ตอนที่ 477 ฝ่าบาททรงกริ้ว

วาสนาบันดาลรัก

เมื่อเห็นว่าจ้าวไท่โฮ่วกำลังลังเลใจ จ้าวเฟยชุ่ยจึงเอ่ยแง่งอนขึ้นว่า “ท่านผู้แสนดี ท่านไม่เห็นหรือว่า นางปีศาจนั่นกำลังกังวลว่าคุณหนูหลัวจะได้รับเลือก”

 

 

วาจานี้กลับได้ผลกว่าวาจาไหนๆ จ้าวไท่โฮ่วจึงพยักหน้าโดยที่ไม่มีผู้ใดดูออก แล้วเอ่ยอย่างจนใจว่า “ช่างเถิด”

 

 

เมื่อหลานสาวคิดได้ นางก็ควรจะเมินเฉยปล่อยให้เจินกุ้ยเฟยมีอำนาจอยู่แต่เพียงผู้เดียว

 

 

หลัวจือเจินดีดพิณจบก็ลุกขึ้นถวายพระพร

 

 

ไม่ว่าก่อนหน้านี้เจินเมี่ยวจะคิดมาดีแล้วเพียงใด แต่ยามนี้นางก็อดเป็นกังวลมิได้

 

 

คนทั้งหลายต่างจดจ้องว่าหลัวจือเจินจะถูกเลือกหรือไม่

 

 

นางเป็นคุณหนูจวนเจิ้นกั๋วกง รูปโฉมงดงาม แม้ฝีมือการดีดพิณนั้นธรรมดา แต่นี่ก็เป็นเพียงข้อตำหนิของพวกนางเท่านั้น สำหรับฝ่าบาทแล้วมันจะสำคัญหรือไม่ก็มิอาจบอกได้

 

 

หากมีฝีมือด้านการวาดภาพ เขียนพู่กัน ดีดพิณ เดินหมากโดดเด่นแล้วสามารถดึงดูดบุรุษได้ เช่นนั้นคงไม่มีบุคคลเช่นอู๋กุ้ยเฟยเกิดขึ้นแน่

 

 

ท่ามกลางความเงียบนี้ ในที่สุดจ้าวไท่โฮ่วก็เอ่ยขึ้นว่า “เรื่องเพลงได้ดี มอบดอกไม้”

 

 

คนทั้งหลายอดส่งเสียงซุบซิบพูดกันมิได้

 

 

เจินเมี่ยวถึงกับตกตะลึงตาค้าง

 

 

นางมิได้ฟังผิดไปใช่หรือไม่

 

 

มอบดอกไม้?

 

 

หลัวจือเจินดีดพิณผิดไป คนทั้งหลายต่างได้ยินอย่างชัดเจน ไท่โฮ่วกลับพูดว่าเลือกเพลงได้ดี ทั้งที่มันเป็นเพลงที่ไม่ว่าผู้ใดเรียนพิณก็ต้องดีดได้อยู่แล้ว

 

 

พวกนางปรึกษากันแม้กระทั่งว่าจะเลือกเพลงใดดี นางเลือกเพลงที่ธรรมดาที่สุด เพราะกลัวว่าหากมีความพิเศษแม้แต่นิดเดียวจะทำให้คนเกิดความสนใจโดยไม่จำเป็น

 

 

เจินเมี่ยวอดมองไปที่จ้าวเฟยชุ่ยมิได้ นางเห็นจ้าวเฟยชุ่ยหันไปยิ้มราวบุปผาให้เจินจิ้งด้วยประกายพราวระยับดุจพี่น้องที่สนิทสนมรักใคร่กันดีก็มิปาน นางนิ่งคิดอยู่นาน เรื่องนี้ไม่สมเหตุสมผลสักนิด

 

 

ในชั่วขณะที่ได้ยินคำว่ามอบดอกไม้ หลัวจือเจินก็ตัวแข็งไปทันทีเช่นกัน มือที่ซ่อนอยู่ในแขนเสื้อสั่นระริกขึ้นมาอย่างห้ามไม่ได้

 

 

พริบตาขันที่ก็เดินมาถึงตรงหน้านาง “คุณหนูสามสกุลหลัว โปรดรับดอกไม้ด้วยเถิด”

 

 

หลัวจือเจินก้มหน้าลง นางกัดริมฝีปากจนแทบจะปริแตกออกมาแล้วถึงสามควบคุมอารมณ์ตนได้ นางยื่นมืออันสั่นเทาออกไปรับดอกเบญจมาศที่กำลังบานสะพรั่งนั้นมา แล้วย่อกายลง “ขอบพระทัยเพคะ”

 

 

นางหมุนกายเดินกลับไปที่เดิม ในหัวของนางขาวโพลนไปหมด พลันเกิดความคิดว่าตนช่างน่าขันจริงๆ

 

 

ต้องขอบคุณชาติกำเนิดของนาง ชีวิตอันต่ำต้อยของบุตรอนุทำให้นางเรียนรู้ที่จะควบคุมอารมณ์ เพราะหากเสียกิริยาขึ้นมาในตอนนั้น จนทำให้ตระกูลต้องเดือดร้อนไปด้วย มันคงเป็นความผิดของนางแล้ว

 

 

การแสดงศิลปะยังคงดำเนินต่อไป หลัวจือเจินกลับมานั่งลงตรงข้างเจินเมี่ยวแล้ว

 

 

เจินเมี่ยวจึงมีสติคืนมาได้ นางแทบไม่กล้ามองสีหน้าของหลัวจือเจินเลย จึงเรียกนางเสียงแผ่วว่า “น้องสาม”

 

 

หลัวจือเจินรู้สึกแสบร้อนที่จมูกจนน้ำตาเกือบไหลออกมา นางเอาแต่ก้มหน้างุด เสียงปนสะอื้นของนางช่างแผ่วเบา “พี่สะใภ้ ข้ามิเป็นไร”

 

 

วาจานนี้คล้ายเข็มที่แทงเข้าไปในใจเจินเมี่ยวกระนั้น

 

 

ออกเป็นคนออกความคิดจำให้ผลลัพธ์ออกมาเป็นเช่นนี้ นางทำลายชีวิตของสตรีผู้หนึ่ง บางทีหากแสร้งว่าป่วยอย่างที่หลัวจือเจินบอก นางอาจจะหลีกหนีจากทุกอย่างก็ได้

 

 

ความรู้สึกผิดขนานใหญ่โจมตีเข้ามาในเจินเมี่ยว นางอดยื่นมือไปจับมืออันเย็นเฉียบของหลัวจือเจินมิได้ แล้วเอ่ยเสียงต่ำแผ่วว่า “น้องสาม วางใจเถิด ข้าจะหาวิธีช่วยเจ้าให้ได้”

 

 

“พี่สะใภ้ ไมิจำเป็นแล้ว ไท่โฮ่วประทานดอกไม้มาแล้ว หากขัดขวางอาจทำให้ท่านเดือดร้อนไปด้วย”

 

 

เจินเมี่ยวสูดลมหายใจเข้าลึกเพื่อตั้งสติ “อย่างไรก็ต้องลองก่อน เจ้าทำตัวให้ปกติไว้ รองานเลี้ยงเลิกแล้วเจ้าก็กลับไปก่อน ข้าจะอยู่รอเข้าเฝ้าไท่โฮ่ว”

 

 

“พี่สะใภ้?”

 

 

“ไม่ต้องห่วง อย่างมากก็แค่ไท่โฮ่วทรงกริ้ว แต่คงไม่ทำอันข้าหรอก หากเทียบกับเรื่องชั่วชีวิตของเจ้า นี่ก็มินับเป็นอันใดได้”

 

 

หลัวจือเจินก้มหน้าต่ำลงไปอีก แล้วเอ่ยขอโทษเสียงแผ่ว”

 

 

นางรู้ดีว่าการที่พี่สะใภ้ไปขอร้องไท่โฮ่วนั้น ไท่โฮ่วไม่เพียงจะไม่เห็นด้วย แต่ยังจะไม่พอใจพี่สะใภ้ด้วย ว่าไปแล้วก็เป็นนางเองที่เห็นแก่ตัว ทั้งๆ ที่รู้ว่ามีความหวังอันน้อยนิด นางกลับเป็นคนหน้าหนาไม่ยืนหยัดในการห้ามพี่สะใภ้

 

 

หลัวจือเจินทั้งรู้สึกผิด ทั้งสิ้นหวังแต่นางก็ยังกอดความหวังเล็กๆ นั้นไว้ นางตัดสินใจแล้ว ไม่ว่าจะแพ้หรือชนะ นางก็จะยอมรับชะตากรรม ส่วนเรื่องที่พี่สะใภ้ช่วยเหลือนางจะจดจำไปชั่วชีวิต

 

 

ข้างๆ ซุ้มดอกไม้ที่อยู่ไม่ไกลจากอุทยานหลวงนักมีชายผ้าสีเหลืองโผล่ออกมา

 

 

เฉินชิ่งตี้ยืนอยู่ตรงไม่ทราบนานเท่าใดแล้ว

 

 

หยางกงกงยืนอยู่ด้านหลังด้วยสีหน้าไร้อารมณ์ใดๆ แต่ในใจกลับบ่นว่า

 

 

เฮ้อ ฝ่าบาทมาแอบดูจยาหมิงเซี่ยนจู่กระมัง เพราะหากบอกว่าฝ่าบาทมาดูแม่นางน้อยเหล่านี้ เขาก็ไม่เชื่อ

 

 

สวรรค์กลั่นแกล้งคนแท้ๆ ฝ่าบาทได้แต่แอบดู แต่มิอาจแตะต้องได้

 

 

หยางกงกงได้แต่ลอบถอนหายใจ ฝ่าบาทเองก็ทุกข์ไม่น้อย แค่เพียงไม่นานก็ผ่ายผอมลงไปไม่น้อยนอกจากเรื่องบ้านเมืองแล้ว ส่วนใหญ่กักจะนั่งเงียบจ้องภาพวาดอยู่ที่ห้องอักษร

 

 

ห๊ะ เหตุใดฝ่าบาทจึงบอกความในใจเช่นนี้ให้เขาทราบเล่า

 

 

เหอะๆ มีเรื่องอันใดในวังที่ขันทีชราเช่นเขามิเคยได้ยินบ้าง พี่น้องลอบมีสัมพันธ์กัน องค์ชายต้องตาสนมบิดา ล้วนมิใช่เรื่องแปลกใหม่อันใด ฝ่าบาทแค่เพียงชมชอบฮูหยินของขุนนางแต่ไม่กล้าลงมือ แค่กล้าเผยให้ขันทีคนสนิทเช่นเขารู้เล็กๆ น้อยเท่านั้น ในความคิดของเขานั้นฝ่าบาทช่างน่าสงสารนัก

 

 

เขาคิดว่าแม้ขึ้นเป็นจักรพรรดิใหม่อาจจะหน้าบาง แต่แค่ชมชอบฮูหยินของขุนนางจะเป็นไร ก็ฉวยโอกาสตอนที่นางเข้ามาในวังครอบครองนางเสีย นางจะทำอย่างไรได้ จะกล้าบอกสามีตนจริงๆ หรือ

 

 

เช่นนี้แม้มิได้พบหน้าทุกเช้าค่ำ แต่ก็มีวาสนาเกี่ยวพันกัน อย่างไรก็ดีกว่าที่ฝ่าบาทต้องมาทนทุกข์เพียงลำพัง

 

 

ห๊ะ บอกว่าเขาไม่มีคุณธรรมงั้นหรือ อย่าล้อเล่นเลย เขาเป็นขันที่ที่ไม่มีสิ่งนั้นแล้ว ยังต้องการคุณธรรมไปเพื่ออันใด การรับใช้ให้ฝ่าบาทเบิกบานพระทัยต่างหากจึงเป็นเรื่องสำคัญ

 

 

“หยางกงกง”

 

 

“พ่ะย่ะค่ะ”

 

 

เฉินชิ่งตี้ถอนสายตาตนแล้วเอ่ยเสียงแผ่วว่า “ไปสืบมาทีว่าเกิดเรื่องอันใดขึ้นกับจยาหมิงเซี่ยนจู่”

 

 

“พ่ะย่ะค่ะ”

 

 

เฉินชิ่งตี้ยังคงยืนอยู่เช่นนั้นมิขยับไปไหน สายตาจ้องมองไปที่ใบหน้าเจินเมี่ยวอีกครั้งก็สามารถเห็นความกังวลของนางได้อย่างชัดเจน

 

 

เขาไม่รู้ว่ามันคือการหาตัวแทนหรือไม่ แต่เมื่อทราบว่านางมาร่วมงานชมบุปผานี้ด้วย เขาก็มิอาจควบคุมตัวเองได้จึงมาที่นี่อย่างเงียบๆ

 

 

อย่างไรก็อยากจะมองใบหน้านั้นให้มากหน่อย

 

 

ในที่สุดงานชมบุปผาก็ถึงเวลาแยกย้าย ไท่โฮ่วกับหวงโฮ่วเสด็จกลับพร้อมกัน ฮูหยินแต่ละคนต่างก็ทยอยพาบุตรสาวตนกลับ เจินเมี่ยวเอ่ยกับขันทีที่จะพาพวกนางไปส่งว่า “กงกง ข้ามีเรื่องอยากเข้าเฝ้าไท่โฮ่ว รบกวนไปส่งน้องสาวข้าก่อนเถิด”

 

 

ขันทีน้องกำถุงเงินอ้วนกลมที่เจินเมี่ยวส่งให้ไว้เงียบๆ แล้วพยักหน้ารับ “เซี่ยนจู่วางใจ ข้าจะพาคุณหนูไปส่งให้ถึงเกี้ยวเลยขอรับ”

 

 

“พี่สะใภ้ ระวังตัวด้วย”

 

 

“ไม่ต้องห่วง เจ้ารีบตามกงกงไปเถิด”

 

 

นางยืนมองหลัวจือเจินเดินไปจนลับตา เจินจิ้งที่ยืนอยู่ไม่ไกลนักเดินเข้ามาหา แล้วเอ่ยหยั่งเชิงว่า “น้องสี่งานเลี้ยงเลิกแล้ว เหตุใดยังไม่กลับอีก หรือจะไปนั่งเล่นที่ตำหนักข้าสักครู่”

 

 

สตรีแพศยาหน้าไม่อาย ที่ยังอยู่ที่นี่เพราะหวังจะได้พบฝ่าบาทงั้นหรือ

 

 

เจินเมี่ยวมองทางด้วยสายตาเย็นชาคราหนึ่ง แล้วเดินผ่านไปโดยไม่พูดอันใด

 

 

เจินจิ้งโกรธจนต้องคว้าดอกไม้ใกล้มือมาขยี้จนเละ

 

 

เฉินชิ่งตี้ที่ซ่อนตัวอยู่ใต้ซุ้มดอกไม้มองเห็นการกระทำของทั้งสองอยู่ในสายตาตลอด เขามองเจินจิ้งที่ใบหน้าบิดเบี้ยวเพราะโทสะ ริมฝีปากบางเม้มเข้าหากันแน่น

 

 

เจินจิ้งกลับไม่รู้ว่าเฉินชิ่งตี้อยู่ไม่ไกลจากที่นี่ นางจึงเอ่ยกับนางกำนัลข้างกายว่า “ไปสืบมาทีว่าจยาหมิงเซี่ยนจู่คิดจะทำอันใด”

 

 

อุทยานหลวงกลับคืนสู่ความสงบในเวลาอันรวดเร็ว เหลือเพียงนางกำนัลที่คอยเก็บกวาดสถานที่เท่านั้น

 

 

หยางกงกงได้นำเรื่องที่ไปสืบมารายงานต่อเฉินชิ่งตี้ “ฝ่าบาท หม่อมฉันสอบถามนางกำนัล ขันทีอยู่หลายคน พวกเขาบอกว่าหลังจากที่คุณหนูสามสกุลหลัวแสดงศิลปะเสร็จ จยาหมิงเซี่ยนจู่กับคุณหนูสามก็มีสีหน้าไม่สู้ดีนัก หลังจากงานเลี้ยงเลิก จยาหมิงเซี่ยนจู่ก็ขอให้ขันทีพานางไปเข้าเฝ้าไท่โฮ่วพ่ะย่ะค่ะ”

 

 

เฉินชิ่งตี้ครุ่นคิดครู่หนึ่งก็เข้าใจทันทีว่าคุณหนูสามผู้นั้นคงไม่อยากเข้าวัง จยาหมิงเซี่ยนจู่จึงจะไปขอร้องไท่โฮ่วงั้นหรือ

 

 

คิดถึงตรงนี้แล้วเขาก็รู้สึกไม่สบอารมณ์ขึ้นมาจึงแค่นเสียงขึ้นจมูกคราหนึ่ง

 

 

สตรีผู้นี้ ไม่รู้หรือไรว่ามาขอร้องให้เขาช่วยต่างหากจึงจะถูก ในเมื่อนางคิดไม่ถึง เช่นนั้นก็ปล่อยให้นางคิดไม่ถึงต่อไปแล้วกัน

 

 

เฉินชิ่งตี้จึงเอ่ยกำชับหยางกงกงเพียงไม่กี่คำ

 

 

“เซี่ยนจู่ ยามนี้ไท่โฮ่วอยู่ที่ตำหนักหวงโฮ่ว เชิญขอรับ”

 

 

เจินเมี่ยวเอ่ยขอบคุณขันทีด้วยรอยยิ้มแล้วเดินเข้าตำหนักไป

 

 

“จยาหมิงเซี่ยนจู่มาหาข้าหรือ ไม่ทราบมีเรื่องใด” วันนี้ต้องดูหญิงงามมากมาย ไท่โฮ่วจึงรู้สึกเพลียอยู่บ้าง

 

 

เจินเมี่ยวดูออกว่าไท่โฮ่วเหนื่อยล้า จึงพูดรวบรัดว่า “จยาหมิงมาเพราะมีเรื่องจะขอร้องไท่โฮ่วเพคะ”

 

 

“ว่ามาเถิด”

 

 

“จือเจินน้องสามีหม่อมฉันได้รับพระเมตตาจากไท่โฮ่วจึงได้รับดอกเบญจมาศไป แต่นางมีดวงชะตาที่พิเศษ ฝูเฟิงเจินเหรินเคยทำนายว่า หากนางแต่งกับตระกูลทั่วไปนั้นไม่เป็นอันใด แต่หากแต่งกับเชื้อพระวงศ์เกรงว่าวาสนาของนางคงจบสิ้นในเร็ววันเพคะ”

 

 

นางไม่กล้าพูดว่าชะตาชีวิตของหลัวจือเจินนั้นจะสร้างความเดือดร้อนให้กับราชวงศ์ เพราะหากเรื่องนี้แพร่ออกไป ผลลัพธ์ย่อมร้ายแรง การพูดเช่นนี้จึงดีกว่ามาก

 

 

หมดวาสนางั้นหรือ เหอๆ สตรีที่เข้าวังมาส่วนมากก็หมดวาสนาเร็วกันทั้งสิ้น

 

 

“เจินเหรินพูดเช่นนี้จริงหรือ” ไท่โฮ่วรู้สึกแปลกใจอยู่บ้าง

 

 

หลังจากเจาเฟิงตี้สวรรคต ฝูเฟิงเจินเหรินก็ไปจากที่นี่ แต่ชื่อเสียงกลับโด่งดังมากขึ้นกว่าเดิม

 

 

“ต่อหน้าไท่โฮ่ว จยาหมิงมิกล้าพูดส่งเดช เจินเหรินกับซื่อจื่อคุ้นเคยกันไม่น้อย ก่อนเขาจากไป ซื่อจื่อได้เชิญเขามาเลี้ยงอำลาที่จวนจึงบังเอิญได้พบจือเจิน จึงเอ่ยวาจานี้ออกมา ไท่โฮ่วทรงเชิญให้มาจึงมิกล้าเสียมารยาท จึงได้แต่ขอร้องให้ไท่โฮ่วโปรดเมตตาสงสารจือเจินที่อายุยังน้อยและท่านย่าที่อายุมากแล้ว ทรงอย่าให้นางเข้าวังเลยเพคะ”

 

 

ไท่โฮ่วหันไปมองจ้าวเฟยชุ่ยด้วยความลังเล

 

 

ไม่ว่าคำพูดนี้ของเจินเมี่ยวจะจริงหรือเท็จ แต่นางพูดถึงเพียงนี้แล้ว หากยังไม่รับปาก ราชวงศ์จะมีดูเหมือนไร้เมตตาไปหน่อยหรือ

 

 

แน่นอนว่ามิใช่ผู้ใดไม่อยากเข้าวังแล้วมาพูดจาเช่นนี้ ไท่โฮ่วก็จะให้เกียรติ เดิมไท่โฮ่วไม่อยากให้หลัวจือเจินเข้าวังอยู่แล้ว ทั้งจวนกั๋วกงก็มีความสำคัญไม่ธรรมดา นางจึงเริ่มคล้อยตาม

 

 

จ้าวเฟยชุ่ยกลับมิได้คิดอันใดมาก ในความคิดนาง เจินเมี่ยวไม่จำเป็นต้องเอาวาจาพวกนี้มาหลอกให้เชื่อเลย คุณหนูหลัวเป็นเพียงน้องสามีนางมิใช่น้องสาวนางเสียหน่อย นางต้องทำถึงเพียงนั้นเชียวหรือ

 

 

จ้าวเฟยชุ่ยอยากให้หลัวจือเจินเข้าวังแค่เพราะคิดว่านางดูโดดเด่นในทุกๆ ด้าน แต่มิใช่ว่าจะขาดนางไม่ได้ หลังจากเลือกนางแล้วก็ยังเลือกไว้อีกหลายคนที่งดงามโดดเด่น ในเมื่อการที่นางเข้าวังจะทำให้ชีวิตสั้น แล้วไยต้องดึงดัน

 

 

เมื่อเห็นว่าจ้าวเฟยชุ่ยพยักหน้ารับ ไท่โฮ่วจึงเผยรอยยิ้มออกมา “ในเมื่อเป็นเช่นนี้…”

 

 

วาจาเพิ่งเอ่ยได้เพียงเท่านี้ แม่นมคนสนิทของจ้าวไท่โฮ่วก็เข้ามากระซิบข้างหูไท่โฮ่วอยู่ครู่หนึ่ง

 

 

แรกเริ่มจ้าวไท่โฮ่วนั้นมีท่าทีตกใจ แต่เมื่อสงบสติอารมณ์ได้แล้วก็พูดกับเจินเมี่ยวว่า “แค่กๆ ข้าว่า คำพูดนักพรตมิอาจเชื่อได้ทั้งหมด วังหลวงนั้นเป็นที่รวมความเป็นสิริมงคล แม้แต่คนอายุสั้นเข้ามาก็จะได้รับโชคดีไปด้วย จนกลายเป็นคนอายุยืนเลยทีเดียว จยาหมิงเซี่ยนจู่ว่าหรือไม่”