉลาดหลักแหลม แม้ก่อนหน้านั้นจะมีข่าวลือแพร่ออกมาว่ากุ้ยเฟยมิได้รับความโปรดปรานแล้ว แต่ในวังหลัง วันนี้สนมผู้นี้ได้รับความโปรดปราน พรุ่งนี้สนมผู้นั้นภาคภูมิใจ ทุกอย่างล้วนต้องดูตามพระทัยอันยากจะคาดเดาของฝ่าบาท หากมัวแต่เชื่อข่าวลือจึงนับเป็นคนโง่ที่แท้จริง
วันนี้เจินกุ้ยเฟยปรากฏตัวที่นี่มันก็มากพอแล้วที่จะบอกว่านางได้รับความโปรดปรานจากฝ่าบาทอีกครั้งแล้ว และตอนนี้นางก็ยังมีองค์หญิงและองค์ชายให้กับฝ่าบาทอีกด้วย
เจินจิ้งเผยรอยยิ้มเต็มหน้า เมื่อได้ยินเสียงทักทายจากฮูหยินทั้งหลายก็รู้สึกเบิกบานใจขึ้นมา
ไม่เสียทีที่นางโอนอ่อนผ่อนตาม เอาอกเอาใจฝ่าบาทอยู่หลายวัน มีเจินเจินอยู่ก็มิจำเป็นต้องกลัดกลุ้มว่าพระองค์จะไม่มาหา
เมื่อนึกถึงเจินเจินบุตรสาวตน เจินเมี่ยวก็ต้องขมวดคิ้วหันไปมองเจินเมี่ยวโดยไม่รู้ตัว ความริษยาแค้นเคืองที่โหมเข้ามาในใจนั้นนางปกปิดมันไว้ด้วยรอยยิ้ม
นางสวมกระโปรงยาวลากพื้นเดินผ่านฝูงชนไปหาเจินเมี่ยว ยังมิทันเข้าใกล้ก็ผลิยิ้มเอ่ยปากเรียกเสียก่อน “น้องสี่มาแล้วหรือ”
ภายใต้สายตาจับจ้องของคนทั้งหลาย เจินเมี่ยวย่อมมิอาจเสียมารยาทได้ นางจึงย่อกายถวายพระพร “ถวายพระพรกุ้ยเฟยเพคะ”
เจินจิ้งจ้องปิ่นปักผมที่อยู่บนศีรษะของเจินเมี่ยว นางอยากจะหัวเราะออกมาดังๆ เหลือเกิน นางคิดในใจว่า เจินเมี่ยวในที่สุดก็มีวันที่เจ้าต้องก้มหัวคารวะข้า
ปกติเจ้าจะเย่อหยิ่งทระนงตนแล้วอย่างไร ต่อให้ฝ่าบาทจะแอบคิดถึงเจ้า แต่สุดท้าย เจ้าก็ต้องมาก้มหัวคารวะให้กับตำแหน่งกุ้ยเฟยของข้า
“น้องสี่เกรงใจเกินไปแล้ว นี่คือ…คุณหนูสามจวนกั๋วกงหรือ” เจินจิ้งเดินมาหยุดตรงหน้าเจินเมี่ยวแล้วยิ้มพลางยื่นมือไปประคองให้นางลุกขึ้น
เจินเมี่ยวเงยหน้าขึ้นสบตากับเจินจิ้ง ในแววตามีความเฉยชาเผยออกมาอย่างไม่คิดปิดบังไว้สักนิด
นางแค่ไม่อยากให้ผู้ใดมากล่าวว่าเรื่องของมารยาท แต่การแสร้งทำเป็นสนิทสนมกันนั้นนางคิดว่าไม่จำเป็น
เจินเมี่ยวตอบเสียงเรียบว่า “ใช่เพคะ”
เจินจิ้งพิจารณาหลัวจือเจินอย่างต้องการจับผิด แต่ปากก็เอ่ยชมว่า “ช่างงดงามจริงๆ แต่ท่าทางยังเล็กนัก เต็มสิบสี่แล้วหรือไม่”
นางคิดในใจว่าคุณหนูสามเป็นเพียงบุตรอนุ แต่งกายเต็มยศมาปรากฏตัวในงานเทศกาลเช่นนี้ ช่างหน้าไม่อายจริงๆ
ว่าไปแล้วแม้ตอนนี้นางจะมีตำแหน่งกุ้ยเฟยอยู่ แต่เมื่อคิดถึงตอนที่ตนถูกหามเข้าจวนองค์ชายด้วยความยากแค้นนั้นกลับยังรู้สึกเจ็บปวดอยู่ดี
เจินเมี่ยวผลิยิ้มบางเบา “เราอายุกันเพียงนี้แล้ว เมื่อเห็นเด็กสาวย่อมจะรู้สึกว่ายังเด็กอยู่แท้ๆ”
รอยยิ้มที่มุมปากเจินจิ้งถึงกับแข็งค้าง
วาจานี้ของเจินเมี่ยวช่างแทงใจคนนัก มันไม่ต่างอันใดกับการเหยียบขยี้เท้านางเลย แต่กลับหาจุดที่ผิดมิได้เลย
ความจริงเจินจิ้งเองก็รู้สึกสับสนยิ่ง ด้านหนึ่งก็เบิกบานใจยิ่งที่ได้เห็นเจินเมี่ยวก้มหัวให้ตน นางอยากจะพูดคุยกับเจินเมี่ยวสักหลายคำเพื่อเสพสุขกับความรู้สึกตัวลอยเมื่อได้อยู่เหนือกว่า แต่อีกด้านก็มิกล้าไปเย้าแหย่นางมาเกินไป เพราะนางเป็นคนคาดเดามิได้ หากพูดอันใดที่ทำให้ตนต้องขายขึ้นมา ต่อให้ตนวางท่าเพียงใดก็ไร้ประโยชน์
หากหน้าหน้าแตกแล้วเก็บขึ้นมาก็ยังสกปรกอยู่ดี
ดังนั้นเมื่อเจินจิ้งได้ฟังวาจานี้ของเจินเมี่ยว จึงเอ่ยวาจาตามมารยาทไม่กี่คำก็เดินไปทางอื่น
เจินเมี่ยวมองแผ่นหลังของเจินจิ้งแล้วหัวเราะออกมา
ไม่รู้ว่านางภาคภูมิใจอันใด วังหลังมีหญิงงามตั้งมากมายยังจัดการไม่ได้แล้วจะวิ่งมาที่นี่เพื่ออันใดกัน
เมื่อเห็นเจินจิ้งหันกลับมาเจินเมี่ยวจึงหยิบผ้าเช็ดหน้าขึ้นมาเช็ดมือที่ถูกเจินจิ้งจับ แล้วทั้งผ้าเช็ดหน้านั้นทันที
เจินจิ้งเห็นแล้วโมโหจนหน้าซีด
เจินเมี่ยวกลับยิ้มอย่างไม่ยี่หระ
นางไม่กลัวการท้าทายยั่วโทสะสักนิด คิดจะทำให้นางโกรธคงต้องใช้ความสามารถมากสักหน่อย
ทิ้งผ้าเช็ดหน้า นางจะคิดเช่นไรก็ตามแต่ เรามีเงินจึงเอาแต่ใจ ใช้แล้วทิ้ง มิได้หรือไร
อย่างไรเสียในงานเทศกาลเช่นนี้เจินจิ้งก็ไม่กล้าพูดอันใดจริงๆ นางได้แต่เอามือทาบหน้าอกแล้วนั่งลงเท่านั้น
“ไท่โฮ่วเสด็จแล้ว หวงโฮ่วเสด็จแล้ว…”
จ้าวเฟยชุ่ยเดินประคองจ้าวไท่โฮ่วเดินมานั่งบนตำแหน่งที่สูงที่สุด ท่ามกลางเสียงร้องแหลมสูงนั้น
งานชมดอกเบญจมาศจึงได้เริ่มขึ้น
เมื่อดื่มสุรากันไปถึงสามรอบแล้วก็ถึงเวลาที่คุณหนูจวนต่างๆ จะแสดงความสามารถด้านศิลปะของตน
คนแรกที่มาแสดงคือคุณหนูจากจวนฉังเล่อปั๋ว นางแสดงการดีดพิณ
คุณหนูผู้นี้รูปโฉมงดงามตามธรรมดา แต่ฝีมือการดีพิณกลับดียิ่ง แต่นางอยากจะเลือกหญิงที่งามโดดเด่นให้เฉินชิ่งตี้เพื่อจะได้ดูอันใดสนุกๆ และทำให้เจินจิ้งอยู่ไม่สุขด้วย
จ้าวเฟยชุ่ยสอดส่ายสายตาไปมา แววตาก็ยิ่งเป็นประกายขึ้น
จ้าวเฟยชุ่ยนั่งข้างจ้าวไท่โฮ่ว ระหว่างการแสดง จ้าวไท่โฮ่วก็เอ่ยถามนางขึ้น “คุณหนูเถาจวนฉังเล่อปั๋ว เจ้าว่าเป็นอย่างไรบ้าง”
ภายใต้สายตาจับจ้องของทุกคนจ้าวเฟยชุ่ยย่อมมิอาจแสดงสีหน้าหรือท่าทางอันใดออกมาได้จึงเพียงหันไปยิ้มแล้วเอ่ยเสียงแผ่วว่า “ดูจืดชืดไป ไม่น่าสนใจ”
จ้าวไท่โฮ่วรู้สึกจนใจยิ่ง “ไม่โดดเด่นจึงจะรู้จักอยู่สงบ หากเลือกที่น่าสนใจต่อไปจะทำให้เจ้าปวดหัว”
“ท่านอา ข้าไม่กลัวปวดหัว ข้าแค่กลัวเบื่อ” ในวังแสนเงียบเหงา วันเวลาผ่านไปอย่างเชื่องช้า หากยังเลือกพวกท่อนไม้เข้ามาอีกก็เปลืองข้าวเปล่าๆ
กระทั่งคุณหนูเถาบรรเลงเพลงจบ เมื่อได้รับเพียงคำชมจากไท่โฮ่วนางจึงถอยหลังออกไปด้วยใบหน้าสลด
มิได้รับดอกเบญจมาศย่อมหมายความว่ามิได้รับคัดเลือก
กระทั่งนางกลับไปนั่งข้างมารดา ขอบตาก็แดงเรื่อขึ้น เกือบจะร้องไห้ออกมาแล้ว
คุณหนูผู้นี้เคยพบเฉินชิ่งตี้ เขาเป็นจักรพรรดิที่รูปงามทั้งยังหนุ่มแน่น จึงแอบหลงรักเขามานานแล้ว
ความจริงแล้วมนุษย์ก็เป็นเช่นนี้แล ตอนที่เฉินชิ่งตี้เป็นเพียงองค์ชายที่บิดาไม่ไยดี แม้จะรูปงามมากความสามารถ คุณหนูทั้งหลายก็ยังขมวดคิ้ว แต่ยามนี้เขาเป็นถึงจักรพรรดิผู้อยู่สูงที่สุดจึงไม่รู้สึกว่าเขาบกพร่องที่ตรงใด กระทั่งปล่อยให้ตนทำเรื่องๆ เพื่อสิ่งนี้
เหมือนดั่งของล้ำค่าที่มีเพียงหนึ่งเดียว มันมักจะทำให้คนมากมายตัดใจจากมัน แต่หากมิได้ล้ำค่าปานนั้นก็จะมีคนมากมายอมกัดฟันถือเงินไปซื้อมันมา จักรพรรดิมากรักก็เช่นกัน มักทำให้คนคิดว่าตนย่อมมีโอกาสมากขึ้นอีกหน่อย
โชคดีที่เวลานี้สายตาของคนครึ่งหนึ่งมองไปที่คุณหนูผู้ทำการแสดง ส่วนอีกครึ่งมองไปที่ไท่โฮ่วและหวงโฮ่ว ไม่มีผู้ใดสนใจคุณหนูที่มิได้รับการคัดเลือกว่ารู้สึกเช่นไร มีเพียงหลัวจือเจินลอบมองนางอยู่ด้วยความอิจฉา
ต่อจากนั้นก็มีการแสดงไปนับสิบคน บังเอิญยิ่งที่บรรดาคุณหนูชาติตระกูลสูงส่งต่างมีรูปโฉมธรรมดาอยู่สักหน่อย จ้าวเฟยชุ่ยเลือกคุณหนูสี่คนที่รูปโฉมงดงามโดดเด่น ส่วนไท่โฮ่วเลือกคุณหนูที่มีบรรดาศักดิ์สูงสักหน่อยมาสองคนเพื่อความเท่าเทียม
อย่างไรเสียการเลือกพระสนมนั้นต้องใส่ใจกับตำแหน่งในราชสำนักของบิดาหรือปู่ของพวกนาง มิอาจเลือกตามแต่ใจเช่นที่จ้าวเฟยชุ่ยทำได้
แน่นอนว่าผู้ที่สามารถมาร่วมงานชมดอกเบญจมาศได่อมต้องมีชาติกำเนิดที่ดีทั้งสิ้น หากผู้ที่มีฐานะสูงส่งหน่อยมิได้ถูกเลือกก็มินับว่าแปลกอันใด
เจินเมี่ยวเห็นเช่นนั้นก็โล่ง นางจึงเอ่ยกับหลัวจือเจินว่า “เจ้าดูเถิด คุณหนูที่ตระกูลสูงศักดิ์สักหน่อยนั้นหน้าตาธรรมดายิ่ง ส่วนผู้ที่งดงามทั้งสี่ก็มิได้สูงศักดิ์อันใดมากนัก เห็นชัดว่าไท่โฮ่วไม่ต้องการให้คนที่มีทั้งรูปโฉมและบรรดาศักดิ์เข้าไปแย่งชิงกับหวงโฮ่ว วันนี้เจ้าโดดเด่นมาก บรรดาศักดิ์เจ้าก็สูงที่สุดในหมู่คุณหนูทั้งหลาย เพื่อมิให้เป็นที่ครหา เมื่อยามเจ้าบรรเลงเพลงก็ให้ดีดผิดสักเสียงสองเสียง ไท่โฮ่วจะได้มีเหตุผลให้คัดเจ้าออก”
ไม่นานก็ถึงคราวหลัวจือเจินขึ้นแสดง นางเลือกแสดงสิ่งที่ธรรมดาที่สุดคือการดีดพิณ จ้าวเฟยชุ่ยลอบเอ่ยกับไท่โฮ่วว่า “ท่านอา คนนี้ดียิ่ง ถึงเวลาท่านต้องมอบดอกไม้ให้นางด้วย”
จ้าวไท่โฮ่วพยามห้ามตนมิให้เผลอส่ายหน้า นางเอ่ยเสียงแผ่วว่า “เฟยชุ่ย เจ้าเลิกเหลวไหลเสียที นางเป็นคุณหนูสกุลหลัวจวนเจิ้นกั๋วกง ชาติกำเนิดสูงส่ง หลัวซื่อจื่อเองก็เป็นขุนนางตำแหน่งสูงอำนาจมากล้น หากนางเข้าวังมาจริงๆ นางจะไม่ให้เกียรติเจ้าเลยก็ยังได้”
ขณะกำลังพูดคุยกันอยู่ หลัวจือเจินก็ดีดพิณผิดไปหนึ่งเสียง ทุกคนพลันเงียบเสียงไปทันที
จ้าวเฟยชุ่ยลอบมองเจินจิ้งจึงเห็นว่านางมีท่าทีโล่งใจ จึงหยักยกมุมปากขึ้น “ท่านอา ต้องเลือกนาง ท่านลืมแล้วหรือ ตอนข้าเป็นหวงโฮ่วที่ไม่มีบุตรและไม่ได้รับความโปรดปราน หากนางเข้าวังมาจริง คนที่นางจะต่อการด้วยย่อมไม่ใช่ข้า